ปัจจุบันเรื่องการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) ไม่ได้จำกัดวงอยู่แต่ในภาคธุรกิจเอกชน แต่ยังรวมไปถึงบทบาทที่หน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนกลาง หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะต้องแสดงต่อประชาชนพลเมืองผ่านกระบวนการดำเนินงานตั้งแต่ระดับของการกำหนดนโยบาย การวางแผนงาน การปฏิบัติหน้าที่ และการสื่อสารประชาสัมพันธ์อย่างรับผิดชอบต่อสังคม
ในต่างประเทศ การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะปรากฏในรูปของการบริหารกิจการเมืองที่ผนวกเอาหลักการความรับผิดชอบต่อสังคมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจ มีการรายงานผลการดำเนินงานด้วยรูปแบบของรายงานที่เป็นมาตรฐานสากล เช่น Sustainability Report โดยตัวอย่างของเมืองที่นำเอาแนวปฏิบัติที่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม มาเป็นกลไกสำคัญในการบริหารและการรายงาน อาทิ เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมืองเคปทาวน์ ประเทศนิวซีแลนด์ และเมืองวูลเวอร์แฮมป์ตั้น ประเทศอังกฤษ
กรุงเทพมหานคร ในฐานะที่เป็นเมืองชั้นนำซึ่งได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักของนานาประเทศ และเป็นหนึ่งในสมาชิกของเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อความยั่งยืน (ICLEI - Local Governments for Sustainability) ซึ่งมีสมาชิกเข้าร่วม 1,012 เมือง ใน 84 ประเทศทั่วโลก สามารถนำเอาแนวทางการบริหารกิจการเมืองที่ผนวกเอาเรื่องของการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ (CSR) เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจอย่างเป็นรูปธรรม
กรุงเทพมหานคร ควรกำหนดนโยบายการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมให้มีความสอดคล้องกับนโยบายในระดับประเทศและสอดรับกับทิศทางของการพัฒนาเมืองในระดับสากล ภายใต้แนวทางพื้นฐานหลัก 3 ประการคือ
ประการที่หนึ่ง เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้บริหารไปจนถึงเจ้าหน้าที่ทั้งในระดับสำนักและสำนักงานเขตของกรุงเทพมหานคร รวมถึงผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตลอดจนเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครขององค์กรสาธารณประโยชน์ต่างๆ
ประการที่สอง สร้างกลไกและแนวปฏิบัติด้านความรับผิดชอบต่อสังคมบนพื้นฐานของความโปร่งใสและความเป็นเอกภาพ เพื่อให้องค์กรธุรกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแนวทางที่ชัดเจนในการดำเนินบทบาทความรับผิดชอบต่อสังคมและป้องกันมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน
ประการที่สาม ผลักดันให้มีการบรรจุเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมไว้ในนโยบายอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่อง และเอื้อต่อการส่งเสริมให้เกิดการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ
กรุงเทพมหานคร ควรกำหนดวาระของการดำเนินนโยบาย CSR ให้สอดคล้องกับแผนบริหารราชการกรุงเทพมหานคร 4 ปี ตามวาระของผู้บริหาร โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ดำเนินการโดยมีกำหนดเวลาแล้วเสร็จในปี 2556 และระยะการดำเนินนโยบาย 3 ปี (พ.ศ. 2557-2559) โดยนโยบาย CSR ที่ควรดำเนินการในปีแรก ได้แก่
(1) ศึกษารวบรวมและจัดระดับองค์ความรู้ด้าน CSR เพื่อใช้ในการเผยแพร่ โดยกำหนดให้มีการวางแนวทางในการดำเนินการเพื่อให้มีการนำนโยบาย CSR ของผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม ไปเผยแพร่ในระดับสำนักและสำนักงานเขต
