ถอดสูตร ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ
แม้บุคลิกจะเป็นคนชอบทำงานอยู่เบื้องหลัง แต่ชื่อ ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ก็ได้รับการยอมรับ เป็นหนึ่งในผู้รอบรู้และมีประสบการณ์โดดเด่นด้านบรรษัทบริบาล(CSR) และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ที่นำมาใช้กับภาคธุรกิจ เป็นภูมิคุ้มกันภัยให้กับองค์กรฝ่าวิกฤติได้ในทุกสภาวะ
และทำให้วันนี้สถาบันไทยพัฒน์ไม่เพียงกลายเป็นองค์กรที่เชี่ยวชาญด้านกิจกรรมและโครงการซีเอสอาร์ แต่ยังมีรูปแบบการทำงานที่สะท้อนความเป็นตัวตนอย่างชัดเจน
"วิธีการดูแลพนักงานผมเน้นลักษณะเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนได้มีส่วนร่วมในการคิดแผน แสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เป็นการสั่ง ถ้าภาษาของเถ้าแก่สมัยก่อนก็จะบอกว่าเป็นรูปแบบครอบครัว แต่ของเราเป็นแบบครอบครัวที่ไม่ได้มีการนับญาติเป็นใหญ่ เพราะว่าจะเป็นการทำงานในเชิง Professional"
ขณะที่รูปแบบการทำงานภายนอกองค์กร จะเปิดโอกาสในการทำงานแบบ ร่วมมือกันหรือมีส่วนร่วมด้วยนวัตกรรม (Contribution by Innovation)
"ตั้งแต่เด็ก เพื่อนๆ จะพูดเหมือนกัน คือ ผมจะไม่ค่อยพูดหรือ เล่าเรื่องราวตัวเองก่อน แต่จะคอยฟัง ถ้าคิดว่าจะสามารถเพิ่มเติมหรือเสริมอะไรได้ก็จะทำ ซึ่งกลายเป็นอุปนิสัยทั้งของตัวผมเองและองค์กรที่จะคอยรับฟังแล้วดูว่าอะไรที่เราช่วยได้ก็จะเข้าไปเสริม"
ส่วนหนึ่งที่เป็นสิ่งกำหนดตัวตน ดร.พิพัฒน์ บอกว่า พื้นเพครอบครัวเป็นคนหัวหิน เรียนเก่ง และชอบอ่านหนังสือท่านพุทธทาสมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ไม่ค่อยให้ไปเที่ยวเล่นไกลต้องอยู่ในสายตาตลอด พอสอบเข้าเตรียมอุดมฯได้ ครอบครัวก็ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ หลังจากนั้นก็ต่อวิศวกรรมไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วิถีชีวิตที่ผ่านมาค่อนข้างเรียบง่ายเหมือนบุคลิกส่วนตัว โดยเริ่มต้นทำงานเป็นวิศวกรไฟฟ้าอยู่พักใหญ่พร้อมกับเรียนต่อปริญญาโทด้านไอทีที่จุฬาฯ หลังจากนั้นชีวิตจึงหักเหมาทำงานด้านไอทีกับ เอคเซนเจอร์ บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกพักหนึ่งจนกระทั่ง ปี 2543 ได้ไปเรียนต่อปริญญาเอกด้านพระพุทธศาสนา(Buddhist Studies) ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ดร.พิพัฒน์เผยว่าจุดเปลี่ยนเริ่มขึ้น ตอนเรียนปริญญาเอกได้เจอกับ อ.อภิชัย พันธเสน ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องเศรษฐศาสตร์และกำลังเขียนหนังสือ "พุทธเศรษฐศาสตร์" รู้สึกประทับใจจึงขอเข้าไปช่วยงานเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงด้านฐานข้อมูลวิจัย หลังๆ ได้รับความไว้วางใจให้ทำวิจัยและเป็นหัวหน้าทีมเอง
ตอนนั้นทำงานเป็นลูกจ้างเอคเซนเจอร์ เงินเดือนก็โอเค แต่ความรู้สึกแต่ละวันที่ตื่นมาทำงานมันเหมือนแห้งแล้งไม่ชุ่มชื่นหัวใจ แม้กระทั่งเพื่อนยังต้องแข่งกัน ก็รู้สึกว่าน่าจะมีแนวทางทำงานแบบที่ไม่ต้องสุดโต่ง คือทำงานเป็นครอบครัวและมีผลงานได้ด้วย จึงร่วมกับเพื่อนก่อตั้ง "ชมรมไทยพัฒน์" ภายหลังเปลี่ยนสถานภาพเป็น "สถาบันไทยพัฒน์" และอยู่ภายใต้มูลนิธิ ตั้งแต่นั้นมา
