Saturday, December 30, 2023

ธีม ESG ปี 2024 : Who cares earns

ทิศทาง ESG ในปี ค.ศ. 2024 จะเป็นการเดินหน้าดำเนินงานในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล สำหรับกิจการที่เห็นประโยชน์เป็นรูปธรรม โดยไม่ต้องรอให้มีกฎหมายบังคับ


นับตั้งแต่ที่คำว่า ESG ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.2004 โดยปรากฏอยู่ในเอกสารรายงานชื่อ “Who cares wins” (ผู้ใดใส่ใจ ผู้นั้นมีชัย) ที่สนับสนุนแนวคิดของการบูรณาการปัจจัยสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ในตลาดทุน ซึ่งเชื่อกันว่า ไม่เพียงนำไปสู่ผลลัพธ์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ตัวตลาดทุนเอง ด้วยการทำให้ตลาดทุนมีความยั่งยืนมากขึ้น

รายงานฉบับนี้ เป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากการที่ นายโคฟี อันนัน ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติในขณะนั้น ได้เขียนจดหมายถึงบรรดาซีอีโอของสถาบันการเงินชั้นนำ 55 แห่ง เพื่อให้ช่วยหาวิธีในการผนวกเรื่อง ESG เข้ากับตลาดทุน ฉะนั้น ต้นเรื่องของแนวคิด ESG จึงมาจากผู้มีส่วนได้เสียที่เป็นกลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน

โดยหนึ่งในความเคลื่อนไหวที่สำคัญขณะนั้น คือ การผลักดันการผนวกเรื่อง ESG ผ่านบริษัทที่ลงทุน (Investees) ซึ่งคือ บรรดาบริษัทจดทะเบียนในตลาดทุนทั่วโลก โดยหากบริษัทที่ลงทุนไม่สนใจหรือไม่ขานรับเรื่อง ESG ไปดำเนินการ ผู้ลงทุนอาจจะมีมาตรการในระดับขั้นที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การลดน้ำหนักการลงทุน การลดการถือครอง ไปจนถึงการขายหลักทรัพย์ออกจากพอร์ตการลงทุน

จึงเป็นเหตุให้บริษัทจดทะเบียน ขยับตัวรับเรื่อง ESG มาดำเนินการ และต่อมาได้นำเอา ESG มาเป็นคำที่ใช้สื่อสารกับผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องในวงกว้าง นอกเหนือจากที่ใช้สื่อสารกับผู้ลงทุนที่เป็นต้นเรื่อง

พัฒนาการของ ESG ในห้วงเวลา 20 ปี ตั้งแต่การจัดทำหลักการลงทุนที่รับผิดชอบโดยการสนับสนุนของสหประชาชาติ (United Nations-supported Principles for Responsible Investment: PRI) ในปี ค.ศ. 2006 มาจนถึงมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนฉบับล่าสุดที่ประกาศใช้โดยคณะกรรมาธิการยุโรป ที่มีชื่อว่า ESRS (European Sustainability Reporting Standards) ในปี ค.ศ. 2023 ที่ทำให้การเปิดเผยข้อมูล ESG ได้กลายเป็นข้อกำหนดสำหรับบริษัทที่มีถิ่นฐานในสหภาพยุโรป รวมทั้งสาขาของบริษัทนอกสหภาพยุโรปที่มีการดำเนินกิจการในสหภาพยุโรปซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ด้วย

นอกจากหลักการและมาตรฐานที่เป็นเรื่อง ESG โดยตรง ประเทศต่าง ๆ ยังมีการออกกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ESG ในทางใดทางหนึ่ง อาทิ กลไกการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งนำร่องกับสินค้า 6 กลุ่ม ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน โดยต้องเริ่มแจ้งปริมาณปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตสินค้าที่นำเข้า นับจากปี ค.ศ. 2023 และจะต้องสำแดงใบรับรอง CBAM ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้านั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2026 หรือการออกข้อบังคับว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ซึ่งจะใช้กับโภคภัณฑ์ในกลุ่มปศุสัตว์ ไม้ โกโก้ ถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม กาแฟ ยางพารา และผลิตภัณฑ์สืบเนื่อง เช่น เครื่องหนัง ช็อกโกแลต ยางรถยนต์ หรือเครื่องเรือน โดยจะมีผลตั้งแต่สิ้นปี ค.ศ. 2024 เป็นต้น

ในประเทศไทย คณะกรรมการกำกับตลาดทุน ได้ออกประกาศให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ต้องเปิดเผยข้อมูล ESG ในแบบแสดงรายการข้อมูล 56-1 One Report จัดส่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2022 เป็นต้นมา

เนื่องจาก ESG ถูกริเริ่มขึ้นจากภาคตลาดทุน หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญในการดำเนินงาน ESG ของกิจการ จะต้องมีความเชื่อมโยงกับผลประกอบการ และสะท้อนอยู่ในผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับ

จากมุมมองเดิมต่อเรื่อง ESG ที่กิจการส่วนใหญ่ เห็นว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้จัดการความเสี่ยง มาสู่การใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจสำหรับรองรับโอกาสที่เกิดขึ้นจากปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยที่หลายกิจการเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ทั้งการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และความสามารถในการทำกำไร (Profitability) จากการใช้ประโยชน์ในประเด็นด้าน ESG ที่สอดคล้องกับบริบทของกิจการ

ทิศทาง ESG ในปี ค.ศ. 2024 จะเป็นการเดินหน้าดำเนินงานในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล สำหรับกิจการที่เห็นประโยชน์เป็นรูปธรรม โดยไม่ต้องรอให้มีกฎหมายบังคับ ซึ่งเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดี ก็จะเกิดความเชื่อมั่น และผลักดันการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นผลกระทบที่ดีทั้งกับกิจการและผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักกับการลงทุนที่ยั่งยืน ในลักษณะ “Who cares earns” (ยิ่งใส่ใจ ยิ่งได้รับ)