(2) ริเริ่มบูรณาการงาน CSR ไว้ในแผนปฏิบัติราชการ โดยมีการประสานและสนับสนุนการจัดทำแผนปฏิบัติราชการของสำนักและสำนักงานเขต การกำหนดให้มีกิจกรรม ตัวชี้วัด และเกณฑ์การชี้วัดการปฏิบัติงานด้าน CSR ที่สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม ระยะ 4 ปี
(3) จัดหาช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้าน CSR อย่างทั่วถึง ด้วยการใช้สื่อในปัจจุบันที่กรุงเทพมหานครมีอยู่ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ หรือด้วยการสร้างช่องทางใหม่ในการสื่อสาร เช่น Bangkok City Channel สำหรับการเผยแพร่เรื่อง CSR โดยเฉพาะ การจัดฝึกอบรมในระดับสำนักและสำนักงานเขต การจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้เกิดการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการต่างๆ ในวงกว้าง
(4) มอบหมายให้มีรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่รับผิดชอบโดยตรง เพื่อให้มีการติดตามความก้าวหน้าและการประเมินผลการดำเนินงานด้าน CSR อย่างเป็นรูปธรรมสำหรับการดำเนินงานในปีแรก และเพื่อใช้เป็นข้อมูลฐานตั้งต้น (Baseline Data) สำหรับการดำเนินนโยบายในระยะ 3 ปีข้างหน้า
และมีนโยบาย CSR ที่ขอนำเสนอให้ กทม ดำเนินการภายในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2557-2559) โดยควรผนวกการดำเนินนโยบาย CSR เข้ากับการบริหารราชการกรุงเทพมหานคร ใน 3 เรื่องหลักด้วยกัน คือ Gateway - Green - Good Life
นโยบาย CSR สำหรับการพัฒนามหานครให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค (Gateway) ควรประกอบด้วย
1) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายด้านการศึกษา วัฒนธรรม และสุขภาพ โดยประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชนและองค์กรอิสระ ในการดำเนินงานร่วมกัน ภายใต้แบบแผนที่กรุงเทพมหานครกำหนดขึ้นอย่างชัดเจน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในด้านการศึกษา วัฒนธรรม และสุขภาพ โดยมีมาตรการที่สำคัญ เช่น กำหนดแนวทางในการบริหารราชการกรุงเทพมหานครที่เอื้อต่อการพัฒนาและการจัดการด้านการศึกษา วัฒนธรรม และสุขภาพ โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมดำเนินงานในรูปของ CSR
2) ปลูกจิตสำนึกด้านความรับผิดชอบต่อสังคมในภาคธุรกิจ นำร่องในธุรกิจท่องเที่ยว ให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และส่งเสริมวัฒนธรรมอันดีงาม รวมถึงการส่งเสริม CSR ในสายอุปทาน (supply chain) ของการท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีมาตรการที่สำคัญ เช่น สร้างกลไกและช่องทางให้นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมในการสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยวที่ปฏิบัติตามนโยบาย CSR อย่างเป็นรูปธรรม
นโยบาย CSR สำหรับการพัฒนามหานครให้มีความยั่งยืน เท่าเทียม โปร่งใส (Green) ควรประกอบด้วย
3) เพิ่มพื้นที่สีเขียว ด้วยการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ มีการเก็บภาษีหน่วยงานหรือองค์กรที่ก่อมลพิษ มีการผลักดันให้ CSR ถูกกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ และมีการสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยมีมาตรการที่สำคัญ เช่น ส่งเสริมให้มีการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มต้นจากหน่วยงานในสังกัดของกรุงเทพมหานคร เพื่อให้เป็นแบบอย่าง
4) เป็นมหานครตัวอย่างแห่งการจัดการเพื่อความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อมุ่งสู่การเป็นมหานครที่น่าอยู่และยั่งยืน (Sustainable Metropolis) ตามวิสัยทัศน์การพัฒนากรุงเทพมหานคร (Bangkok - 2020) ในบทบาทที่เป็นทั้งการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมของกรุงเทพมหานครเอง และบทบาทในการผลักดันให้หน่วยงานอื่นๆ ได้ดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการใช้กลไกที่มีอยู่ โดยมีมาตรการที่สำคัญ เช่น จัดให้มีโครงสร้างและหน่วยงานเพื่อรองรับการบริหารจัดการงานด้าน CSR ที่ชัดเจน หรือ ประกาศเกียรติคุณให้แก่หน่วยงานหรือองค์กรที่ขับเคลื่อน CSR จนมีผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนเป็นประจำทุกปี
