ผลจากการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ดังกล่าว นำไปสู่การถอนใบอนุญาตและสั่งปิดโรงงานที่เป็นคู่ค้ากับแมตเทลยาวนานถึง 15 ปี คนงานกว่า 5,000 คนถูกเลิกจ้าง ผู้บริหารเพิ่งประกาศขายเครื่องจักรและทรัพย์สินของโรงงาน แต่ก็ต้องมาจบชีวิตลงด้วยน้ำมือตนเองในที่สุด
การสืบสวนของแมตเทลได้เผยให้เห็นปัญหาในสายการผลิตและที่มาของสีที่ใช้ในกระบวนการผลิตจากผู้ค้าส่งหลายทอด จนนายจางอาจไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าสีที่ตนเองใช้มีปัญหา เนื่องจากผู้ป้อนวัตถุดิบให้แก่โรงงานของนายจาง ได้ใช้เอกสารรับรองการตรวจสอบคุณภาพปลอมในการอ้างอิงต่อกันมาเป็นทอดๆ
เหตุการณ์นี้ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเรื่อง "คุณภาพ" ของการบริหารการผลิต และ "คุณธรรม" ของผู้ประกอบการ ที่ส่งผลให้เจ้าของโรงงานรายนี้ กลายเป็นเหยื่อที่ไร้ทางออกในโลกยุคโลกาภิวัตน์
การบีบคั้นเรื่องต้นทุนสินค้า เพื่อที่จะรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคา จากฝั่งของลูกค้าห้างอย่างวอลมาร์ท หรือทาร์เก็ต และแมตเทล ทำให้การบีบคั้นถูกส่งต่อไปเป็นทอดๆ จากโรงงานสู่ผู้ป้อนวัตถุดิบ บริษัทค้าวัตถุดิบ ไปจนถึงผู้ผลิตวัตถุดิบ จนเกิดการลดคุณภาพของวัตถุดิบ เพื่อให้ได้มาซึ่งราคาที่ถูกป้อนเข้าสู่สายการผลิตทั้งระบบ
ขณะที่การบีบคั้นซึ่งมีผลต่อความอยู่รอดของธุรกิจของตนเอง ยังได้มีอิทธิพลมาถึงเรื่องคุณธรรม จริยธรรมในการประกอบการ ซึ่งเป็นเสมือนภูมิคุ้มกันด่านท้ายสุด เมื่อใดที่พังทลายลง ไม่เพียงแต่ธุรกิจที่อยู่ไม่ได้ในระยะยาว ชีวิตก็อาจจะต้องจบสิ้นไปด้วย การจบสิ้นนี้ ไม่ได้หมายถึงการจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายเหมือนกรณีของนายจาง แต่เป็นการมีชีวิตอยู่แบบไร้จิตวิญญาณ เป็นซากที่ไร้ซึ่งสิ่งยึดเหนี่ยวทางคุณงามความดี รอวันที่จะกลายเป็นเหยื่อแห่งด้านมืดของโลกาภิวัตน์ในลำดับต่อไป
อุทาหรณ์สำหรับคนไทยต่อเหตุการณ์นี้ มีอยู่หลายประการ ใน ประการแรก การแข่งขันที่ต่างคนต่างเอาตัวรอดในระบบเศรษฐกิจลักษณะนี้ หากมองเฉพาะตนเอง ทางออกก็คือ ต้องพัฒนาตนเองให้เหนือผู้อื่น ใฝ่หาความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่มาเสริมสร้างขีดสมรรถนะทางการแข่งขันของตนเองอย่างต่อเนื่อง แต่หากมองทั้งระบบ การแข่งขันเช่นนี้ จะนำไปสู่การเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ผู้แพ้ถูกคัดออก หรือกลายเป็นเหยื่อของระบบดังตัวอย่างข้างต้น ผู้เล่นที่เหลือก็จะแข่งขันกันต่อ จนมีผู้ที่ถูกคัดออกมากกว่าผู้เล่นที่เหลืออยู่ ในที่สุด ระบบก็คงอยู่ไม่ได้ เมื่อระบบเศรษฐกิจพังทลายลง ประเทศก็ได้รับผลกระทบเสียหายไปด้วย
