Sunday, January 19, 2020

3 ธีมความยั่งยืน ปี 63

ปี ค.ศ.2020 ที่เริ่มต้นขึ้น ถือเป็นปีแรกเริ่มของทศวรรษ 2020 ที่โลกต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และส่งผลกระทบไปยังทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในภาคเอกชน การบริหารกิจการให้อยู่รอดปลอดภัย สามารถคงธุรกิจที่มีอยู่ให้ดำเนินต่อไปได้ ในสภาวการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยที่ยังไม่ต้องพูดถึงการเติบโตให้ได้อย่างต่อเนื่อง ก็นับว่ายากแล้ว ทำให้กระแสเรื่องความยั่งยืนยิ่งเป็นวาระที่องค์กรในภาคธุรกิจ จำเป็นต้องศึกษาแนวโน้มที่เกิดขึ้นซึ่งมีความเป็นพลวัตสูง และประยุกต์เอาแนวทางที่สอดคล้องกับบริบททางธุรกิจของตน มาใช้ในการบริหารความยั่งยืนให้แก่กิจการ ซึ่งถือเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจได้ไปต่อในทศวรรษ 2020 ที่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว


แนวโน้มที่เกิดขึ้นในปี 2563 ค่อนข้างชัดว่า การให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง เป็นกระแสหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงในธีม “Stakeholder Capitalism” หรือ ทุนนิยมที่เอื้อต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มในระบบเศรษฐกิจ แทนที่จะสนองประโยชน์แก่เจ้าของทุนหรือเฉพาะผู้ถือหุ้นของกิจการอย่างที่ปฏิบัติกันมา

ภายใต้ธีมนี้ กิจการควรที่จะสามารถสานสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ในอันที่จะสร้างให้เกิดคุณค่าร่วมและยั่งยืน ไม่เพียงแต่การสร้างคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น แต่รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียทั้งกลุ่มพนักงาน ลูกค้า ผู้ส่งมอบ ชุมชนท้องถิ่น และสังคมโดยรวม สามารถผสานประโยชน์ที่แตกต่างของบรรดาผู้มีส่วนได้เสียให้ได้ดีที่สุด และในทิศทางที่เสริมความรุ่งเรืองของบริษัทในระยะยาว

ทั้งนี้ กิจการพึงระลึกว่า องค์กรของตนเป็นมากกว่าหน่วยเศรษฐกิจที่สร้างความมั่งคั่ง แต่ต้องสามารถคงบทบาทในการมีส่วนเติมเต็มความปรารถนาทางสังคมและผู้คนในระบบสังคมวงกว้าง ทั้งนี้ ผลประกอบการต้องถูกวัดโดยไม่จำกัดเพียงผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น แต่ต้องครอบคลุมถึงการบรรลุวัตถุประสงค์ทางสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG)

สอดรับกับธีมที่เกิดขึ้นในระดับองค์กร ที่เน้นคำว่า “Purpose” หรือ ความมุ่งประสงค์ที่องค์กรต้องคำนึงถึงเป็นพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจจากนี้ไป ถือเป็นเจตจำนงที่ต้องแสดงให้สาธารณชนได้รับทราบว่า เหตุใดเราจึงยังคงอยู่ (Why do we exist?) หรือธุรกิจเราอยู่เพื่อทำสิ่งใดที่เป็นความมุ่งประสงค์หลัก ใช่การแสวงหากำไรสูงสุดหรือไม่ หรือเป็นการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจไปพร้อมกับการสร้างคุณค่าร่วมให้แก่สังคม และคุณค่าที่กิจการจะส่งมอบมีความสอดคล้องกับสินทรัพย์และความเชี่ยวชาญที่มีอยู่ในองค์กรมากน้อยเพียงใด