นโยบาย CSR สำหรับการพัฒนามหานครให้สวยงาม ปลอดภัย น่าอยู่ เข้มแข็ง มีความสุข (Good Life) ควรประกอบด้วย
5) เสริมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และอยู่ดีมีสุข รวมทั้งส่งเสริมให้คนในกรุงเทพมหานครมีชีวิตและสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการประสานความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครกับชุมชนและเครือข่ายภาคีต่างๆ โดยมีมาตรการที่สำคัญ เช่น ประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักในผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อปลูกจิตสำนึกให้เอาใจใส่ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน
6) สนับสนุนให้ภาคธุรกิจเอกชนส่งเสริมการฝึกอาชีพและเผยแพร่วิถีชีวิตพอเพียงให้แก่ประชาชน เพื่อสร้างความตระหนักในการดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการฝึกอบรมให้ความรู้และการรณรงค์ทางสื่อต่างๆ ในลักษณะการเป็นหุ้นส่วนร่วมกับภาคธุรกิจเอกชน โดยมีมาตรการที่สำคัญ เช่น ร่วมกับบริษัท ห้างร้านต่างๆ เปิดโอกาสให้คนในชุมชนที่อยู่รายรอบสถานประกอบการเข้าฝึกงานเพื่อพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการทำงานของตนเอง
ฝากท่านผู้ว่าฯ คนใหม่ไว้ด้วยครับ...(จากคอลัมน์ หน้าต่าง CSR) [Archived]
Thursday, February 28, 2013
Thursday, February 14, 2013
CSR แห่งความรัก
วันนี้เป็นวันแห่งความรัก ชาว CSR ที่ทำงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม อาจจะมีวิธีแสดงความรักต่อสังคมที่แตกต่างกันไป บทความหน้าต่าง CSR ในวันแห่งความรักนี้ จึงขอประมวลวิธีแสดงความรักของชาว CSR ที่มีต่อสังคมใน 3 ประเภท ดังนี้
ชาว CSR ประเภท ‘รักที่จะให้’ คือ การดำเนินกิจกรรมของหน่วยงานที่ชาว CSR กลุ่มนี้สังกัดอยู่ ซึ่งโดยมากเป็นองค์กรธุรกิจที่แสวงหากำไร ในรูปของการให้ การบริจาค และการอาสาสมัคร เพื่อสร้างให้เกิดประโยชน์แก่สังคมในด้านต่างๆ โดยกิจกรรมที่ดำเนินการนั้น มักแยกต่างหากจากการดำเนินธุรกิจที่เป็นกระบวนการหลักของกิจการและเกิดขึ้นภายหลัง เช่น การแจกจ่ายสิ่งของช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ การบริจาคเงิน วัสดุใช้สอยให้แก่ชุมชนรอบถิ่นที่ตั้งของสถานประกอบการ การเป็นอาสาสมัครช่วยบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้เรียกว่า CSR-after-process และมักเป็นกิจกรรมที่อยู่นอกเหนือเวลาทำงานตามปกติ
ชาว CSR ประเภท ‘รักที่จะทำ’ คือ การดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมที่อยู่ในกระบวนการทำงานของชาว CSR หรือเป็นการทำธุรกิจที่หากำไรอย่างมีความรับผิดชอบ เช่น การป้องกันหรือกำจัดมลพิษในกระบวนการผลิตเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชุมชน การผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานตามข้อกำหนดในฉลากผลิตภัณฑ์ การเปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องครบถ้วนต่อผู้บริโภค การชดเชยความเสียหายให้แก่ลูกค้าที่เกิดจากความผิดพลาดและความบกพร่องของพนักงาน ซึ่งการดำเนินความรับผิดชอบเหล่านี้ เรียกว่า CSR-in-process และมักเป็นกิจกรรมที่อยู่ในเวลาทำงานปกติของกิจการ