"แม้กลุ่มผู้ริเริ่มจะเป็นพุทธเศรษฐศาสตร์แต่เราไม่ได้ยึดติด หลักการทำงานเราจะเรียกรวมๆ ว่า แนวการดำเนินธุรกิจแบบกระแสรอง คล้ายๆ เศรษฐศาสตร์ทางเลือกไม่ใช่กระแสหลักที่เป็นทุนนิยม"
ดร.พิพัฒน์ อธิบายว่า ตอนเรียนพุทธศาสนาไม่ได้ตั้งใจเอามาใช้ในการงาน แต่เป็นความสนใจส่วนตัว เพียงแต่มีหลายสิ่งนำมาใช้ประโยชน์กับองค์กรได้ "ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเอาตรงนี้มาเป็นอาชีพให้คำปรึกษา แต่มุ่งเรื่องการทำงานอย่างมีความสุข ไม่ต้องแข่งขันมาก พอได้รู้จักอาจารย์อภิชัย ซึ่งสอนเรื่องพุทธเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจพอเพียง และ ซีเอสอาร์ ที่เกี่ยวข้องกันก็เลยได้มาทำจริงจัง"
ซึ่งดร.พิพัฒน์เชื่อว่าเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และซีเอสอาร์ องค์กรในเมืองใหญ่มีทำกันอยู่เพียงแต่ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร จึงไปชี้ให้เห็นว่าที่ทำอยู่นั้นจัดอยู่หมวดหมู่ไหน "การทำซีเอสอาร์จริงๆ แล้ว สอดคล้องกับหลักธรรม เช่น การให้ทาน ซึ่งการให้ที่มีอานิสงค์ต้องดูทั้งผู้ให้ ของที่ให้และทั้งผู้รับด้วย"
จึงไม่ต่างจากหลักการทำงาน ที่ดร.พิพัฒน์ บอกว่า "ต้องเปิดด้วยความจริงใจ ซึ่งใช้เวลา และไม่มีสูตรสำเร็จ" อธิบายว่าวิถีการทำธุรกิจ ระหว่างแนวทางทุนนิยมและแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง หรือ พุทธเศรษฐศาสตร์ ล้วนมีความเชื่อที่ต่างกัน "ธุรกิจที่ทำวันนี้เหมือนมีความเชื่อว่าทำงาน ผลิตของเพื่อแลกกับเงิน แล้วเอาเงินไปแลกกับความสุข เป็นรูปแบบที่คนทำงานหาเงินไปซื้อความสุข แต่ความสุขที่ซื้อมาแต่ละวันเป็นความสุขจากที่ต้องทนทำงานแบบสุดโต่ง"
ขณะที่ทางพุทธเศรษฐศาสตร์ หรือ เศรษฐกิจพอเพียง จะให้ความสำคัญกับทุนที่เป็นคน มีจิตวิญญาณ ไม่ต้องสุดโต่งเพื่อแลกกับเงินมาซื้อความสุข แต่สามารถทำงานแล้วมีความสุขสบายใจไปด้วย
ซึ่งสอดรับกับหลักปรัชญาในการทำงาน ที่ ดร.พิพัฒน์ ยึดคติที่ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก คือ "ทำแต่ความดี" และ "อย่าไว้ใจความคิดตัวเอง" เพราะว่ายิ่งเราประสบความสำเร็จ ยิ่งไม่ปลอดภัยจากการปรุงแต่งของจิตที่อคติ "การได้ทบทวนความคิดของเราบางทีช่วยให้ทำอะไรได้มากกว่าที่เป็นอยู่"
ผ่านประสบการณ์ทำงานมาพอสมควร ดร.พิพัฒน์ ยังมีข้อคิดเสริมการทำงานคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะก้าวสู่การเป็นนักบริหารที่ดีว่า นอกเหนือจากการเปิดใจรับฟังเพื่อนร่วมงานแล้ว องค์ประกอบที่สำคัญอีกส่วนคือ ต้องมีความอดทน มีความเพียร อย่าเอาแต่โทษปัจจัยภายนอกโดยไม่มองตัวเอง
พร้อมกับอ้างถึงพระราชดำรัสในหลวงพระราชทานกับข้าราชการที่มักบ่นให้พระองค์ท่านฟังอ้างถึงการทำงานไม่ได้เพราะขาดงบประมาณ ขาดทรัพยากร ขาดการประสาน สิ่งที่พระองค์ท่านตรัสคำเดียวว่า "เราต้องทำงานบนความขาดแคลน คือถ้าไปรอให้ทุกอย่างพร้อม รับรองไม่ได้ทำ แต่ท่านเริ่มทำในสิ่งที่ท่านมีอยู่ตรงหน้าในปัจจุบันให้ดีที่สุด ทำไปแล้วมีคนมาเติมทรัพยากรให้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่มีคนมาเติมให้ก็ต้องทำงานบนความขาดแคลน"