ขณะที่ ความเคลื่อนไหวของพัฒนาการด้านความยั่งยืนในระดับสังคม ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องผลกระทบที่กิจการส่งผ่านสู่สังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งในปีนี้ ถือเป็นปีเริ่มต้นของทศวรรษ 2020 ที่จะไปสิ้นสุดในปี ค.ศ.2030 องค์กรหลายแห่งจะถือโอกาสนำเอาเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) มาตอบโจทย์ที่เป็นผลกระทบจากการขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืน โดยจะไปบรรจบครบวาระของ SDGs ในปี ค.ศ.2030 (ระยะ 10 ปี) ทำให้ธีมเรื่อง “SDG Impact” จะได้ฤกษ์ก่อตัวขึ้นในปี ค.ศ.2020 นี้

สำหรับท่าทีขององค์กรธุรกิจที่มีต่อแนวโน้มดังกล่าว คาดการณ์ได้ว่า จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่บอกว่า องค์กรของตนทำอยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่อยู่หัวขบวนหรืออยู่ในแถวหน้า กลุ่มนี้จะเป็นพวกนำเทรนด์ มีทรัพยากรที่จะใช้ดำเนินการอย่างเพียงพอ และผู้บริหารกิจการในกลุ่มนี้จะนำการขับเคลื่อนด้วยตัวเอง

องค์กรธุรกิจกลุ่มถัดมา จะเป็นกลุ่มที่บอกว่า องค์กรของตนได้เริ่มแล้ว คือ รับรู้ถึงแนวโน้มและเริ่มนำมาดำเนินการ กลุ่มนี้จะเป็นพวกทันเทรนด์ มีการตั้งงบประมาณเพื่อจะใช้ดำเนินการ และกิจการในกลุ่มนี้มักจะใช้ที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญช่วยในการขับเคลื่อน

องค์กรธุรกิจในกลุ่มที่สาม คือ กลุ่มที่บอกว่า องค์กรของตนกำลังติดตามศึกษาอยู่ ว่ามีความจำเป็นที่จะต้องรับเอาแนวโน้มเหล่านี้มาดำเนินการหรือไม่ กลุ่มนี้จะเป็นพวกตามเทรนด์ ยังไม่ได้มีการจัดสรรงบประมาณหรือทรัพยากรที่จะดำเนินการ กิจการในกลุ่มนี้ จะมีผู้ปฏิบัติงานที่เกาะติดเรื่องความยั่งยืน คอยอัปเดตให้ผู้บริหารกิจการได้รับทราบ เพื่อพิจารณาตัดสินใจว่า จะขับเคลื่อนดีหรือไม่

ทั้งสามกลุ่มนี้ ถือว่าเป็นองค์กรธุรกิจที่มีการปรับตัวเพื่อรับกับแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น ตามความพร้อมและทรัพยากรที่มีอยู่ ซึ่งจะมีอานิสงส์เกิดขึ้นในระดับที่แตกต่างกัน

ส่วนองค์กรธุรกิจที่ไม่มีการปรับตัว แต่ไม่อยากตกขบวน จะบอกว่า องค์กรของตนทำอยู่แล้ว โดยอาศัยการอ้างถึงกิจกรรมเดิมที่องค์กรได้ดำเนินการอยู่แล้ว และพยายามจัดเข้าพวกให้สอดคล้องกับแนวโน้มเหล่านั้น (แต่จริงๆ มิได้ดำเนินการอะไรใหม่ เพื่อรับกับแนวโน้มเหล่านี้)

ก็ขอให้ทุกองค์กรประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อนความยั่งยืนของกิจการในปี 2563 นี้ โดยถ้วนหน้าครับ


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Sunday, January 05, 2020

2020 : ปีแห่งการเป็นผู้ประกอบความยั่งยืน


Year of Sustainpreneurship

ในรอบปี 2562 ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์สำคัญๆ ในแวดวงธุรกิจกับการพัฒนาสู่ความยั่งยืน ที่ควรหยิบยกมากล่าวถึงอยู่ 4 เหตุการณ์ เริ่มจากการลงนามให้คำมั่นของ 181 ซีอีโอที่เป็นสมาชิกของสมาคม Business Roundtable ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1972 ในคำแถลงแห่งความมุ่งประสงค์ของกิจการ (Statement on the Purpose of a Corporation) ที่ปรับเปลี่ยนจุดยืนจากการดำเนินกิจการที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้น (Shareholders) เป็นหลักมาอย่างยาวนาน มาเป็นการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ทั้งหมด