ชาว CSR ประเภท ‘รักที่จะเป็น’ คือ การก่อตั้งหรือปรับเปลี่ยนองค์กรหรือหน่วยงานของชาว CSR ที่เกิดจากการผสมผสานอุดมการณ์ในแบบนักพัฒนาสังคมเข้ากับการบริหารจัดการในแบบผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นการผนวกจุดแข็งระหว่างแผนงานของภาคประชาสังคมกับกระบวนการที่มีประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ในอันที่จะสร้างให้เกิดประโยชน์แก่สังคมในทุกกระบวนการของกิจการ ขณะเดียวกันก็สามารถอยู่รอดได้ด้วยการพึ่งพาการดำเนินงานของตนเอง แทนการสนับสนุนจากแหล่งทุนภายนอกหรือได้รับการอุดหนุนจากภาษีของประชาชน ซึ่งการดำเนินงานในลักษณะนี้ เรียกว่าเป็น CSR-as-process และชาว CSR ที่บริหารองค์กรเหล่านี้ มักเรียกตัวเองว่า ผู้ประกอบการสังคม (social entrepreneur)
อันที่จริงในทุกองค์กร ล้วนแต่มีการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่แล้วทั้งสิ้น จะต่างกันก็ตรงความเข้มข้นของการดำเนินงานที่มีมากน้อยไม่เหมือนกัน องค์กรหนึ่งอาจมีความสำนึกรับผิดชอบสูงกว่า ขณะที่อีกองค์กรหนึ่งอาจมีการใช้ทรัพยากรในการดำเนิน CSR ได้อย่างมีประสิทธิภาพดีกว่า หรือองค์กรหนึ่งอาจสร้างให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมได้อย่างกว้างขวางกว่า หรือองค์กรอีกแห่งหนึ่งอาจส่งมอบผลลัพธ์จากการดำเนิน CSR ให้แก่สังคมได้ประสิทธิผลมากกว่า ดังนั้น การพิจารณาเรื่อง CSR ในองค์กรหนึ่งๆ จึงต้องคำนึงถึงทั้ง ‘วิธีการ-ผลลัพธ์’ ควบคู่กัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความรักด้วยวิธีใดก็ตาม อย่างน้อยที่สุด สังคมจะได้รับการดูแลและเอาใจใส่จากชาว CSR ไม่มากก็น้อย สิ่งสำคัญคือ ชาว CSR ต้องไม่เลือกที่จะรักสังคมเพียงบางช่วงเวลา ขณะที่ในเวลาอื่น ยังคงสร้างผลกระทบทางลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างไม่รับผิดชอบ หรือขาดความตระหนักในคุณค่าแห่งความรักที่มอบให้แก่กัน จนทำให้นิยามของ CSR แห่งความรัก กลายเป็นเรื่อง ‘ลูบหน้าปะจมูก’ หรือ ‘ตบหัวแล้วลูบหลัง’ ที่ไปบั่นทอนคุณค่าของเรื่อง CSR ลงอย่างน่าเสียดาย...(จากคอลัมน์ หน้าต่าง CSR) [Archived]
ชาว CSR ประเภท ‘รักที่จะให้’ คือ การดำเนินกิจกรรมของหน่วยงานที่ชาว CSR กลุ่มนี้สังกัดอยู่ ซึ่งโดยมากเป็นองค์กรธุรกิจที่แสวงหากำไร ในรูปของการให้ การบริจาค และการอาสาสมัคร เพื่อสร้างให้เกิดประโยชน์แก่สังคมในด้านต่างๆ โดยกิจกรรมที่ดำเนินการนั้น มักแยกต่างหากจากการดำเนินธุรกิจที่เป็นกระบวนการหลักของกิจการและเกิดขึ้นภายหลัง เช่น การแจกจ่ายสิ่งของช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ การบริจาคเงิน วัสดุใช้สอยให้แก่ชุมชนรอบถิ่นที่ตั้งของสถานประกอบการ การเป็นอาสาสมัครช่วยบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้เรียกว่า CSR-after-process และมักเป็นกิจกรรมที่อยู่นอกเหนือเวลาทำงานตามปกติ
ชาว CSR ประเภท ‘รักที่จะทำ’ คือ การดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมที่อยู่ในกระบวนการทำงานของชาว CSR หรือเป็นการทำธุรกิจที่หากำไรอย่างมีความรับผิดชอบ เช่น การป้องกันหรือกำจัดมลพิษในกระบวนการผลิตเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชุมชน การผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานตามข้อกำหนดในฉลากผลิตภัณฑ์ การเปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องครบถ้วนต่อผู้บริโภค การชดเชยความเสียหายให้แก่ลูกค้าที่เกิดจากความผิดพลาดและความบกพร่องของพนักงาน ซึ่งการดำเนินความรับผิดชอบเหล่านี้ เรียกว่า CSR-in-process และมักเป็นกิจกรรมที่อยู่ในเวลาทำงานปกติของกิจการ