น่าจะเป็นคติที่เหมาะกับการบริหารธุรกิจที่วันนี้ต้องทำงานบนปัจจัยที่มีอยู่ตรงหน้า ถ้าจะรอให้เศรษฐกิจกระเตื้องก่อน ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงกี่ปี
(จาก Section CEO Focus ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 29 ฉบับที่ 2,431 วันที่ 31 พ.ค.-3 มิ.ย. 2552)
Sunday, May 31, 2009
Wednesday, May 27, 2009
การปลูกฝัง CSR ในองค์กร
ในวันนี้เรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ หรือ Corporate Social Responsibility - CSR ได้แผ่ขยายเข้าไปในหลายธุรกิจ จนทำให้ผู้บริหารองค์กรต่างต้องทำการศึกษารับมือ เพื่อค้นหาแนวทางในการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคม ที่เหมาะสมสำหรับองค์กรของตนเองกันอย่างขนานใหญ่
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การที่ท่านเพิ่งศึกษาหรือรับทราบเรื่องราว CSR จากภายนอก มิได้หมายความว่า ที่ผ่านมาองค์กรของท่านมิได้มีเรื่อง CSR อยู่ในองค์กร หากแต่สิ่งที่ท่านทำอยู่ ยังไม่ได้เรียกหรือสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจในภาษา CSR เท่านั้นเอง
แท้ที่จริงแล้ว ในทุกองค์กรธุรกิจ ล้วนแล้วแต่มีการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่แล้วทั้งสิ้น จะต่างกันก็ตรงความเข้มข้นของการดำเนินงานที่มีมากน้อยไม่เหมือนกัน องค์กรหนึ่งอาจมีความสำนึกรับผิดชอบสูงกว่า ขณะที่อีกองค์กรหนึ่งอาจมีการใช้ทรัพยากรในการดำเนิน CSR ได้อย่างมีประสิทธิภาพดีกว่า หรือองค์กรหนึ่งอาจสร้างให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมได้อย่างกว้างขวางกว่า หรือองค์กรอีกแห่งหนึ่งอาจส่งมอบผลลัพธ์จากการดำเนิน CSR ให้แก่สังคมได้ประสิทธิผลมากกว่า ฉะนั้น การพิจารณาเรื่อง CSR ในองค์กรหนึ่งๆ จึงต้องคำนึงถึงทั้ง ‘กระบวนการ-ผลลัพธ์’ ควบคู่กันไป
เป็นเรื่องจริงที่องค์กรธุรกิจหนึ่งๆ แม้จะดำเนินกิจกรรม CSR สู่ภายนอกจนได้รับรางวัลต่างๆ นานา แต่กลับพบว่า พนักงานในองค์กรมิได้มีความรู้สึกภาคภูมิใจหรือมีส่วนในความสำเร็จร่วมกับองค์กรนั้นๆ ด้วยเลย แสดงว่าองค์กรธุรกิจนี้ อาจต้องไปปรับปรุง “กระบวนการ” ดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมภายในองค์กรเอง
การส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของพนักงาน เป็นเงื่อนไขสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรม CSR ขององค์กร ยังมีหลายองค์กรที่เข้าใจผิดคิดว่า การให้พนักงานเข้ามามีส่วนร่วมดำเนินกิจกรรม CSR จะทำให้เสียเวลางานหรือมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ จึงใช้วิธีว่าจ้างหน่วยงานภายนอกดำเนินงานให้ โดยมีการตั้งผู้รับผิดชอบหรือมอบหมายให้ฝ่ายงานใดฝ่ายงานหนึ่งมาคอยกำกับดูแลกิจกรรม CSR ดังกล่าว
