Sunday, November 19, 2017

CSR ในสามเวอร์ชัน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้ที่เริ่มต้นเข้ามาในแวดวงความรับผิดชอบขององค์กรธุรกิจที่มีต่อสังคม หรือ CSR ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า การทำ CSR คือ การช่วยเหลือสังคม หลังจากที่ธุรกิจทำมาค้าขายหากำไรได้ ในรูปของการตอบแทนหรือคืนกำไรส่วนหนึ่งให้แก่สังคม เช่น การให้ทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้ การบริจาคเพื่อสาธารณกุศล การมอบสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นให้แก่ผู้ประสบภัย

ความเข้าใจ CSR ที่ว่านี้ ถูกต้องเพียงส่วนเดียว เพราะหากเราตั้งคำถามใหม่ว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น กิจกรรม CSR จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อธุรกิจต้องมีกำไรก่อนเท่านั้นหรือ

ในความจริง ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่ว่าธุรกิจจะมีหรือไม่มีกำไรก็ตาม ธุรกิจต้องมีความรับผิดชอบในการประกอบการเพื่อแสวงหารายได้ โดยที่มิให้เกิดผลกระทบเดือดร้อนเสียหายต่อผู้ที่เกี่ยวข้องรอบข้าง ซึ่งในที่นี้ เรียกว่า ผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) อันประกอบไปด้วย พนักงาน ลูกค้า คู่ค้า ชุมชน (รวมถึง สิ่งแวดล้อม) ที่อยู่รายรอบแหล่งดำเนินงาน เป็นต้น

การทำ CSR จึงไม่ได้จำกัดว่า จะต้องเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นแยกต่างหากจากการประกอบการ หรือเกิดภายหลังการดำเนินธุรกิจแล้ว ซึ่งเรียกกันว่า CSR-after-process ในรูปของการตอบแทนคืนสังคมเท่านั้น

แต่ยังรวมถึงกิจกรรมที่เกิดขึ้นในระหว่างการประกอบการ หรือในกระบวนการทางธุรกิจ ซึ่งเรียกกันว่า CSR-in-process ด้วย ตั้งแต่ การคัดสรรวัตถุดิบที่มีความโปร่งใสเป็นธรรมต่อคู่ค้า การผลิตและการจำหน่ายที่ไม่เอารัดเอาเปรียบลูกค้า การขายและการตลาดที่มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค รวมถึงการเสียภาษีตามกฎหมาย ฯลฯ

ที่กล่าวมาข้างต้น เป็น CSR ภาคหลักการ ที่ธุรกิจพึงจะดำเนินการตามนั้น แต่หากมาดูในภาคปฏิบัติ องค์กรธุรกิจมักจะใช้บริการ CSR-after-process มาสร้างภาพพจน์ให้องค์กรดูดี ด้วยการโยงไปสู่การประชาสัมพันธ์ หรือ PR ด้วยความที่สื่อสารได้ง่ายและเห็นภาพ

CSR ในเวอร์ชันแรกขององค์กรส่วนใหญ่ จึงเป็นการทำ CSR เพื่อให้ “ได้ภาพ” และหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเรื่อง CSR ในเวอร์ชันนี้ มักจะตกอยู่กับฝ่ายสื่อสารองค์กร ขณะที่บางองค์กร มีการแยกตั้งฝ่าย CSR ขึ้นเพื่อทำงานโดยเฉพาะ และ Treat เรื่อง CSR เป็นฟังก์ชันงานหนึ่งขององค์กร

CSR ในเวอร์ชันต่อมา เกิดจากการที่องค์กรหลายแห่งตระหนักว่า การทำ CSR เพื่อ PR นั้น ไม่ยั่งยืน มีลักษณะ Window Dressing หรือ ผักชีโรยหน้า สังคมเริ่มไม่ให้ราคากับการทำ CSR แบบฉาบฉวยนี้เท่าใดนัก

องค์กรที่ว่าดังกล่าว จึงเริ่มคิดทำในแบบที่ยั่งยืนมากขึ้น เอาจริงเอาจังในการจัดการกับประเด็นทางสังคม (และสิ่งแวดล้อม) มากขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องหรือเป็นผลกระทบที่เกิดจากการดำเนินงานของธุรกิจ ทำให้ CSR ในเวอร์ชันต่อมา เป็นการทำ CSR ที่คำนึงถึงการดูแลผลกระทบ (เชิงลบ) ที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบการ เพื่อมุ่งป้องกันและแก้ไขปัญหาให้ “ได้ผล” ที่จริงจังขึ้น

CSR ในเวอร์ชันนี้ จึงเกี่ยวพันกับฝ่ายต่างๆ ขององค์กร ที่ไม่จำกัดเฉพาะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่อง CSR อีกต่อไป