นั่นหมายถึง กิจการที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี ย่อมสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียในหลายระดับ คือ ในระดับแรก สังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวม ‘ได้รับ’ ประโยชน์จากการที่ธุรกิจใส่ใจดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้นหรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการประกอบการ ในระดับต่อมา กิจการจะมีโอกาส ‘ได้รับ’ รายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น จากการใช้ประเด็น ESG สร้างการเติบโตและเพิ่มผลิตภาพ และในระดับท้ายสุด ผู้ลงทุนควรจะ ‘ได้รับ’ ผลตอบแทนทั้งกำไรจากส่วนต่างของราคาหลักทรัพย์ (Capital Gain) และเงินปันผลที่สูงขึ้นจากการลงทุนในกิจการที่ ‘ใส่ใจ’ เรื่อง ESG

ต้องติดตามกันว่า ในปี ค.ศ. 2024 จะมีกิจการใดที่ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง แล้วทำให้ผู้มีส่วนได้เสียได้รับประโยชน์จากกิจการ และผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนได้มากน้อยเพียงใด


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, December 16, 2023

เปิดผลสำรวจ ESG ธุรกิจไทย ปี 2566

กระแสเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) ที่แต่เดิม ถูกขับเคลื่อนอยู่ภายในแวดวงตลาดทุน โดยเป็นเครื่องมือที่ผู้ลงทุนสถาบันใช้ผลักดันให้บริษัทที่ตนเข้าไปลงทุนมีการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคม เอาจริงเอาจังกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี มานับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 ได้ถูกหยิบมาใช้ในวงกว้าง ไม่เว้นในแวดวงการตลาดที่ ESG ถูกใช้เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์และการสร้างภาพลักษณ์อย่างแพร่หลาย จนในปัจจุบัน ถูกตีความว่า ส่วนใหญ่เป็นการฟอกเขียว (Green Washing)

กระทั่ง หน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ ต้องออกนิยามศัพท์ (Terminology) และการจัดหมวดหมู่ (Taxonomy) ที่เกี่ยวกับเรื่อง ESG เพื่อป้องกันการสื่อสารที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด และทำให้การฟอกเขียวเกิดได้ยากขึ้น

จากมาตรการดังกล่าว ทำให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารที่ติดป้าย ESG ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องมาในทุกปี มีมูลค่าลดลงเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2022

และด้วยภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในทุกภูมิภาค มีการเติบโตที่หดตัวลง ประกอบกับการขึ้นดอกเบี้ยจากแรงกดดันของปัจจัยเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในรอบปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ที่มีผลตอบแทนลดลง ทำให้ความแตกต่างในเชิงผลตอบแทนระหว่างหุ้นกลุ่ม ESG กับหุ้นโดยทั่วไป มิได้สร้างแรงจูงใจผู้ลงทุนได้เหมือนในช่วงตลาดขาขึ้น

จากการสำรวจของ GSIA สัดส่วนของมูลค่าการลงทุนที่ยั่งยืน มีตัวเลขคิดเป็นร้อยละ 24.4 ของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารทั้งหมด ที่จำนวน 124.49 ล้านล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของเม็ดเงินลงทุนทั้งหมด (ณ สิ้นปี 2565) ลดลงจากร้อยละ 35.9 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของเม็ดเงินลงทุนทั้งหมด (ณ สิ้นปี 2563)

สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ ได้ทำการสำรวจข้อมูลสถานภาพความยั่งยืนของกิจการ เพื่อนำเสนอทิศทางและกระแสนิยมของการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนขององค์กร ทั้งในมุมมอง GRI, ESG และ SDG โดยริเริ่มสำรวจเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2561 ครอบคลุมกิจการจำนวน 100 แห่ง และได้ดำเนินการเรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน

ผลสำรวจปี 66 ครอบคลุม 904 องค์กร
ในปี 2566 สถาบันไทยพัฒน์ ได้ทำการสำรวจข้อมูลความยั่งยืนจากบริษัทจดทะเบียน 805 แห่ง กองทุนและองค์กรอื่นๆ อีก 99 ราย รวมทั้งสิ้น 904 ราย (เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่ทำการสำรวจ 854 ราย) พบว่า การเปิดเผยข้อมูลซึ่งมีสัดส่วนมากสุดอยู่ที่ด้านสิ่งแวดล้อม 52.25% ด้านเศรษฐกิจ 24.33% และด้านสังคม 23.41% ตามลำดับ

หากวิเคราะห์ข้อมูลกิจการที่สำรวจ จำแนกตามกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า กิจการที่ได้คะแนนการดำเนินงาน ESG รวมสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ กิจการในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (4.91 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10) รองลงมาเป็นกิจการในกลุ่มเทคโนโลยี (4.60 คะแนน) และกิจการในกลุ่มบริการ (4.05 คะแนน) ตามลำดับ

ESG Performance by Industry Group

สำหรับประเด็นความยั่งยืนที่มีการเปิดเผยสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ ผลเชิงเศรษฐกิจ 96.46% การฝึกอบรมและการให้ความรู้ 48.12% ความหลากหลายและโอกาสแห่งความเท่าเทียม 48.01% ส่วนการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่ภาคธุรกิจมีการเปิดเผยสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ เป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมทางเพศ เป้าหมายที่ 8 เศรษฐกิจและการจ้างงาน และเป้าหมายที่ 16 สังคมและความยุติธรรม ตามลำดับ

ไฮไลต์ผลสำรวจ ESG ที่น่าสนใจ
ในการประเมินสถานภาพการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของกิจการที่ทำการสำรวจทั้งหมด 904 ราย พบว่า ในปี 2566 มีคะแนนรวมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 3.53 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วและปีก่อนหน้าที่มีคะแนนรวมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2.46 คะแนน (ปี 2565 จากการสำรวจ 854 ราย) และ 2.2 คะแนน (ปี 2564 จากการสำรวจ 826 ราย)