ชาว CSR ประเภท ‘รักที่จะเป็น’ คือ การก่อตั้งหรือปรับเปลี่ยนองค์กรหรือหน่วยงานของชาว CSR ที่เกิดจากการผสมผสานอุดมการณ์ในแบบนักพัฒนาสังคมเข้ากับการบริหารจัดการในแบบผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นการผนวกจุดแข็งระหว่างแผนงานของภาคประชาสังคมกับกระบวนการที่มีประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ในอันที่จะสร้างให้เกิดประโยชน์แก่สังคมในทุกกระบวนการของกิจการ ขณะเดียวกันก็สามารถอยู่รอดได้ด้วยการพึ่งพาการดำเนินงานของตนเอง แทนการสนับสนุนจากแหล่งทุนภายนอกหรือได้รับการอุดหนุนจากภาษีของประชาชน ซึ่งการดำเนินงานในลักษณะนี้ เรียกว่าเป็น CSR-as-process และชาว CSR ที่บริหารองค์กรเหล่านี้ มักเรียกตัวเองว่า ผู้ประกอบการสังคม (social entrepreneur)
อันที่จริงในทุกองค์กร ล้วนแต่มีการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่แล้วทั้งสิ้น จะต่างกันก็ตรงความเข้มข้นของการดำเนินงานที่มีมากน้อยไม่เหมือนกัน องค์กรหนึ่งอาจมีความสำนึกรับผิดชอบสูงกว่า ขณะที่อีกองค์กรหนึ่งอาจมีการใช้ทรัพยากรในการดำเนิน CSR ได้อย่างมีประสิทธิภาพดีกว่า หรือองค์กรหนึ่งอาจสร้างให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมได้อย่างกว้างขวางกว่า หรือองค์กรอีกแห่งหนึ่งอาจส่งมอบผลลัพธ์จากการดำเนิน CSR ให้แก่สังคมได้ประสิทธิผลมากกว่า ดังนั้น การพิจารณาเรื่อง CSR ในองค์กรหนึ่งๆ จึงต้องคำนึงถึงทั้ง ‘วิธีการ-ผลลัพธ์’ ควบคู่กัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความรักด้วยวิธีใดก็ตาม อย่างน้อยที่สุด สังคมจะได้รับการดูแลและเอาใจใส่จากชาว CSR ไม่มากก็น้อย สิ่งสำคัญคือ ชาว CSR ต้องไม่เลือกที่จะรักสังคมเพียงบางช่วงเวลา ขณะที่ในเวลาอื่น ยังคงสร้างผลกระทบทางลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างไม่รับผิดชอบ หรือขาดความตระหนักในคุณค่าแห่งความรักที่มอบให้แก่กัน จนทำให้นิยามของ CSR แห่งความรัก กลายเป็นเรื่อง ‘ลูบหน้าปะจมูก’ หรือ ‘ตบหัวแล้วลูบหลัง’ ที่ไปบั่นทอนคุณค่าของเรื่อง CSR ลงอย่างน่าเสียดาย...(จากคอลัมน์ หน้าต่าง CSR) [Archived]
Thursday, February 07, 2013
การเปิดเผยข้อมูล CSR ในรายงานประจำปี
ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสของการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ได้ผลักดันให้ทุกภาคส่วนของสังคม หันมาให้ความสนใจการพัฒนาการดำเนินงานที่คำนึงถึงมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างมีความเชื่อมโยงกัน จนกลายเป็นทิศทางหลักของโลก ที่นานาประเทศให้ความเห็นชอบร่วมกันสำหรับใช้เป็นกรอบการพัฒนาทั้งในในระดับองค์กรจนถึงระดับประเทศ
ในมุมมองของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่เปิดเผยในเวทีแถลงทิศทาง CSR & Sustainability ปี 2556 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ให้ความสำคัญในการสร้างรากฐานสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดทุน สังคม และประเทศ ผ่านทางสถาบันธุรกิจเพื่อสังคม (CSRI) ซึ่งเป็นสถาบันหลักในการพัฒนาความรู้และส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ในกำกับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สำหรับในปี 2556 นี้ สถาบันธุรกิจเพื่อสังคม ได้กำหนดแผนงานที่สำคัญซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับหลักการ CSR ยุคการพัฒนาที่ยั่งยืน 2.0 กล่าวคือ การส่งเสริมสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนจัดทำรายงานความยั่งยืนของกิจการ (Corporate Sustainability Reporting)
ซึ่งในปีที่ผ่านมา สถาบันธุรกิจเพื่อสังคม ได้จัดทำและเผยแพร่คู่มือแนวทางการจัดทำรายงานแห่งความยั่งยืนตามหลักการรายงานสากล GRI (Global Reporting Initiatives) ขึ้น และในปีนี้ มีแผนที่จะจัดอบรมสัมมนาเพื่อให้บริษัทจดทะเบียนได้รับความรู้ความเข้าใจและสามารถนำหลักการรายงานดังกล่าวไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