บทบาทของฝ่าย CSR จึงเปลี่ยนจากการดำเนินการเอง มาเป็นการอำนวยการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามฟังก์ชันงานของฝ่ายนั้นๆ อาทิ ฝ่ายจัดซื้อมีนโยบายที่ไม่เลือกปฏิบัติกับผู้ส่งมอบ (ความรับผิดชอบต่อคู่ค้า) ฝ่ายบุคคลมีการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรและเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ (ความรับผิดชอบต่อพนักงาน) ฝ่ายการเงินและบัญชีมีระบบตรวจสอบถ่วงดุลที่รัดกุม (ความรับผิดชอบต่อเจ้าหนี้-ลูกหนี้) ฝ่ายขายและฝ่ายตลาดมีการให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์และบริการที่เที่ยงตรงไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด (ความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค) โดยอ้างอิงข้อปฏิบัติที่ฝ่าย CSR คอยช่วยเหลือแนะนำตามแนวทางความรับผิดชอบต่อสังคมที่สากลยอมรับ

ในแง่ของโครงสร้าง CSR ในเวอร์ชันนี้ มักจะมาพร้อมกับการตั้งคณะกรรมการ (Committee) ด้าน CSR ขึ้นเพื่อการขับเคลื่อน ในลักษณะที่เป็น Cross-Function เพราะเกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายในองค์กร

ล่าสุด พัฒนาการของ CSR ได้มาถึงจุดที่องค์กรธุรกิจพิจารณานำประเด็นทางสังคม (และสิ่งแวดล้อม) มาแปลงเป็นโจทย์ทางธุรกิจ หมายความว่า แทนที่จะมุ่งจัดการกับผลกระทบเชิงลบจากการประกอบการในขาเดียว (เทียบได้กับการจัดการความเสี่ยงในธุรกิจ) ดังเช่นในเวอร์ชันก่อนหน้า ก็ขยายขอบเขตมาสู่การออกแบบเพื่อส่งมอบผลกระทบเชิงบวกจากการประกอบการอีกขาหนึ่ง (เทียบได้กับการสร้างโอกาสทางธุรกิจ) กลายเป็น CSR ในรูปแบบที่เป็นการทำเพื่อให้ได้ “คุณค่าร่วม” ระหว่างธุรกิจกับสังคมไปพร้อมกัน เพราะขณะที่โจทย์ทางธุรกิจบรรลุ ประเด็นปัญหาสังคมนั้นก็ได้รับการแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงไปในคราวเดียว

CSR เวอร์ชันล่าสุดนี้ เป็นการบูรณาการเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมเข้าเป็นเนื้อเดียวกับกลยุทธ์ธุรกิจ ถ่ายทอดมาสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามแต่ประเด็นทางสังคม (และสิ่งแวดล้อม) และกลุ่มเป้าหมายที่ธุรกิจเลือกเพื่อต้องการตอบโจทย์

สำหรับองค์กรที่ดำเนินมาถึง CSR เวอร์ชันล่าสุดนี้ เป็นที่คาดการณ์ได้ว่า ฝ่าย CSR และคณะกรรมการ CSR ที่ตั้งขึ้นมาทำหน้าที่ก่อนหน้านี้ อาจจะเลือนหายไปจากโครงสร้างองค์กรในท้ายที่สุด เนื่องจากเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม จะฝังตัวเข้าอยู่ในทุกส่วนงานขององค์กร โดยไม่มีความจำเป็นต้อง Treat เรื่อง CSR เป็นฟังก์ชันงานต่างหากอีกต่อไป

พัฒนาการ CSR ตามที่ได้แบ่งให้เห็นเป็นแต่ละเวอร์ชันนั้น มีเหตุปัจจัยที่เกิดจากความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียที่เปลี่ยนแปลงไปตามห้วงเวลา ทั้งแรงกดดันที่มีมาจากภาคประชาสังคม การออกกฎหมายและกฎระเบียบใหม่ๆ จากภาครัฐ รวมทั้งการกำหนดเป็นนโยบายและเงื่อนไขจากคู่ค้าในห่วงโซ่ธุรกิจด้วยกันเอง

กล่าวโดยรวมแล้ว CSR ในทั้งสามเวอร์ชัน ได้รับการพัฒนาเพื่อรองรับความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย จากระดับที่เป็นการบริหารการรับรู้ (Perception) ซึ่งเป็นเรื่องภาพลักษณ์ที่มิได้เกี่ยวโยงกับผลลัพธ์เท่าใดนัก มาสู่เรื่องสมรรถนะการดำเนินงาน (Performance) ที่คำนึงถึงการดูแลผลกระทบเชิงลบที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบการ และคุณค่าสุทธิที่ได้รับ (Bottom Line) จากการจัดการกับประเด็นทางสังคมที่หยิบยกมาดำเนินการ ตามลำดับ