เมื่อพิจารณาผลสำรวจโดยใช้ประเด็นความยั่งยืนที่อ้างอิงจากมาตรฐาน GRI (Global Reporting Initiative) พบว่ามีเพียง 2.32% ที่มีการรายงานเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) และมากถึง 66.37% ที่ไม่มีการเปิดเผยประเด็นมลอากาศ (Emissions) นอกจากนี้ ยังพบว่ามีไม่ถึง 9% ที่เปิดเผยเรื่องการประเมินด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของผู้ส่งมอบ (Supplier Environmental / Social Assessment)

ขณะที่การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยปัจจัย ESG ที่อ้างอิงตามแนวทางและชุดตัวชี้วัดของ WFE (World Federation of Exchanges) จากผลสำรวจพบว่า มีประเด็นที่เข้าใหม่ในสิบอันดับแรกที่กิจการเปิดเผย ได้แก่ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (50%) และการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (49.23%) ส่วนประเด็นที่เคยอยู่ในสิบอันดับเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่อยู่ในปีนี้ ได้แก่ ประเด็นด้านแรงงานบังคับและแรงงานเด็ก

และเมื่อสำรวจข้อมูลการดำเนินงานที่มีการตอบสนองต่อ SDGs ตามแนวทาง GCI (Guidance on Core Indicators) ที่จัดทำโดย ISAR (International Standards of Accounting and Reporting) พบว่า มีประเด็นที่เข้าใหม่ในสิบอันดับแรกที่กิจการเปิดเผย ได้แก่ สัดส่วนหญิงในตำแหน่งจัดการ (91.15%) และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (53.32%) ส่วนประเด็นที่เคยอยู่ในสิบอันดับเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่อยู่ในปีนี้ ได้แก่ ประสิทธิภาพการใช้น้ำ และชั่วโมงเฉลี่ยการฝึกอบรมต่อปีต่อคน

ข้อมูลผลสำรวจข้างต้น สถาบันไทยพัฒน์จะจัดงานแถลง “ผลสำรวจข้อมูลความยั่งยืนของบริษัทไทย ปี 2566” และการเสวนา “Double Materiality: The Financial + Impact Disclosure” โดยจะมีการเผยแพร่เนื้อหาการสำรวจทางเว็บไซต์ของสถาบันไทยพัฒน์ต่อไป


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, December 02, 2023

การลงทุนที่ยั่งยืน เริ่มมีขนาดสินทรัพย์ลดลง

Global Sustainable Investment Alliance (GSIA) ได้ทำการเผยแพร่รายงาน 2022 Global Sustainable Investment Review ที่จัดทำขึ้นทุกสองปี โดยจากงานสำรวจชิ้นล่าสุด พบว่า ในปี พ.ศ.2565 ตัวเลขการลงทุนที่ยั่งยืนทั่วโลก มีมูลค่าอยู่ที่ 30.3 ล้านล้านเหรียญ ลดลงจากตัวเลข 35.3 ล้านล้านเหรียญ ในปี พ.ศ.2563 หรือลดลงร้อยละ 14.1 ในช่วงเวลาสองปี

โดยสัดส่วนการลงทุนที่ยั่งยืนเมื่อเทียบกับขนาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ทั้งหมด ในปี พ.ศ.2565 มีตัวเลขคิดเป็นร้อยละ 24.4 ของมูลค่าจำนวน 124.49 ล้านล้านเหรียญ ลดลงจากสัดส่วน ในปี พ.ศ.2563 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 35.9 แสดงให้เห็นถึงสัดส่วนการลงทุนที่ยั่งยืนโดยรวม มีตัวเลขลดลงเป็นครั้งแรก

ปัจจัยหลักมาจากตัวเลขการลงทุนที่ยั่งยืนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งลดลงจาก 17.1 ล้านล้านเหรียญ มาอยู่ที่ 8.4 ล้านล้านเหรียญ หรือลดลงกว่าร้อยละ 50 ในช่วงเวลาสองปี สาเหตุมาจากการเปลี่ยนระเบียบวิธีการเก็บตัวเลขสินทรัพย์ที่ยั่งยืนในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลจากการปรับนิยามของกองทุนยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้น จากความกังวลเรื่องการฟอกเขียวที่ขยายวงเพิ่มขึ้น รวมทั้งการนำเรื่อง ESG มาใช้เป็นประเด็นการเมืองท้องถิ่นในสหรัฐฯ

ซึ่งหากไม่นับรวมตัวเลขสินทรัพย์ที่ยั่งยืนในสหรัฐอเมริกา สัดส่วนการลงทุนที่ยั่งยืน (ยกเว้นสหรัฐ) ในปี พ.ศ.2565 จะมีตัวเลขคิดเป็นร้อยละ 37.9 เทียบกับ AUM ทั้งหมด ซึ่งยังเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ.2563 ขณะที่มูลค่าการลงทุนที่ยั่งยืนรวม (ยกเว้นสหรัฐ) ยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ในช่วงเวลาสองปี

ทั้งนี้ สัดส่วนเม็ดเงินลงทุนตามกลยุทธ์การลงทุนที่ยั่งยืน 7 รูปแบบตามการจำแนกของ GSIA พบว่า การลงทุนเพื่อใช้สิทธิผู้ถือหุ้นออกเสียงในกิจการ (Corporate engagement and shareholder action) มีมูลค่ามากสุด อยู่ที่ 8.05 ล้านล้านเหรียญ รองลงมาเป็นการลงทุนโดยผนวกเกณฑ์ด้าน ESG ในกระบวนการตัดสินใจลงทุน (ESG integration) อยู่ที่ 5.59 ล้านล้านเหรียญ การลงทุนโดยใช้เกณฑ์คัดกรองด้านลบ / ตัดออกจากกลุ่ม (Negative/exclusionary screening) อยู่ที่ 3.84 ล้านล้านเหรียญ การลงทุนโดยใช้เกณฑ์คัดกรองที่เป็นบรรทัดฐานนิยม (Norms-based screening) อยู่ที่ 1.81 ล้านล้านเหรียญ การลงทุนตามประเด็นความยั่งยืนที่สนใจ (Sustainability themed investing) อยู่ที่ 5.98 แสนล้านเหรียญ การลงทุนโดยใช้เกณฑ์คัดกรองด้านบวก / เลือกที่ดีสุดในกลุ่ม (Positive/best-in-class screening) อยู่ที่ 5.74 แสนล้านเหรียญ และการลงทุนเพื่อชุมชน / เป็นผลดีต่อโลก (Impact/community investing) อยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านเหรียญ ตามลำดับ