ปัจจุบัน ผู้ลงทุนได้ให้ความสำคัญในการเลือกลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ภายใต้หลักธรรมาภิบาลมากขึ้น การจัดทำรายงานเปิดเผยข้อมูลตามหลัก GRI จะทำให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้อง เกี่ยวกับกลยุทธ์และการดำเนินงานของบริษัทในเรื่องดังกล่าวประกอบการตัดสินใจลงทุน
อีกทั้งการจัดทำรายงานดังกล่าว ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่องค์กรต่างๆ สามารถใช้ประเมินตนเอง เพื่อให้ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานได้ทราบว่า ยังมีกระบวนการทำงานใดบ้างที่องค์กรต้องปรับปรุงพัฒนา เพื่อให้บริษัทสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ในช่วงเสวนา "Integrated CSR Reporting" ยังได้มีการชี้แจงแนวทางการเปิดเผยข้อมูล CSR ในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี และรายงานประจำปี โดยคุณวรัชญา ศรีมาจันทร์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่ง ก.ล.ต. อยู่ระหว่างเตรียมออกประกาศเพื่อให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานด้าน CSR ไว้ในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1) และรายงานประจำปี ส่วนบริษัทที่จะออกและเสนอขายหลักทรัพย์ใหม่ ก็ให้เปิดเผยข้อมูลไว้ในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ 69-1) โดยประกาศนี้คาดว่าจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป
ในส่วนของสถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะหน่วยงานด้านวิชาการ ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือสนับสนุนการขับเคลื่อนความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ได้มีการยกร่างกรอบการรายงานข้อมูล CSR ในเล่มรายงานประจำปี (Integrated CSR Reporting Framework) เพื่อสำรวจความคิดเห็นของบริษัทจดทะเบียน ในการใช้กรอบการรายงานฉบับดังกล่าว เป็นแนวทางสำหรับจัดทำรายงาน CSR ที่สอดคล้องกับหลักการรายงานสากล GRI
โดยมีเนื้อหาที่แนะนำให้รายงานประกอบด้วย 10 หัวข้อ ได้แก่ การกำกับดูแลกิจการที่ดี การประกอบกิจการด้วยความเป็นธรรม การต่อต้านการทุจริต การเคารพสิทธิมนุษยชน การปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม ความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค การร่วมพัฒนาชุมชนและสังคม การจัดการสิ่งแวดล้อม นวัตกรรมและการเผยแพร่นวัตกรรมจากการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคม และการจัดทำรายงานแห่งความยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามเอกสารแนวทางความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ (พ.ศ. 2555) ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำขึ้น
สำหรับท่านที่ต้องการศึกษาและแสดงความคิดเห็นต่อร่างกรอบการรายงานข้อมูล CSR ในเล่มรายงานประจำปีฉบับดังกล่าว สามารถดาวน์โหลดเนื้อหาพร้อมแบบแสดงความคิดเห็นได้ที่ http://bit.ly/iCSRreport...(จากคอลัมน์ หน้าต่าง CSR) [Archived]
ในมุมมองของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่เปิดเผยในเวทีแถลงทิศทาง CSR & Sustainability ปี 2556 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ให้ความสำคัญในการสร้างรากฐานสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดทุน สังคม และประเทศ ผ่านทางสถาบันธุรกิจเพื่อสังคม (CSRI) ซึ่งเป็นสถาบันหลักในการพัฒนาความรู้และส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ในกำกับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สำหรับในปี 2556 นี้ สถาบันธุรกิจเพื่อสังคม ได้กำหนดแผนงานที่สำคัญซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับหลักการ CSR ยุคการพัฒนาที่ยั่งยืน 2.0 กล่าวคือ การส่งเสริมสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนจัดทำรายงานความยั่งยืนของกิจการ (Corporate Sustainability Reporting)