การที่ระบบยังคงทำงานได้ แม้จะอยู่ท่ามกลางการแข่งขันอย่างที่เป็นอยู่ ก็เพราะส่วนหนึ่งของระบบ ยังมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีการประสานประโยชน์ซึ่งกันและกัน รู้จักที่จะเสียสละแบ่งปันให้แก่ผู้อื่น นอกจากการพิจารณาแต่ประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้ง การสร้างภูมิคุ้มกันในระบบที่ดี จึงมาจากเงื่อนไขด้านคุณธรรมของผู้เล่นในระบบ ฉะนั้น ไม่ว่าจะต้องแข่งขันกันขนาดไหน อย่าแลกชัยชนะด้วย "คุณธรรมในจิตใจ" เป็นเด็ดขาด
ประการต่อมา การแข่งขันที่นำไปสู่การลดคุณภาพ ไม่ใช่การพัฒนาที่นำไปสู่ความก้าวหน้า แต่เป็นการถอยหลังเข้าสู่มุมอับหรือด้านมืดของของโลกาภิวัตน์ ที่เสี่ยงต่อการเป็นเหยื่อในระบบ แม้จะยืดลมหายใจของกิจการด้วยวิธีการแข่งขันลักษณะนี้ ท้ายสุด กิจการก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในระยะยาว ฉะนั้น ไม่ว่าจะต้องแข่งขันกันขนาดไหน อย่าแลกเอาความอยู่รอดด้วย "คุณภาพของสินค้า" เป็นเด็ดขาด
อุทาหรณ์อีกประการหนึ่ง การพึ่งพาระบบมากเกินไป ก่อให้เกิดข้อจำกัดหรือภาวะจำยอมที่ต้องปฏิบัติตามกฎกติกาที่แฝงไว้ด้วยคำถามมากมายถึงความยุติธรรมและความเสมอภาคของระบบ ทางออกในปัจจุบัน ไม่สามารถถามหาได้จากผู้วางระบบ หรือรัฐในฐานะผู้ดูแลกฎกติกาต่างๆ เพราะรัฐเองได้กลายมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นของระบบ หรือได้รับการสนับสนุนจากผู้เล่นรายใหญ่ในระบบ แน่นอนว่า กิจการไม่สามารถหลุดพ้นจากระบบได้อย่างเด็ดขาด แต่การทำตัวให้อยู่เหนือระบบบางส่วนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
การอยู่เหนือการแข่งขันดิ้นรนทางธุรกิจ ก็คือ การค้นหาความพอประมาณในกิจการ ที่ตนเองอาจเป็นได้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค (Prosumer) ในตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาภายนอก เช่น การสร้างชุมชนหรือประเทศให้เข้มแข็ง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตลาดภายนอกทั้งหมด
ประการสุดท้าย การให้คุณค่าของระบบเศรษฐกิจมากเกินไป จนกลายเป็นสิ่งสำคัญของเรื่องทั้งหมดในชีวิต จะทำให้มองไม่เห็นโอกาสในการพัฒนาทางอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาภายในตนเอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจมากกว่าเรื่องของวัตถุในระบบเศรษฐกิจ การสูญเสียกิจการ มิได้หมายถึง การที่เจ้าของกิจการต้องสูญเสียจิตวิญญาณไปด้วยการจบชีวิต การพัฒนาทางจิตใจ ยังคงดำเนินต่อไปได้ด้วยการให้ความสำคัญของระบบแต่พอประมาณและอย่างมีเหตุมีผล ไม่ตัดสินด้วยอารมณ์ที่บีบคั้นหรืออารมณ์ชั่ววูบ
การให้คุณค่าของระบบเศรษฐกิจแต่พอประมาณ คือ หลักการของเศรษฐกิจพอเพียง ที่แฝงไว้ด้วยการพัฒนาในระดับที่สูงขึ้นไปอีกด้วยเงื่อนไขของคุณธรรมและความรู้ มิใช่มุ่งหมายแต่เฉพาะเรื่องเศรษฐกิจดังเช่นที่โลกข้างมากกำลังดำเนินอยู่ จนต้องอยู่แบบซากไร้จิตวิญญาณในระบบ
ประโยชน์หรือคุณค่าของบทความชิ้นนี้ ไม่ว่าจะมีมากหรือน้อย ขออุทิศให้แก่นายจางชูฮง เจ้าของโรงงานลีเดอร์ อินดัสเตรียล อายุ 52 ปี ผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ... (จากคอลัมน์ พอเพียงภิวัตน์)