ขณะที่ข้อมูลกองทุนยั่งยืนจากการเปิดเผยของมอร์นิ่งสตาร์ ระบุว่า กองทุนยั่งยืนในสหรัฐฯ มีเงินไหลออกสี่ไตรมาสติดต่อกัน โดยมีเงินไหลออกสุทธิจำนวน 1.42 หมื่นล้านเหรียญในรอบปีที่ผ่านมา

สินทรัพย์ในกองทุนยั่งยืนลดลงกลับไปแตะระดับ 2.99 แสนล้านเหรียญ ณ สิ้นสุดไตรมาสที่สาม และลดลงสูงถึงร้อยละ 17 จากระดับสูงสุดที่ 3.58 แสนล้านเหรียญ ณ สิ้นสุดปี ค.ศ.2021

และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่การปิดกองทุนยั่งยืนมีมากกว่าการเปิดกองใหม่ โดยในไตรมาสสามของปีนี้ มีการเปิดตัวกองทุนยั่งยืนเพียง 3 กองทุน แต่มีการปิดกองทุนยั่งยืน 13 กองทุน และมีอีก 4 กองทุนได้ยกเลิกการลงทุนแบบ ESG ทำให้มีจำนวนกองทุนยั่งยืนในสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 661 กองทุน

โดยจาก 13 กองทุนยั่งยืนที่ปิดลงในไตรมาสที่สาม กองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด (ตามมูลค่าสินทรัพย์) ได้แก่ กองทุนจากบริษัท Columbia Threadneedle, Hartford และ BlackRock โดย Columbia Threadneedle ปิด Columbia U.S. Social Bond Fund เมื่อเดือนสิงหาคม มีทรัพย์สินรวม 35.8 ล้านเหรียญ และอยู่ในตลาดถึง 8 ปี ตามด้วย Hartford Schroders ESG US Equity ETF ที่มีมูลค่า 9.8 ล้านเหรียญในเดือนกรกฎาคม หลังจากอยู่ในตลาดประมาณ 2 ปี ส่วน BlackRock ได้ปิดกองทุน BlackRock U.S. Impact Fund และ BlackRock International Impact Fund ซึ่งมีทรัพย์สินรวม 5.4 ล้านเหรียญ และ 4.2 ล้านเหรียญ ตามลำดับ

จะเห็นว่า ภาพรวมของการลงทุนที่ยั่งยืนได้มาถึงจุดอิ่มตัว และในบางภูมิภาค เริ่มมีขนาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหารที่ลดลง จากที่เคยกล่าวไว้เมื่อสองปีที่แล้วว่า ในจำนวนเงินลงทุน 3 เหรียญ จะมีอยู่ราว 1 เหรียญ ที่เป็นการลงทุนที่ยั่งยืน ปัจจุบัน ขนาดการลงทุนที่ยั่งยืน ได้ลดลงมาเป็น 1 ใน 4 เมื่อเทียบกับเม็ดเงินลงทุนทั้งหมด


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, November 18, 2023

'หุ้น ESG' ให้ผลตอบแทนชนะตลาดจริงหรือ

ข้อมูลการลงทุนในกองทุนประเภท ESG (Environmental, Social and Governance) ในประเทศไทย จากการเปิดเผยของมอร์นิ่งสตาร์ ระบุว่า มีอยู่จำนวน 113 กองทุน แบ่งเป็นลงทุนในหุ้นไทย จำนวน 22 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 2.5 พันล้านบาท และลงทุนในต่างประเทศ จำนวน 91 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 4.3 หมื่นล้านบาท รวมมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท เรียกว่า กว่า 94% ของกองทุน ESG ที่ขายในไทยส่วนใหญ่ลงทุนในต่างประเทศ โดยมีเพียง 6 บลจ. ที่มีการออกกองทุน ESG ที่ลงทุนในหุ้นไทย

การที่ภาครัฐมีแนวคิดจัดตั้งกองทุน Thai ESG Fund เพื่อช่วยพยุงตลาด รวมทั้งสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ โดยมีลักษณะคล้ายกองทุน LTF แต่มุ่งเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ความสำคัญในเรื่อง ESG เชื่อว่าจะส่งเสริมให้เกิดการออกกองทุน ESG ที่ลงทุนในหุ้นไทยกันมากขึ้น

ในจำนวนหุ้นไทยทั้งหมด 886 หลักทรัพย์ (ไม่รวมบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน) จะมีหลักทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูล ESG อยู่ราว 1 ใน 4 ของหลักทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูง โดยมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนราว 3 ใน 4 ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมด

สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการจัดทำฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย ได้เล็งเห็นข้อจำกัดที่การเปิดเผยข้อมูล ESG มีการกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ จึงได้ก่อตั้งประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน (Sustainability Disclosure Community) ขึ้นในปี พ.ศ. 2562 สำหรับใช้เป็นแพลตฟอร์มในการส่งเสริมให้ธุรกิจได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ข้อมูล ESG ให้กระจายครอบคลุมไปยังหลักทรัพย์อีกราว 3 ใน 4 ของตลาด เพื่อเป็นตัวเลือกในการลงทุนให้มีความหลากหลาย โดยรวมไปถึงบริษัทนอกตลาดและกิจการอื่น ๆ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG เพิ่มเติม

ปัจจุบัน ข้อมูลผลประเมิน ESG ของกิจการในไทย ที่สถาบันไทยพัฒน์รวบรวม ครอบคลุมทั้งบริษัทจดทะเบียน กองทุน บริษัทนอกตลาด และกิจการอื่น มีจำนวนรวม 905 กิจการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูล ESG ดังกล่าวในวงกว้าง