ซึ่งในปีที่ผ่านมา สถาบันธุรกิจเพื่อสังคม ได้จัดทำและเผยแพร่คู่มือแนวทางการจัดทำรายงานแห่งความยั่งยืนตามหลักการรายงานสากล GRI (Global Reporting Initiatives) ขึ้น และในปีนี้ มีแผนที่จะจัดอบรมสัมมนาเพื่อให้บริษัทจดทะเบียนได้รับความรู้ความเข้าใจและสามารถนำหลักการรายงานดังกล่าวไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
ปัจจุบัน ผู้ลงทุนได้ให้ความสำคัญในการเลือกลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ภายใต้หลักธรรมาภิบาลมากขึ้น การจัดทำรายงานเปิดเผยข้อมูลตามหลัก GRI จะทำให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้อง เกี่ยวกับกลยุทธ์และการดำเนินงานของบริษัทในเรื่องดังกล่าวประกอบการตัดสินใจลงทุน
อีกทั้งการจัดทำรายงานดังกล่าว ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่องค์กรต่างๆ สามารถใช้ประเมินตนเอง เพื่อให้ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานได้ทราบว่า ยังมีกระบวนการทำงานใดบ้างที่องค์กรต้องปรับปรุงพัฒนา เพื่อให้บริษัทสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ในช่วงเสวนา "Integrated CSR Reporting" ยังได้มีการชี้แจงแนวทางการเปิดเผยข้อมูล CSR ในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี และรายงานประจำปี โดยคุณวรัชญา ศรีมาจันทร์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่ง ก.ล.ต. อยู่ระหว่างเตรียมออกประกาศเพื่อให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานด้าน CSR ไว้ในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1) และรายงานประจำปี ส่วนบริษัทที่จะออกและเสนอขายหลักทรัพย์ใหม่ ก็ให้เปิดเผยข้อมูลไว้ในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ 69-1) โดยประกาศนี้คาดว่าจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป
ในส่วนของสถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะหน่วยงานด้านวิชาการ ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือสนับสนุนการขับเคลื่อนความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ได้มีการยกร่างกรอบการรายงานข้อมูล CSR ในเล่มรายงานประจำปี (Integrated CSR Reporting Framework) เพื่อสำรวจความคิดเห็นของบริษัทจดทะเบียน ในการใช้กรอบการรายงานฉบับดังกล่าว เป็นแนวทางสำหรับจัดทำรายงาน CSR ที่สอดคล้องกับหลักการรายงานสากล GRI
โดยมีเนื้อหาที่แนะนำให้รายงานประกอบด้วย 10 หัวข้อ ได้แก่ การกำกับดูแลกิจการที่ดี การประกอบกิจการด้วยความเป็นธรรม การต่อต้านการทุจริต การเคารพสิทธิมนุษยชน การปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม ความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค การร่วมพัฒนาชุมชนและสังคม การจัดการสิ่งแวดล้อม นวัตกรรมและการเผยแพร่นวัตกรรมจากการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคม และการจัดทำรายงานแห่งความยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามเอกสารแนวทางความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ (พ.ศ. 2555) ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำขึ้น
สำหรับท่านที่ต้องการศึกษาและแสดงความคิดเห็นต่อร่างกรอบการรายงานข้อมูล CSR ในเล่มรายงานประจำปีฉบับดังกล่าว สามารถดาวน์โหลดเนื้อหาพร้อมแบบแสดงความคิดเห็นได้ที่ http://bit.ly/iCSRreport...(จากคอลัมน์ หน้าต่าง CSR) [Archived]
Subscribe to:
Posts (Atom)