การให้บริการลูกค้าอย่างซื่อสัตย์และเต็มใจ การปฏิบัติต่อคู่ค้าอย่างซื่อตรงและเป็นธรรม การดูแลสวัสดิภาพ ความปลอดภัย อาชีวอนามัยในการทำงาน หรือการไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่มิชอบ กิจกรรมที่ยกมาเป็นตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งสิ้น และไม่สามารถมอบหมายให้บุคคลภายนอกมาดำเนินการแทนได้ แต่เป็นเรื่องที่ต้องปลูกฝังให้แก่พนักงานในองค์กรโดยตรง...(อ่านรายละเอียดในคอลัมน์ บริหารธุรกิจ-บริบาลสังคม) [Archived]
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การที่ท่านเพิ่งศึกษาหรือรับทราบเรื่องราว CSR จากภายนอก มิได้หมายความว่า ที่ผ่านมาองค์กรของท่านมิได้มีเรื่อง CSR อยู่ในองค์กร หากแต่สิ่งที่ท่านทำอยู่ ยังไม่ได้เรียกหรือสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจในภาษา CSR เท่านั้นเอง
แท้ที่จริงแล้ว ในทุกองค์กรธุรกิจ ล้วนแล้วแต่มีการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่แล้วทั้งสิ้น จะต่างกันก็ตรงความเข้มข้นของการดำเนินงานที่มีมากน้อยไม่เหมือนกัน องค์กรหนึ่งอาจมีความสำนึกรับผิดชอบสูงกว่า ขณะที่อีกองค์กรหนึ่งอาจมีการใช้ทรัพยากรในการดำเนิน CSR ได้อย่างมีประสิทธิภาพดีกว่า หรือองค์กรหนึ่งอาจสร้างให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมได้อย่างกว้างขวางกว่า หรือองค์กรอีกแห่งหนึ่งอาจส่งมอบผลลัพธ์จากการดำเนิน CSR ให้แก่สังคมได้ประสิทธิผลมากกว่า ฉะนั้น การพิจารณาเรื่อง CSR ในองค์กรหนึ่งๆ จึงต้องคำนึงถึงทั้ง ‘กระบวนการ-ผลลัพธ์’ ควบคู่กันไป
เป็นเรื่องจริงที่องค์กรธุรกิจหนึ่งๆ แม้จะดำเนินกิจกรรม CSR สู่ภายนอกจนได้รับรางวัลต่างๆ นานา แต่กลับพบว่า พนักงานในองค์กรมิได้มีความรู้สึกภาคภูมิใจหรือมีส่วนในความสำเร็จร่วมกับองค์กรนั้นๆ ด้วยเลย แสดงว่าองค์กรธุรกิจนี้ อาจต้องไปปรับปรุง “กระบวนการ” ดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมภายในองค์กรเอง
การส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของพนักงาน เป็นเงื่อนไขสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรม CSR ขององค์กร ยังมีหลายองค์กรที่เข้าใจผิดคิดว่า การให้พนักงานเข้ามามีส่วนร่วมดำเนินกิจกรรม CSR จะทำให้เสียเวลางานหรือมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ จึงใช้วิธีว่าจ้างหน่วยงานภายนอกดำเนินงานให้ โดยมีการตั้งผู้รับผิดชอบหรือมอบหมายให้ฝ่ายงานใดฝ่ายงานหนึ่งมาคอยกำกับดูแลกิจกรรม CSR ดังกล่าว
การให้บริการลูกค้าอย่างซื่อสัตย์และเต็มใจ การปฏิบัติต่อคู่ค้าอย่างซื่อตรงและเป็นธรรม การดูแลสวัสดิภาพ ความปลอดภัย อาชีวอนามัยในการทำงาน หรือการไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่มิชอบ กิจกรรมที่ยกมาเป็นตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งสิ้น และไม่สามารถมอบหมายให้บุคคลภายนอกมาดำเนินการแทนได้ แต่เป็นเรื่องที่ต้องปลูกฝังให้แก่พนักงานในองค์กรโดยตรง...(อ่านรายละเอียดในคอลัมน์ บริหารธุรกิจ-บริบาลสังคม) [Archived]
Monday, May 04, 2009
การเตรียมข้อมูลสำหรับรางวัล CSR
ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับองค์กรธุรกิจและรัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่ดำเนินงานด้านบรรษัทบริบาล (Corporate Social Responsibility : CSR) มาอย่างต่อเนื่อง จะคำนึงถึงการเสนอชื่อหน่วยงานหรือโครงการเข้าประกวด เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นวิสาหกิจดีเด่นในการดำเนินงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมจากหน่วยงานผู้มอบรางวัล CSR Award ต่างๆ
คำถามที่เกิดขึ้นในองค์กรธุรกิจและรัฐวิสาหกิจที่มีความสนใจเข้าร่วมประกวดส่วนใหญ่คือ จะมีเกณฑ์อะไรในการคัดเลือกโครงการที่สมควรได้รับรางวัล หรือเรียกว่าเข้าตากรรมการผู้พิจารณามอบรางวัล CSR Award และมีความโดดเด่นกว่าโครงการขององค์กรอื่นๆ
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันทั้งฝั่งของผู้เสนอตัวเข้าประกวดและกรรมการผู้ตัดสินรางวัลว่า CSR เป็นความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ ซึ่งหมายถึงการดำเนินงานขององค์กรที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่รวมทั้งงานหรือภาระหน้าที่ในกระบวนการ (CSR in process) และที่ทำเพิ่มเติมโดยสมัครใจ เพื่อช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อมนอกกระบวนการ (CSR after process) นับ ตั้งแต่การเยียวยาฟื้นฟูจากที่ติดลบให้กลับเป็นปกติ และจากปกติให้น่าอยู่หรือเป็นบวกมากขึ้น การดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ จึงต้องถูกผนวกอยู่ในทุกกระบวนการงานขององค์กร มิใช่เป็นกิจกรรม/โครงการเพื่อสังคม เพียงกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง หรือโครงการใดโครงการหนึ่งเท่านั้น
ฉะนั้นหากองค์กรใดกำลังพิจารณาที่ตัวโครงการเพื่อส่งเข้าประกวดเป็นหลัก หรือในฝั่งกลับกัน หากหน่วยงานผู้มอบรางวัลพิจารณาตัดสินที่ตัวโครงการเป็นหลัก ก็ แสดงว่ายังไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างดีพอที่จะส่งเข้าประกวด หรือที่จะมาพิจารณามอบรางวัลกันทั้งสองฝ่าย ยกเว้นว่าเวทีการประกวดนั้น มีข้อกำหนดที่เฉพาะเจาะจงว่า เป็นการประกวดกิจกรรมเพื่อสังคมหรือโครงการเพื่อสังคม ซึ่งก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นอกจากปัจจัยในเรื่องเนื้อหาการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการที่ต้องมีความเข้มข้น สามารถตอบโจทย์หรือปัญหาของสังคมได้ตรงตามต้องการ และก่อให้เกิดผลกระทบอย่างจริงจังแล้ว การให้ข้อมูลหรือการตอบแบบสอบถามเพื่อเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกรับรางวัล ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ เพราะหลายครั้งที่องค์กรซึ่งดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมได้อย่างน่ายกย่อง แต่กลับไม่ได้รับรางวัล เนื่องจากขาดการเตรียมข้อมูลที่ดีพอ และมิได้หมายความว่า วิสาหกิจอื่นซึ่งได้รับรางวัลจะดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมได้ดีไปกว่าองค์กรเหล่านี้แต่อย่างใด
การตอบแบบสอบถามเพื่อเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกรับรางวัลจะต้องประกอบด้วยความแม่นยำ (accuracy) ความครอบคลุม (coverage) ความมีนัยสำคัญ (materiality) และความชัดเจน (clarity) โดยประเด็นที่อยากจะกล่าวถึงในที่นี้คือ เรื่องความครอบคลุมและความมีนัยสำคัญของเนื้อหาการดำเนินงานด้านสังคมและ สิ่งแวดล้อม...(จากคอลัมน์ CEO Talk) [Archived]