ด้วยเหตุที่การใช้ประโยชน์จากข้อมูล ESG ในแง่ของการลงทุน จะมีส่วนที่ไปเติมเต็มการใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขทางการเงิน โดยที่รายงานทางการเงินนั้น เป็นข้อมูลที่ผู้ลงทุนใช้วิเคราะห์การดำเนินงานของบริษัทที่เป็นการสะท้อนถึงผลประกอบการในอดีต (Past Performance) ส่วนประเด็น ESG ซึ่งมีทั้งข้อมูลในเชิงปริมาณและคุณภาพนั้น ผู้ลงทุนจะใช้สำหรับประเมินการดำเนินงาน เพื่อคาดการณ์ถึงแนวโน้มผลประกอบการในอนาคตของบริษัท (Forward-looking Perspective)

ตัวอย่างรายการการลงทุนสีเขียวที่บริษัทมีการปรับปรุงหม้อไอน้ำของโรงไฟฟ้าโดยเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินมาเป็นพลังงานหมุนเวียนในการผลิตกระแสไฟฟ้า จะทำให้ล่วงรู้ว่าตัวเลขผลประกอบการในอนาคตจะมีโอกาสเพิ่มขึ้น ด้วยการดำเนินงานในประเด็น ESG ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ประหยัดได้ เป็นต้น

ทั้งนี้ การใช้ข้อมูล ESG เพื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างบริษัท สำหรับตัดสินใจลงทุน จะไม่สามารถใช้ประเด็น ESG ชุดเดียวกันร่วมกันได้ในทุกธุรกิจ อาทิ ธุรกิจการเงิน จะมีประเด็น ESG สำคัญที่ต้องพิจารณา ได้แก่ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ ไม่ใช่ประเด็นสาระสำคัญสำหรับธุรกิจที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม ที่ซึ่งการจัดการด้านพลังงาน น้ำ มลอากาศ และของเสีย จะเป็นประเด็น ESG ที่สำคัญต่อการพิจารณามากกว่า

ทำให้การประเมินการดำเนินงานโดยใช้ประเด็น ESG ทั่วไป (Generic Topics) ชุดเดียวกันสำหรับการให้คะแนน (Scoring) และการจัดระดับ (Rating) จะไม่มีนัยสำคัญในผลลัพธ์ที่ได้มากนัก

การประเมินข้อมูล ESG จึงจำเป็นต้องใช้ประเด็นจำเพาะในอุตสาหกรรม (Industry-specific Topics) สำหรับเปรียบเทียบ ให้คะแนน และจัดระดับบริษัทที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน

นอกจากนี้ ในการประเมินข้อมูลเชิงลึก ยังต้องอาศัยการพิจารณากลยุทธ์องค์กรในประเด็นที่เป็นสาระสำคัญต่อบริษัท (Company-specific Topics) เพื่อให้ล่วงรู้ถึงทิศทางต่อการดำเนินงานในประเด็น ESG นั้น ๆ ว่า องค์กรใช้เป็นตัวขับคุณค่าในแง่ของการสร้างการเติบโต (Growth) การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) หรือการจัดการความเสี่ยง (Risk Management) โดยส่งผลต่อบรรทัดสุดท้ายของกิจการที่แตกต่างจากบริษัทอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมนั้นอย่างไร

โดยการประเมินข้อมูล ESG สำหรับคัดเลือกบริษัทเข้าเป็นองค์ประกอบของดัชนี Thaipat ESG จะครอบคลุมไปถึงการพิจารณาประเด็นจำเพาะในอุตสาหกรรม และประเด็นสาระสำคัญต่อบริษัทที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับผลประกอบการ เพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุนในมิติของการลงทุนที่ยั่งยืนว่า บริษัทที่มี ESG ดี จะสามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีด้วย

Thaipat ESG Index เป็นดัชนี ESG แรกในประเทศไทย ที่ใช้การคำนวณดัชนีด้วยวิธีถ่วงน้ำหนักหลักทรัพย์เท่ากัน (Equal Weighed Index) คือ ให้ความสำคัญกับหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของดัชนีโดยไม่ขึ้นกับขนาดของหลักทรัพย์ ซึ่งการขจัดปัจจัยในเรื่องขนาดหรือความใหญ่ของหลักทรัพย์ ทำให้ดัชนีสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างทัดเทียมกันในแต่ละหลักทรัพย์ และทำให้โอกาสที่หลักทรัพย์คุณภาพขนาดกลางและขนาดเล็กที่ผ่านเกณฑ์ด้าน ESG ของสถาบันไทยพัฒน์ สามารถส่งผลต่อค่าของดัชนีได้ทัดเทียมกับหลักทรัพย์ขนาดใหญ่

โดยหากเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่าง Thaipat ESG Index (Total Return) ตั้งแต่วันฐาน (30 มิ.ย. 58) จนถึงวันที่ 13 พ.ย. 66 กับดัชนี SET100 และ SET50 (Total Return) พบว่า ดัชนี Thaipat ESG ให้ผลตอบแทนรวมอยู่ที่ 22.70% (หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 2.47% ต่อปี) ขณะที่ดัชนี SET100 และ SET50 ให้ผลตอบแทนรวมอยู่ที่ 10.74% และ 11.18% (หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 1.22% และ 1.27% ต่อปี) ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในอดีตของดัชนี มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, November 04, 2023

ตลาดข้อมูล ESG ในกลุ่มกิจการ Private Markets

ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อภาคธุรกิจอย่างเข้มข้น และกระทบกับกิจการในทุกขนาดทุกสาขา ไม่จำกัดอยู่เพียงบรรษัทขนาดใหญ่ หรือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ยังครอบคลุมถึงวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเฉพาะกิจการซึ่งอยู่ในห่วงโซ่อุปทานที่มีบริษัทรายใหญ่ดำเนินการเรื่อง ESG ได้ผลักดันให้คู่ค้าที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย


ออพิมัส ที่ปรึกษาด้านการจัดการลงทุนในตลาดทุนทั่วโลก คาดการณ์ว่า ตลาดบริการข้อมูลด้าน ESG ทั่วโลก จะมีมูลค่าอยู่ที่ 1.59 พันล้านเหรียญในปี พ.ศ. 2566 โดยจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ในช่วง 5 ปี (พ.ศ.2564 – 2568) อยู่ที่ร้อยละ 23 ต่อปี ขณะที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยด้านบริการข้อมูล ESG ของบริษัทนอกตลาด (Private Markets) รวมถึง SMEs จะมีตัวเลขสูงถึงร้อยละ 42 ต่อปีในช่วงเดียวกัน

ในรายงานของออพิมัส ยังได้ระบุถึงผู้ให้บริการจำนวน 15 ราย ที่เป็นผู้เล่นในตลาด Private Markets โดยแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักตามลักษณะบริการ ได้แก่

กลุ่ม Tool for self-collection เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์แก่ผู้ลงทุน เพื่อใช้เก็บข้อมูลด้าน ESG ที่เกี่ยวข้องจากบริษัทที่เข้าลงทุนด้วยตนเอง โดยผู้ให้บริการในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย IHS Markit (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ S&P Global), ISS, และ Novata

กลุ่ม Database of information เป็นผู้ให้บริการข้อมูลด้าน ESG โดยทำหน้าที่เก็บรวบรวม บันทึกข้อมูล และนำเสนอเป็นชุดข้อมูลสำเร็จรูปให้แก่ผู้ใช้บริการ โดยผู้ให้บริการในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย CDP, Clarity AI, FactSet, Moody's, Preqin, S&P, และ Sustainalytics

กลุ่ม On-demand evaluation เป็นผู้ให้บริการประเมินข้อมูลด้าน ESG ตามสั่ง หรือตามความต้องการของลูกค้าเป็นรายครั้ง และจัดทำเป็นรายงานข้อมูล ESG เป็นรายบริษัท หรือกลุ่มบริษัทที่เข้าลงทุน โดยผู้ให้บริการในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย APEX Group, EcoVadis, ERM, EthiFinance, และ Metric

ด้วยแนวโน้มการเติบโตในความต้องการข้อมูล ESG ของบริษัทนอกตลาดที่เพิ่มขึ้น การประเมินข้อมูลด้าน ESG ของกลุ่มกิจการ Private Markets จะเป็นกลไกสำคัญที่สร้างให้เกิดระบบนิเวศแห่งความยั่งยืนที่ครอบคลุมกิจการในทุกภาคส่วน และตอบสนองความต้องการในข้อมูลด้าน ESG ของผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาด Private Markets

ในประเทศไทย สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ ด้วยการตั้งหน่วยงาน ESG Rating ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2557 เพื่อพัฒนาชุดข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจที่อิงกับมาตรฐานสากล และเป็นผู้ริเริ่มการประเมินข้อมูลด้าน ESG ของบริษัทจดทะเบียนนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 จวบจนปัจจุบัน จึงได้มีโครงการ ESG Rating for Private Markets และการจัดทำรายชื่อกลุ่มกิจการ ESG Private List สำหรับบริษัทนอกตลาด เพื่อทำการรวบรวมและประเมินข้อมูลด้าน ESG ของบริษัทนอกตลาด เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูลดังกล่าวในวงกว้าง

โดยประโยชน์ของการจัดทำรายชื่อกลุ่มกิจการ ESG Private List จะทำให้เกิดข้อมูล ESG สำหรับสถาบันการเงินใช้ออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน หรือบริการอื่นที่เกี่ยวข้องให้แก่กลุ่ม SMEs เป้าหมาย รวมทั้งการได้ข้อมูล ESG ในการจัดกลุ่ม SMEs เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดซื้อ/จัดจ้าง ที่ต้องใช้เกณฑ์ ESG ในการเพิ่ม/จำกัดสิทธิประโยชน์ที่คู่ค้าพึงได้รับ

สำหรับหน่วยงานที่ร่วมโครงการ สามารถใช้ต่อยอดเป็นการจัดกิจกรรม/เวทีมอบรางวัล ESG Award ให้แก่ SMEs ที่เป็นคู่ค้า/ลูกค้า ในนามขององค์กร และยังเป็นโอกาสการลงทุนในบริษัทนอกตลาด ที่มีศักยภาพและเป็นไปตามเกณฑ์ ESG สำหรับผู้ลงทุนสถาบันหรือบริษัทจัดการลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาด Private Markets อีกด้วย

หน่วยงานหรือสถาบันการเงินที่สนใจขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนในกลุ่มกิจการ Private Markets สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศแห่งความยั่งยืนของกิจการไทย ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, October 21, 2023

1 ใน 5 ของธุรกิจยั่งยืน มีการรายงานผลกระทบ SDG

จากผลสำรวจของ GRI และ Support the Goals ที่เผยแพร่ในเอกสาร State of Progress: Business Contributions to the SDGs ระบุว่า สี่ในห้าของกิจการที่สำรวจมีการให้คำมั่นในรายงานแห่งความยั่งยืนต่อการตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) แต่มีกิจการไม่ถึงครึ่งที่มีการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานสำหรับใช้วัดผล

โดย 83% ของกิจการที่ทำการสำรวจ จำนวนกว่า 200 แห่งทั่วโลก มีการสนับสนุน SDGs และเห็นคุณค่าในการเชื่อมโยงรายงานให้ตอบสนองต่อเป้าหมายดังกล่าว ขณะที่ 69% มีการแสดงชุดเป้าหมาย SDGs ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจ และ 61% ระบุถึงข้อปฏิบัติในการสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว อย่างไรก็ดี มีกิจการในสัดส่วน 40% ที่เปิดเผยตัววัดที่ใช้บรรลุเป้าหมาย และมีจำนวน 20% ที่แสดงหลักฐานสนับสนุนผลกระทบทางบวกที่เกิดขึ้น

