Saturday, November 19, 2022

COP 27 กับการหารือกลไกตลาดคาร์บอนเครดิต

ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา (6-18 พ.ย.) ได้มีการจัดประชุม COP 27 หรือการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 27 ณ เมืองชาร์ม เอล เชค สาธารณัฐอาหรับอียิปต์

COP หรือ Conference of Parties เป็นการประชุมประจำปีเพื่อหารือรายละเอียดความร่วมมือ และกำหนดทิศทางการดำเนินงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของประชาคมโลก โดยมีรัฐสมาชิก 193 ประเทศขององค์การสหประชาชาติส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุม โดยได้จัดประชุมสมัยแรกเมื่อปี ค.ศ.1995


โดยสาระสำคัญของการประชุม COP ในสมัยที่ 27 นี้ คือ การทำตามคำมั่นสัญญาที่จะบรรลุเป้าหมายตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความตกลงปารีส ซึ่งกำหนดเป้าหมายให้ประชาคมโลก ต้องร่วมกันจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสให้ได้ภายในปี ค.ศ.2100

หนึ่งในวาระการประชุมที่ได้รับความสนใจมาก คือ การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตที่เป็นไปตามบทบัญญัติของความตกลงปารีส ในข้อ 6

ในบทบัญญัติ ข้อ 6 มีเนื้อหาสำคัญอยู่ 2 ส่วน คือ ข้อ 6 ย่อหน้า 2 ที่รัฐภาคีจะต้องมีกลไกการบันทึกบัญชีคาร์บอนที่มีการใช้ผลการลดก๊าซเรือนกระจกที่ถ่ายโอนระหว่างประเทศ (ITMO) เพื่อบรรลุการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) โดยมิให้เกิดการนับซ้ำ (Double Counting) ตามแนวทางที่รับรองโดยที่ประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส

และข้อ 6 ย่อหน้า 4 ที่รัฐภาคีจะต้องมีกลไกที่นำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีองค์กรกำกับดูแล (Supervisory Body) ที่ได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส เป็นผู้ให้ความเห็นชอบและรับรองคาร์บอนเครดิต ที่ในเอกสารร่างข้อบท (draft text) ผลการประชุม เรียกว่า คาร์บอนเครดิตประเภท A6.4ERs ที่สามารถใช้เป็น ITMO และ/หรือบรรลุ NDC ได้

หมายความว่า คาร์บอนเครดิตประเภท Certified Emission Reductions (CERs) ซึ่งเป็นใบรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงภายใต้โครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด (CDM) ซึ่งออกโดยคณะกรรมการบริหารกลไกการพัฒนาที่สะอาดแห่งสหประชาชาติ ตามข้อตกลงในพิธีสารเกียวโต จะมีการถ่ายโอนมาใช้บรรลุ NDC ตามความตกลงปารีสได้บางส่วน แต่ไม่ทั้งหมด (ขึ้นอยู่กับประเภทของโครงการและระยะเวลาที่ได้ใบรับรอง)

ส่วนคาร์บอนเครดิตประเภท Voluntary Emission Reductions (VERs) ซึ่งเป็นใบรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ ยังไม่สามารถนำมาใช้เพื่อบรรลุ NDC ได้ จนกว่าจะมีกฎกติกาจาก Supervisory Body ที่แสดงถึงมาตรฐานการรับรองที่เทียบเท่ากับคาร์บอนเครดิตประเภท A6.4ERs ตามที่รับรองโดยที่ประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส

ทำให้ราคาของคาร์บอนเครดิตประเภท VERs ที่ได้จากการดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจในปัจจุบัน จะไม่สามารถถีบตัวสูงขึ้นเท่าราคาตลาดคาร์บอน (ภาคบังคับ) ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ เพราะเป็นคาร์บอนเครดิตคนละตลาดกับที่ใช้ในกลไก NDC

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอที่บางประเทศ เห็นต่างกับการมี Supervisory Body ในลักษณะการรวมศูนย์จัดการ รวมถึงแนวทางในการกักเก็บคาร์บอนที่ควรจะเป็นไปแบบถาวร โดยไม่มีโอกาสถูกปลดปล่อยใหม่ ซึ่งยังมีข้อถกเถียงว่า วิธีการทางธรรมชาติ อย่างการปลูกป่า สามารถใช้ได้หรือไม่ เมื่อพิจารณาความเสี่ยงภัยทางธรรมชาติ เช่น ไฟป่า หรือการรุกล้ำโดยมนุษย์ เช่น ถางป่าเพื่ออยู่อาศัยและทำกิน ในอนาคต ฯลฯ

หลังจากนี้ ยังคงต้องมีการเจรจาอีกหลายรอบ โดยเฉพาะการหาข้อสรุปในเวทีการประชุมระดับรัฐมนตรี เพราะในเอกสารร่างข้อบท (draft text) ยังมีการใส่ทางเลือกในหลายหัวข้อ และเนื้อหาในวงเล็บอีกหลายเรื่องที่รอการตัดสินใจ

ผู้สนใจเนื้อหาการประชุมในส่วนที่เป็นเอกสารร่างข้อบทเพื่อจัดตั้งกลไกตามความตกลงปารีส ข้อ 6 ย่อหน้า 4 สามารถติดตามได้จากลิงก์ https://unfccc.int/documents/621594


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, November 05, 2022

การส่งเสริมธุรกิจประกันภัยให้ยั่งยืน ด้วยปัจจัย ESG

เป็นเวลากว่า 30 ปี ที่ข้อริเริ่มด้านการเงินของสำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP FI) ได้เชื่อมร้อยองค์การสหประชาชาติกับสถาบันการเงินทั่วโลกในการกำหนดวาระด้านการเงินที่ยั่งยืน และสร้างกรอบการทำงานด้านความยั่งยืนที่สำคัญระดับโลกในการช่วยเหลืออุตสาหกรรมการเงินรับมือกับความท้าทายต่อประเด็น ESG ในระดับสากล


