Saturday, July 27, 2024

การพัฒนาความยั่งยืนจาก 'องค์กร' สู่ 'องค์รวม'

การวางเส้นทางความยั่งยืนขององค์กร เป็นการเดินทางใน ‘โลกคู่ผสม’ ที่ความยั่งยืนของกิจการกับความยั่งยืนของส่วนรวม สามารถขับเคลื่อนสอดประสานไปด้วยกัน

เวลาที่เราพูดเรื่องความยั่งยืนในบริบทของการทำธุรกิจ ประเด็นที่มักถกเถียงกันโดยไม่มีข้อยุติ คือ การดำเนินธุรกิจควรเป็นไปเพื่อความยั่งยืนของใคร จะเป็นความยั่งยืนของกิจการ หรือความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวม

คำตอบแรกในใจของผู้บริหาร เชื่อว่า ความยั่งยืนของกิจการต้องมาก่อน ส่วนความยั่งยืนอื่นใด จะพิจารณาเป็นลำดับถัดไป ซึ่งมักจะตรงข้ามกับสิ่งที่ผู้บริหารแถลงกับสาธารณะ ในทางที่สร้างภาพลักษณ์ว่า กิจการที่ตนดูแลประกอบธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนของส่วนรวม ก่อนความยั่งยืนของกิจการ

แน่นอนว่า หากผู้บริหารยึดประโยชน์โดยใช้เกณฑ์วัดที่เป็นผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น กรณีแรกนี้ การดำเนินงานจะมุ่งที่ความยั่งยืนของกิจการเป็นหลัก แต่หากผู้บริหารใช้เกณฑ์วัดที่เป็นผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสีย กรณีหลังนี้ การดำเนินงานจะมุ่งที่ความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ

ที่ผ่านมา การดำเนินงานหรือการตัดสินใจทางธุรกิจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มักต้องเลือกระหว่างผลตอบแทนหรือผลกระทบ ทำให้เส้นทางความยั่งยืนที่องค์กรวางไว้ จึงเป็นเหมือนการเดินทางใน ‘โลกคู่ขนาน’ ที่ความยั่งยืนของกิจการ กับความยั่งยืนของส่วนรวม ไม่อาจมาบรรจบกันได้

ความพยายามที่จะให้ธุรกิจดำเนินงานโดยคำนึงถึงความยั่งยืนในทั้งสองทาง ได้มาถึงจุดที่มีการพัฒนาเครื่องมือหนึ่ง ที่เรียกว่า การประเมินทวิสารัตถภาพ (Double Materiality) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นประเด็นความยั่งยืนทั้งในแง่ที่เป็นผลกระทบ (Impacts) ความเสี่ยง (Risks) และโอกาส (Opportunities) รวมเรียกว่า ชุดประเด็น IROs ที่สำคัญกับกิจการ

ตั้งต้นจากการพิจารณาการดำเนินงานของกิจการที่มีผลกระทบสู่ภายนอก (Inside-out) เช่น ประเด็นมลอากาศ ของเสีย หรือความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในการจัดทำกลยุทธ์องค์กร การปรับปรุงตัวแบบทางธุรกิจ รวมทั้งการตัดสินใจของฝ่ายจัดการ (และในการลงทุน) ตลอดจนใช้ในการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้เสียผ่านการรายงานความยั่งยืน

ถัดมาเป็นการพิจารณาผลกระทบภายนอกที่มีต่อตัวกิจการ (Outside-in) เช่น ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภูมิรัฐศาสตร์ หรือเงินเฟ้อ เพื่อใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในการระบุความเสี่ยงและโอกาสต่อการดำเนินงานทางธุรกิจ สำหรับวางแผนจัดการความเสี่ยง หรือแผนพัฒนาธุรกิจใหม่ เป็นต้น

ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดจากกิจการในแบบ Inside-out ซึ่งมีนัยสำคัญและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจและการดำเนินงานของฝ่ายจัดการโดยคำนึงถึงผลกระทบเหล่านั้น อาจส่งผลย้อนกลับหรือถูกยกขึ้นเป็นความเสี่ยงและโอกาสที่สำคัญในแบบ Outside-in ได้ด้วย

โดยความเกี่ยวโยงระหว่างการดำเนินงานของกิจการที่มีผลกระทบสู่ภายนอก กับความเสี่ยงและโอกาสที่มีต่อตัวกิจการ ในตัวอย่างประเด็นมลอากาศ ได้แก่ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะช่วยลดความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และอาจช่วยเพิ่มโอกาสทางรายได้ใหม่จากการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต

ในตัวอย่างประเด็นของเสีย ได้แก่ การนำของเสียมาแปรสภาพใช้ใหม่ มาใช้ผลิตใหม่ หรือนำกลับมาใช้ซ้ำ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือในตัวอย่างประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น กรณีการระบาดของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำ เป็นความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงานที่มีผลกระทบสูงต่อระบบนิเวศ ซึ่งสามารถย้อนกลับมาเป็นภาระรับผิดชอบที่กิจการต้องดำเนินการป้องกัน แก้ไข และเยียวยาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเกิดข้อผิดพลาด

ดังนั้น การประเมินทวิสารัตถภาพ โดยมีจุดตั้งต้นจากการวิเคราะห์ผลกระทบความยั่งยืน (Sustainability Impact) เพื่อให้ได้มาซึ่งชุดประเด็น IROs ที่สำคัญกับกิจการ จึงมีความจำเป็นยิ่งต่อการพัฒนากลยุทธ์การดำเนินงานขององค์กรให้สามารถตอบโจทย์ความยั่งยืนได้ในทั้งสองทาง

และจะทำให้การวางเส้นทางความยั่งยืนขององค์กร เป็นการเดินทางใน ‘โลกคู่ผสม’ ที่ความยั่งยืนของกิจการกับความยั่งยืนของส่วนรวม สามารถขับเคลื่อนสอดประสานไปด้วยกัน ภายใต้ชุดประเด็น IROs ที่กิจการคัดเลือกมาดำเนินการ ด้วยเห็นว่ามีความเกี่ยวเนื่อง มีนัยสำคัญสูง สอดคล้องกับบริบทความยั่งยืนขององค์กร และที่สำคัญ สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียได้อย่างรอบด้าน

สถาบันไทยพัฒน์ องค์กรที่มุ่งเน้นงานส่งเสริมความยั่งยืนของกิจการ และขับเคลื่อนประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ร่วมกับภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี เล็งเห็นถึงความสำคัญในการปูพื้นความเข้าใจเรื่องทวิสารัตถภาพ จึงได้พัฒนา Double Materiality Course ที่สอดคล้องกับแนวทางการนำไปปฏิบัติตามมาตรฐาน ESRS ขึ้นเพื่อจัดอบรมในเดือนสิงหาคมนี้ องค์กรที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ thaipat.org


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, July 13, 2024

10 ปี การเดินทางของหุ้น ESG100

นับตั้งแต่ที่สถาบันไทยพัฒน์บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ และเป็นผู้ริเริ่มการประเมินข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ของบริษัทจดทะเบียนในปี พ.ศ. 2558 ได้ทำการประกาศรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่า กลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ซึ่งถือเป็นการจัดอันดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจครั้งแรกในประเทศไทย


ปัจจุบัน หน่วยงาน ESG Rating ของสถาบันไทยพัฒน์ ได้ดำเนินการประเมินข้อมูลด้านความยั่งยืนของหลักทรัพย์จดทะเบียนต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบในปีนี้ ด้วยการคัดเลือกจาก 567 หลักทรัพย์ในปีแรก เพิ่มจำนวนมาเป็น 920 หลักทรัพย์ในปี 2567 โดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ESG จาก 6 แหล่ง จำนวนกว่า 17,037 จุดข้อมูล ตามที่บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์เผยแพร่ไว้ต่อสาธารณะ

เกณฑ์ในการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ESG ผนวกเข้ากับข้อมูลทางการเงิน ที่เรียกว่า Integrated ESG Assessment เพื่อประเมินตัวเลขผลประกอบการหรือผลการดำเนินงานที่สัมพันธ์กับประเด็นด้าน ESG ของบริษัท สำหรับตอบโจทย์ผู้ลงทุนในมิติของการลงทุนที่ยั่งยืนว่า บริษัทที่มี ESG ดี จะสามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีด้วย

โดยในปี พ.ศ. 2561 หลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลการประเมินมาสามปี ได้ขยายผลมาสู่การจัดทำดัชนีอีเอสจี ไทยพัฒน์ โดยมี S&P Dow Jones เป็นผู้คำนวณและเผยแพร่ข้อมูลดัชนี ผ่านหน้าจอ Bloomberg และ Reuters ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วโลก