ในรายละเอียดของผลการวิจัยฉบับดังกล่าว ได้ประเมินธุรกิจที่ทำการสำรวจโดยแบ่งผลคะแนนออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีแผน (Plans) ในการดำเนินงานเพื่อสนับสนุน SDGs (1 ดาว) กลุ่มที่มีการให้คำมั่น (Commitments) โดยแสดงให้เห็นเป้าหมายขององค์กรสำหรับใช้วัดผลที่เชื่อมโยงกับ SDGs ที่เกี่ยวข้อง (2 ดาว) กลุ่มที่มีการระบุถึงรายละเอียดการดำเนินงาน (Actions) ในการที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว (3 ดาว) กลุ่มที่มีการเปิดเผยข้อมูลหลักฐานที่เป็นตัวเลขหรือในเชิงปริมาณซึ่งแสดงความก้าวหน้า (Progress) ของการดำเนินงาน (4 ดาว) และกลุ่มที่มีการผลักดันให้คู่ค้าหรือผู้ส่งมอบ (Suppliers) สนับสนุน SDGs (5 ดาว)

โดยจากการสำรวจ กลุ่มบริษัทที่มีแผนหรือได้ 1 ดาว มีสัดส่วนอยู่ที่ 7.3% กลุ่มบริษัทที่มีคำมั่นหรือได้ 2 ดาว มีอยู่ 13.6% กลุ่มบริษัทที่มีรายละเอียดการดำเนินงานหรือได้ 3 ดาว มีอยู่ 14.1% กลุ่มบริษัทที่มีข้อมูลแสดงความก้าวหน้าหรือได้ 4 ดาว มีอยู่ 34.9% และกลุ่มบริษัทที่มีการผลักดันคู่ค้าให้ร่วมดำเนินการหรือได้ 5 ดาว มีอยู่ 0.5% ส่วนบริษัทที่มีการรายงานด้านความยั่งยืนแต่มิได้เอ่ยถึง SDGs มีสัดส่วนอยู่ที่ 29.6%

ในแง่ของการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบที่มีต่อ SDGs พบว่า มีบริษัทจำนวน 20.4% ที่มีการรายงานผลกระทบทางบวกด้วยข้อมูลหลักฐานผลการดำเนินงานที่แสดงการตอบสนองต่อ SDGs ที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ มีบริษัทเพียง 6.3% ที่มีการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบทางลบจากการดำเนินงานซึ่งอาจส่งผลต่อการบรรลุ SDGs

ในส่วนของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 อันดับแรก ที่กิจการมีการเชื่อมโยงการดำเนินงานมากสุดจากการสำรวจ ได้แก่ เป้าที่ 8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป้าที่ 12 การผลิตและการบริโภคที่รับผิดชอบ และเป้าที่ 13 การดำเนินการทางสภาพภูมิอากาศ

งานวิจัยชิ้นนี้เป็นผลจากการสำรวจข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านรายงานแห่งความยั่งยืนตามมาตรฐาน GRI ในรอบปี ค.ศ.2020 ขององค์กรผู้จัดทำรายงาน 206 แห่ง โดยประกอบด้วย กิจการ 86 แห่งในภูมิภาคยุโรป 19 ประเทศ ภูมิภาคเอเชีย 40 แห่งใน 17 ประเทศ ภูมิภาคอเมริกาเหนือ 39 แห่งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ภูมิภาคแอฟริกา 13 แห่งใน 5 ประเทศ ภูมิภาคอเมริกาใต้ 11 แห่งใน 5 ประเทศ ภูมิภาคโอเชียเนีย 7 แห่งในออสเตรเลีย เป็นต้น

สำหรับภาพรวมการตอบสนอง SDGs ของกิจการไทยที่ทำการสำรวจ 854 ราย ในปี พ.ศ.2565 โดยสถาบันไทยพัฒน์ พบว่า มีความคืบหน้าในการดำเนินงานอยู่ที่ 28.2% อ้างอิงจากการเปิดเผยข้อมูลตามรายการและตัวชี้วัดหลัก GCI (Guidance on Core Indicators) ที่จัดทำโดยคณะทำงานผู้ทรงคุณวุฒิระหว่างรัฐบาลด้านมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการบัญชีและการรายงาน (ISAR)

ทั้งนี้ ISAR ได้มีการเผยแพร่เอกสาร Guidance on Core Indicators for Sustainability and SDG Impact Reporting ฉบับปรับปรุงใหม่ ปี ค.ศ. 2022 ซึ่งเป็นแนวทางการใช้ชุดตัวชี้วัดหลัก GCI ในการจัดทำรายงานการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืนในรูปแบบ SDG Impact ที่บริษัทจดทะเบียนสามารถใช้เชื่อมโยงข้อมูลที่เปิดเผยในรายงาน 56-1 One Report ให้ตอบสนองต่อเป้าหมาย SDGs และใช้ตอบสนองต่อ SDG ในเป้าหมายที่ 12.6 ได้ด้วย

ในการนี้ สถาบันไทยพัฒน์ จะจัดให้มี Thaipat Runners-up 2023 Online Forum ในหัวข้อ SDG Impact Disclosure แนวทางสำหรับรายงานการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืนที่ตอบสนองต่อเป้าหมาย SDGs ในระดับตัวชี้วัด (Indicator-level SDGs) เพื่อประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน ในรูปแบบ Webinar (ไม่มีค่าใช้จ่าย) โดยสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์สถาบันไทยพัฒน์ https://thaipat.org


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, October 07, 2023

'การฟอกเขียว' ในกลุ่มธนาคารกำลังขยายวง

ในงานวิจัยชิ้นล่าสุดของ RepRisk บริษัทด้านวิทยาการข้อมูล ESG (Environmental, Social and Governance) ที่ใหญ่สุดของโลก ซึ่งเปิดเผยในรายงาน 2023 Report on Greenwashing เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2566 แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงจากการฟอกเขียว โดยจากการสำรวจความเสี่ยงด้าน ESG ที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศของกิจการทั่วโลก (ระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ.2565 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ.2566) พบว่าทุก ๆ หนึ่งในสี่ของอุบัติการณ์ (Incident) ที่เกิดขึ้น มีความเชื่อมโยงกับการฟอกเขียว โดยเพิ่มขึ้นจากที่เกิดขึ้นทุก ๆ หนึ่งในห้ากรณี จากข้อมูลในรายงานของปีก่อนหน้า