คำถามที่เกิดขึ้นในองค์กรธุรกิจและรัฐวิสาหกิจที่มีความสนใจเข้าร่วมประกวดส่วนใหญ่คือ จะมีเกณฑ์อะไรในการคัดเลือกโครงการที่สมควรได้รับรางวัล หรือเรียกว่าเข้าตากรรมการผู้พิจารณามอบรางวัล CSR Award และมีความโดดเด่นกว่าโครงการขององค์กรอื่นๆ
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันทั้งฝั่งของผู้เสนอตัวเข้าประกวดและกรรมการผู้ตัดสินรางวัลว่า CSR เป็นความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ ซึ่งหมายถึงการดำเนินงานขององค์กรที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่รวมทั้งงานหรือภาระหน้าที่ในกระบวนการ (CSR in process) และที่ทำเพิ่มเติมโดยสมัครใจ เพื่อช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อมนอกกระบวนการ (CSR after process) นับ ตั้งแต่การเยียวยาฟื้นฟูจากที่ติดลบให้กลับเป็นปกติ และจากปกติให้น่าอยู่หรือเป็นบวกมากขึ้น การดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ จึงต้องถูกผนวกอยู่ในทุกกระบวนการงานขององค์กร มิใช่เป็นกิจกรรม/โครงการเพื่อสังคม เพียงกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง หรือโครงการใดโครงการหนึ่งเท่านั้น
ฉะนั้นหากองค์กรใดกำลังพิจารณาที่ตัวโครงการเพื่อส่งเข้าประกวดเป็นหลัก หรือในฝั่งกลับกัน หากหน่วยงานผู้มอบรางวัลพิจารณาตัดสินที่ตัวโครงการเป็นหลัก ก็ แสดงว่ายังไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างดีพอที่จะส่งเข้าประกวด หรือที่จะมาพิจารณามอบรางวัลกันทั้งสองฝ่าย ยกเว้นว่าเวทีการประกวดนั้น มีข้อกำหนดที่เฉพาะเจาะจงว่า เป็นการประกวดกิจกรรมเพื่อสังคมหรือโครงการเพื่อสังคม ซึ่งก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นอกจากปัจจัยในเรื่องเนื้อหาการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการที่ต้องมีความเข้มข้น สามารถตอบโจทย์หรือปัญหาของสังคมได้ตรงตามต้องการ และก่อให้เกิดผลกระทบอย่างจริงจังแล้ว การให้ข้อมูลหรือการตอบแบบสอบถามเพื่อเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกรับรางวัล ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ เพราะหลายครั้งที่องค์กรซึ่งดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมได้อย่างน่ายกย่อง แต่กลับไม่ได้รับรางวัล เนื่องจากขาดการเตรียมข้อมูลที่ดีพอ และมิได้หมายความว่า วิสาหกิจอื่นซึ่งได้รับรางวัลจะดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมได้ดีไปกว่าองค์กรเหล่านี้แต่อย่างใด
การตอบแบบสอบถามเพื่อเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกรับรางวัลจะต้องประกอบด้วยความแม่นยำ (accuracy) ความครอบคลุม (coverage) ความมีนัยสำคัญ (materiality) และความชัดเจน (clarity) โดยประเด็นที่อยากจะกล่าวถึงในที่นี้คือ เรื่องความครอบคลุมและความมีนัยสำคัญของเนื้อหาการดำเนินงานด้านสังคมและ สิ่งแวดล้อม...(จากคอลัมน์ CEO Talk) [Archived]
Subscribe to:
Posts (Atom)