Thaipat ESG Index เป็นดัชนีอีเอสจีแรกในประเทศไทย ที่ใช้การคำนวณดัชนีด้วยวิธีถ่วงน้ำหนักหลักทรัพย์เท่ากัน (Equal Weighed Index) คือ ให้ความสำคัญกับหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของดัชนีเท่ากันทุกหลักทรัพย์ โดยไม่ขึ้นกับขนาดของหลักทรัพย์ ทำให้ดัชนีสามารถสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ได้อย่างเท่าเทียมกันในทุกหลักทรัพย์ และเปิดโอกาสให้หลักทรัพย์คุณภาพขนาดเล็กที่ผ่านเกณฑ์ด้าน ESG สามารถส่งผลต่อค่าของดัชนีได้ ในสัดส่วนที่เท่ากับหลักทรัพย์ขนาดใหญ่

ดัชนีอีเอสจี ไทยพัฒน์ ในรอบเดือน ก.พ.-ก.ค 67 ประกอบด้วยหลักทรัพย์จำนวน 48 หลักทรัพย์ โดย 10 อันดับหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี ได้แก่ BEM BH CKP CPALL CPF DELTA KTB RCL SCGP TFG คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24.3 ของดัชนี (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิ.ย. 67)

ประโยชน์ของการจัดทำดัชนีในฝั่งของผู้ลงทุน (Investors) จะช่วยให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และผู้ลงทุนสถาบัน สามารถใช้ทำเนียบหุ้น ESG100 และดัชนีอีเอสจี ไทยพัฒน์ เป็นดัชนีอ้างอิงและเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนตามหลักธรรมาภิบาลการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนสถาบัน (Investment Governance Code) ในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยยังได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

ตัวเลขผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนีผลตอบแทนรวม Thaipat ESG Index TR ตั้งแต่จัดทำดัชนี (30 มิ.ย. 58) อยู่ที่ 1.88% ต่อปี โดยยังมีผลตอบแทนเป็นบวก และชนะดัชนีผลตอบแทนรวม SET TRI ซึ่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 1.74% ต่อปี ในช่วงเวลาเดียวกัน (ข้อมูล ณ วันที่ 11 ก.ค. 67)

ส่วนในฝั่งของบริษัทที่ได้รับการลงทุน (Investees) ประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ประการแรก ได้แก่ การที่บริษัทจะได้รับทราบสถานะการดำเนินงานด้าน ESG ในปัจจุบันของกิจการ ด้วยชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และเป็นการประเมินอย่างอิสระโดยหน่วยงานภายนอก โดยใช้เกณฑ์และหลักการที่อ้างอิงตามแนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานสากล อาทิ WFE, GRI, ISSB, UN PRI

ประการที่สอง เนื่องจากการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 คำนึงถึงประเด็น ESG ที่มีนัยสำคัญตามบริบทของแต่ละอุตสาหกรรม และต้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กับธุรกิจแกนหลัก (Core Business) ขององค์กร นอกเหนือจากประเด็น ESG พื้นฐาน ทำให้บริษัทสามารถนำผลการประเมินในรูปแบบของรายงานวิเคราะห์เชิงลึก ไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับการวางแผนพัฒนาปรับปรุงเพื่อยกระดับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับ ESG ได้อย่างตรงจุด สอดคล้องกับบริบทเฉพาะองค์กร (Company-specific) และบริบทเฉพาะอุตสาหกรรม (Industry-specific) ควบคู่ไปพร้อมกัน

ประการที่สาม ด้วยเหตุที่การประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ใช้ข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะตามช่องทางที่บริษัทเผยแพร่เป็นปกติ ทำให้ไม่เป็นภาระแก่บริษัทในการจัดเตรียมข้อมูลสำหรับการประเมินเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ก็เป็นการกระตุ้นให้บริษัทพัฒนาการเปิดเผยข้อมูล ESG ต่อสาธารณะ ในรูปแบบรายงานความยั่งยืน หรือในแบบ 56-1 (One Report) เพื่อให้มีข้อมูลที่สมบูรณ์และเพียงพอต่อการประเมิน ESG100 อันจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียอื่นที่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูล ESG ดังกล่าวด้วย

สำหรับการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2567 ที่ได้แล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม ประกอบด้วยหลักทรัพย์เข้าใหม่ (กลุ่ม ESG Emerging) ซึ่งได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นครั้งแรก จำนวน 19 หลักทรัพย์ ได้แก่ ADVICE BBGI COCOCO CPNREIT GFC HUMAN KCG LHHOTEL LPF NSL Q-CON SAFE SECURE SHR TPBI TTA UP WHAUP WPH

โดยจะถูกนำไปใช้ทบทวนรายการหลักทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณดัชนี อีเอสจี ไทยพัฒน์ หรือ Thaipat ESG Index สำหรับรอบการปรับหลักทรัพย์ (Rebalance) ในเดือนกรกฎาคม ปี 67 โดยมีผลในวันทำการแรกของเดือนถัดไป


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]