เหตุการณ์ต่อมา ที่มีความคล้ายคลึงกัน คือ สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) ได้ออกคำประกาศเจตนาดาโวส 2020: ความมุ่งหมายสากลของบริษัทในยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ (Davos Manifesto 2020: The Universal Purpose of a Company in the Fourth Industrial Revolution) โดยมุ่งหมายที่จะสานสัมพันธ์ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ในอันที่จะสร้างให้เกิดคุณค่าร่วมและยั่งยืน ไม่เพียงแต่การสร้างคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น แต่รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียทั้งกลุ่มพนักงาน ลูกค้า ผู้ส่งมอบ ชุมชนท้องถิ่น และสังคมโดยรวม

อีกเหตุการณ์หนึ่ง ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย คือ การก่อตั้งเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (Thailand Responsible Business Network: TRBN) ที่ริเริ่มขึ้นโดยสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย และองค์กรร่วมก่อตั้งอีก 9 แห่ง ภายใต้วิสัยทัศน์ที่จะขับเคลื่อนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทเอกชนทั่วไปสู่การดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน

ส่วนเหตุการณ์ที่สี่ คือ การก่อตั้งประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน (Sustainability Disclosure Community: SDC) ที่สถาบันไทยพัฒน์เป็นผู้ริเริ่ม เพื่อใช้เป็นแพลตฟอร์มในการส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนและองค์กรธุรกิจที่เป็นสมาชิกของ SDC ได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ข้อมูลการดำเนินงาน ซึ่งครอบคลุมทั้งการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม หรือประเด็นด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) อันจะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียของกิจการ และการพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืนในระยะยาว รวมทั้งการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป้าหมายที่ 12.6 ร่วมกัน ซึ่งในปัจจุบันมีสมาชิกจำนวน 104 องค์กร

ทั้งนี้ จากฐานข้อมูล GRI Sustainability Disclosure Database (SDD) ซึ่งเป็นแหล่งรวมข้อมูลรายงานแห่งความยั่งยืนของกิจการทั่วโลก ประเทศไทยมีตัวเลขการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนที่อ้างอิงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน มากเป็นอันดับ 5 ของโลก ขณะที่การเปิดเผยข้อมูลในรูปของรายงานด้านความยั่งยืนที่จัดทำตามแนวทาง GRI ของไทย มีตัวเลขอยู่ในอันดับที่ 9 ของโลก

สำหรับในปี 2563 แนวโน้มความเคลื่อนไหวของภาคธุรกิจที่มีต่อการพัฒนาสู่ความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับประโยชน์และความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย ยังคงเป็นทิศทางหลักแห่งการขับเคลื่อน และจะเป็น “ปีแห่งการเป็นผู้ประกอบความยั่งยืน” หรือ “Year of Sustainpreneurship” ที่องค์กรธุรกิจ จะต้องสร้างภาวะผู้ประกอบความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในกิจการ ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ ความมุ่งประสงค์ (Purpose) การปฏิบัติการ (Performance) และผลกระทบ (Impact) ที่เกิดขึ้นต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดของกิจการ

แนวโน้มการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนของกิจการในปี 2563 นี้ จะเป็นขวบปีที่ท้าทาย และเป็นปีเริ่มต้นของทศวรรษ 2020 ครอบคลุมระยะเวลา 10 ปี จวบจนปี ค.ศ.2030 ซึ่งเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับที่สหประชาชาติ ได้เรียกร้องให้ทั้งโลกร่วมกันตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ให้บรรลุผลสำเร็จภายในปี ค.ศ.2030 เช่นกัน

สำหรับรายละเอียดของการเสริมสร้างภาวะผู้ประกอบความยั่งยืน (Sustainpreneurship) ในองค์ประกอบ Purpose-Performance-Impact ผมจะได้นำมาขยายความผ่านทางคอลัมน์นี้ ในโอกาสต่อไปครับ


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]