กรอบความยั่งยืนที่ UNEP FI ได้ริเริ่มและร่วมจัดทำ ประกอบด้วย

หลักการธนาคารที่รับผิดชอบ (Principles for Responsible Banking: PRB) ที่เปิดตัวในเดือนกันยายน พ.ศ.2562 ปัจจุบัน มีธนาคารกว่า 300 แห่ง มีสัดส่วนเกือบครึ่งของอุตสาหกรรมธนาคารในโลก เข้าร่วมลงนาม

หลักการประกันภัยที่ยั่งยืน (Principles for Sustainable Insurance: PSI) เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2555 โดย UNEP FI ปัจจุบัน มีสมาชิกกว่า 200 ราย ประกอบด้วย บริษัทประกันที่ลงนามเป็นภาคี PSI จำนวน 132 แห่ง (ถือเบี้ยประกันภัยรวมทั่วโลกอยู่ราว 33%) และสถาบันสนับสนุน PSI อีกจำนวน 97 แห่ง ในบรรดาข้อริเริ่มที่จัดทำขึ้น PSI นับเป็นแนวทางของอุตสาหกรรมในการผนวกการพิจารณาความเสี่ยงด้าน ESG ครอบคลุมทั้งธุรกิจประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันวินาศภัย

หลักการลงทุนที่รับผิดชอบ (Principles for Responsible Investment: PRI) เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2549 โดยความร่วมมือระหว่าง UNEP FI และ UN Global Compact ปัจจุบัน มีผู้ลงทุนสถาบันราวครึ่งโลก (มีขนาดสินทรัพย์รวมกันราว 83 ล้านล้านเหรียญ) เข้าร่วมลงนาม

กรอบดังกล่าวข้างต้น ได้กลายเป็นบรรทัดฐานด้านการเงินที่ยั่งยืน เป็นพื้นฐานสำหรับการกำหนดมาตรฐาน และช่วยให้มั่นใจว่าระบบการเงินภาคเอกชนดำรงบทบาทอย่างเต็มศักยภาพในการสนับสนุนการบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.2030 และความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลทั่วโลกในปี ค.ศ.2015

ESG เป็นแกนหลักของ Sustainable Insurance
การประกันภัยที่ยั่งยืน เป็นแนวดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ ที่ซึ่งกิจกรรมทั้งปวงในสายคุณค่าประกันภัย รวมทั้งการปฏิสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสีย ถูกดำเนินการอย่างรับผิดชอบและคาดการณ์ล่วงหน้า ด้วยการระบุ การประเมิน การบริหาร และการเฝ้าสังเกตความเสี่ยงและโอกาสที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็น ESG ทั้งนี้ การประกันภัยที่ยั่งยืน มุ่งที่จะลดความเสี่ยง พัฒนาการแก้ปัญหาเชิงนวัตกรรม ปรับปรุงผลประกอบการทางธุรกิจ และสนับสนุนความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ความริเริ่มว่าด้วยหลักการประกันภัยที่ยั่งยืน เป็นกรอบการทำงานระดับสากลสำหรับอุตสาหกรรมประกันภัยที่คำนึงถึงความเสี่ยงและโอกาสด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และเป็นความริเริ่มระดับสากลที่ใช้เสริมแรงสนับสนุนของอุตสาหกรรมประกันภัยในฐานะผู้บริหารความเสี่ยงภัย ผู้รับประกันภัย และผู้ลงทุน ในอันที่จะก่อให้เกิดเศรษฐกิจและประชาคมที่ยั่งยืน ทั่วถึง และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง บนโลกที่มีสุขภาวะ

การส่งเสริม ESG ในธุรกิจประกันภัยไทย
ในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้มีการบรรจุเรื่อง ESG ไว้ในแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2564 - 2568) โดยส่งเสริมให้ธุรกิจประกันภัยเป็นส่วนหนึ่ง ที่ผลักดันให้สังคมโดยรวม มีความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

ด้วยมาตรการที่จะส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เช่น การประกันภัยต้นไม้เพื่อส่งเสริมการปลูกต้นไม้ การพิจารณาปรับลดเบี้ยประกันภัยให้กับอุตสาหกรรมสีเขียว หรือรถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ

การนำมาตรการจูงใจให้บริษัทประกันภัยดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับหลักการ ESG มาใช้ เช่น มาตรการทางภาษีและการให้รางวัลแก่บริษัทประกันภัยที่ดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG

รวมทั้งมาตรการที่จะส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัยสนับสนุนธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีการดำเนินงานโดยคำนึงถึงความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เช่น การลงทุนในโครงการที่มีธรรมาภิบาล คำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือลงทุนในกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับ ESG จากหน่วยงานประเมินด้าน ESG โดยบริษัทประกันภัยจะได้รับสิทธิประโยชน์จากการลงทุนในโครงการหรือกองทุนดังกล่าว เป็นต้น

ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ยังได้มีการตั้งคณะทำงานการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ขึ้น เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของสำนักงาน โดยนำหลักการ ESG มาปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรม และให้เกิดความยั่งยืน

เข็มมุ่งของธุรกิจในทุกสาขา รวมถึงธุรกิจประกันภัยทั้งในและต่างประเทศ ต่างให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG ธุรกิจในภาคประกันภัย จำต้องปรับตัวรองรับกับทิศทางดังกล่าว เพื่อร่วมสร้างให้เกิดระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]