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Sunday, November 05, 2017

Invention is not Innovation

ความท้าทายสำคัญประการหนึ่ง ในการพัฒนาประเทศไทย ให้ไปสู่อนาคตที่มุ่งหวัง ทั้งผลลัพธ์ที่วัดได้ในเชิงปริมาณ เช่น ตัวเลขจีดีพีที่เพิ่มขึ้น และตัววัดในเชิงคุณภาพ เช่น ดัชนีความอยู่ดีมีสุขที่สูงขึ้น เกี่ยวเนื่องกับเรื่องสมรรถภาพของ “คน” ที่ขาดทักษะความสามารถในการพัฒนา “นวัตกรรม” เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงและการก้าวทันต่อโลก

ครั้นเมื่อตระหนักในความสำคัญของเรื่องนวัตกรรม หน่วยงานต่างๆ ในภาครัฐ ก็ตื่นตัวลุกขึ้นมาส่งเสริมกันขนานใหญ่ ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ เรื่องการส่งเสริมให้เกิดวิสาหกิจเริ่มต้น หรือสตาร์ตอัพ เพื่อปั้นให้เป็นนักรบทางเศรษฐกิจหน้าใหม่ เป็นความหวังต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป

โจทย์ที่สตาร์ตอัพ ต้องพิสูจน์ให้เห็น คือ สามารถคิดค้นและพัฒนาสินค้าและบริการ อันเป็นที่ต้องการของตลาด สร้างให้เกิดรายได้ กิจการสามารถอยู่รอดได้ในระยะเริ่มแรก และมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ในระยะยาว

เวทีที่ส่งเสริมให้เกิดการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ จึงเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด จนบางครั้งคำว่า นวัตกรรม และ การประดิษฐ์ ถูกนำมาใช้แทนที่กัน เพราะเข้าใจว่าเป็นเรื่องเดียวกัน

แต่ในความเป็นจริง นวัตกรรม แตกต่างจาก การประดิษฐ์ อย่างมีนัยสำคัญ แม้สองเรื่องนี้ จะมีความเชื่อมโยงกันอยู่

การประดิษฐ์ มาจาก การมองมุมต่าง มีความคิดใหม่ เกิดแนวคิดใหม่ สู่ขั้นที่พัฒนาต้นแบบ แต่อาจไม่สามารถแปลงไปสู่ผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการที่ใช้การได้ในวงกว้าง หรือไม่สามารถผลิตได้ด้วยต้นทุนที่สมเหตุสมผล และอาจไม่ถึงขั้นที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ต่อพฤติกรรมหรือแบบแผนทางสังคม

การประดิษฐ์ เกี่ยวข้องกับการสร้างความคิดใหม่ (Creating a new idea) ส่วนนวัตกรรม เกี่ยวข้องกับการใช้ความคิดใหม่ (Using this new idea)

Marc Giget กูรูด้านนวัตกรรมชาวฝรั่งเศส ได้ให้คำจำกัดความว่า นวัตกรรม หมายถึง การผสมผสานองค์ความรู้ที่ทันสมัย ในตัวผลิตภัณฑ์และบริการที่สร้างสรรค์ ในขั้นที่สามารถสนองตอบความต้องการพื้นฐานของผู้คนและสังคม

ผมขอขยายความต่อในคำสำคัญว่า “ทันสมัย” (State of the Art) คือ มีความก้าวหน้าล่าสุดเท่าที่จะหาได้ในปัจจุบัน ส่วนคำว่า “สร้างสรรค์” (Creative) คือ มีลักษณะริเริ่มในทางดี ก่อเกิดความสุขความเจริญให้แก่สังคม และคำว่า “ความต้องการพื้นฐาน” (Needs) คือ มีความจำเป็นใช้สอย (ปัจจัย 4) หรือแก้ไขสภาพที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น


นวัตกรรม สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลง ได้ทั้งในระดับกระบวนการ (Processes) ในระดับองค์กร (Organizations) และในระดับสังคม (Society)

โดยรูปแบบของนวัตกรรม แบ่งออกเป็น สองจำพวกใหญ่ๆ คือ แบบค่อยเป็นค่อยไป (Incremental) สร้างการเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับขั้น และแบบหักร้างถางพง (Breakthrough) ปรับรื้อสิ่งที่มีอยู่เดิม สร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ หรืออย่างฉับพลันทันที

สำหรับปัจจัยที่ก่อให้เกิดเป็นนวัตกรรม ประกอบด้วย ปัจจัยประการแรก คือ กลวิธี (Techniques) ทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริง ปัจจัยประการที่สอง คือ ความรู้สะสมที่มีอยู่ก่อนหน้า + ความรู้ใหม่จากการวิจัย และปัจจัยประการที่สาม คือ ความคิดใหม่ (New Ideas) + อุปสงค์ใหม่ (New Demands)

หวังว่า สตาร์ตอัพ จะเข้าใจยิ่งขึ้นว่า ตนเองกำลังพัฒนา สิ่งประดิษฐ์ หรือ นวัตกรรม โดยไม่หลงไปกับการส่งเสริมของภาครัฐที่กำลังใช้คำเหล่านี้ เพื่อใช้งบประมาณที่ได้รับตามภารกิจ แต่ไม่ได้ให้อะไรแก่สตาร์ตอัพเท่าที่ควร


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]