การฟอกเขียว (Greenwashing) คือ การทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดด้วยการโฆษณาสินค้าหรือองค์กรให้มีภาพลักษณ์ว่ารับผิดชอบต่อสังคมโดยการรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

จากการสำรวจข้อมูลของปี พ.ศ.2565 กลุ่มธนาคารและบริการทางการเงิน มีกรณีของการฟอกเขียวที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศอยู่ที่ 109 กรณี (คิดเป็น 16% ของกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด) โดยเพิ่มขึ้นถึงกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และสูงเป็นอันดับสอง รองจากกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซ ซึ่งมีจำนวนอยู่ที่ 160 กรณี (คิดเป็น 23% ของกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด)

ทั้งนี้ เป็นการฟอกเขียวด้านสภาพภูมิอากาศที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภค จำนวน 71 กรณี (10%) กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 62 กรณี (9%) กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมและก่อสร้าง จำนวน 60 กรณี (9%) กลุ่มธุรกิจค้าปลีก ของใช้ในครัวเรือนและของใช้ส่วนตัว จำนวน 55 กรณี (8%) กลุ่มธุรกิจสายการบินและการเดินทางท่องเที่ยว จำนวน 47 กรณี (7%) และกลุ่มธุรกิจเหมืองแร่ จำนวน 27 กรณี (4%) นอกนั้นอยู่ในกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ อีกจำนวน 104 กรณี (15%)


ตัวอย่างการฟอกเขียวที่เกิดขึ้นในหลายบริษัท ส่งผลร้ายต่อชื่อเสียงและกระทบกับสถานะทางการเงินของกิจการ อาทิ DWS Group ถูกกล่าวหาว่าทำการตลาดในผลิตภัณฑ์กองทุนที่ทำให้ผู้ลงทุนหลงผิดว่ามีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเกินจริง หรือ H&M ถูกวิจารณ์ว่าใช้ระบบแต้มคะแนนสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ผู้บริโภคหลงผิดเกี่ยวกับความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์

โดยในกลุ่มธนาคารและบริการทางการเงิน มากกว่า 50% ของการฟอกเขียวด้านสภาพภูมิอากาศ เป็นกรณีที่เอ่ยถึงเชื้อเพลิงฟอสซิล หรือมีความเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการเงินกับบริษัทน้ำมันและก๊าซ ซึ่งระเบียบวิธีที่ RepRisk ใช้ประเมิน จะพิจารณาทั้งผลร้ายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดำเนินการโดยตรง และจากการให้สินเชื่อหรือลงทุนในบริษัทหรือกิจกรรมประเภทดังกล่าว เช่น การให้สินเชื่อในโครงการ/กิจกรรมด้านน้ำมันและก๊าซ

กรณีการฟอกเขียวที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นถึงการขยายขอบเขตและความซับซ้อนของกิจกรรม จากการทำให้ผู้บริโภคหลงผิด ไปสู่การให้คำมั่นสัญญา การรับรอง และข้อผูกมัดที่ไม่ใสสะอาด และมักง่ายต่อการประกาศเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต โดยปราศจากการลงมือปฏิบัติในปัจจุบันเพื่อให้เกิดผลจริง (หลายกรณี มีการยกเป้าหมายและขยับเงื่อนเวลาออกไป เมื่อจวนตัว)

วิธีสำรวจการฟอกเขียวของ RepRisk ใช้การหาจุดตัดของประเด็น ESG สองชุด คือ ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม และการสื่อสารที่ทำให้หลงผิด ซึ่งชี้ให้เห็นถึงกรณีการฟอกเขียวอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่การติดฉลากหลอกลวงแบบชัดแจ้ง ไปจนถึงกรณีที่ซับซ้อนอย่างการบิดเบือนจากผู้กุมอำนาจ

ในปีที่แล้ว มีบริษัท 1,850 แห่ง ที่เกี่ยวโยงกับกรณีการสื่อสารที่ทำให้หลงผิด ในจำนวนนี้ 63% หรือ 1,160 บริษัท ทำเป็นครั้งแรก และไม่ได้เกิดเฉพาะกับกิจการมหาชน แต่ยังพบในบริษัทเอกชนด้วย โดยมีบริษัทมหาชน ในสัดส่วน 12% ที่พบอย่างน้อยหนึ่งกรณีซึ่งเกี่ยวโยงกับการสื่อสารที่ทำให้หลงผิด เมื่อเทียบกรณีที่เกิดขึ้นกับบริษัทเอกชน ในสัดส่วน 3% ที่มีอย่างน้อยหนึ่งกรณีซึ่งเกี่ยวโยงกับการสื่อสารที่ทำให้หลงผิด

ความคาดหวังที่จะสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันจากภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืน ได้เปิดประตูบานใหญ่สู่การฟอกเขียว และประตูยิ่งจะเปิดค้างยาวนานขึ้น ท่ามกลางภูมิทัศน์ความยั่งยืนของกิจการที่ผันเปลี่ยนเร็ว โดยไร้การติดตามตรวจสอบและภาระความรับผิดต่อการกระทำดังกล่าว

การระบุและป้องกันมิให้เกิดการสื่อสารเรื่องความยั่งยืนที่กิจการลวงให้หลงผิด จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือภายนอก ที่มิใช่ข้อมูลความยั่งยืนที่กิจการเปิดเผยโดยลำพัง

ผู้สนใจที่ต้องการอ่านรายละเอียดผลการสำรวจการฟอกเขียวฉบับเต็มของ RepRisk สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ On the rise: navigating the wave of greenwashing and social washing


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, September 23, 2023

ครึ่งทาง SDG : โลกทำได้ตามเป้า 12%

องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศใช้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDG) เมื่อปี ค.ศ.2015 อันประกอบด้วย 17 เป้าประสงค์ (Goals) 169 เป้าหมาย (Targets) และ 231 ตัวชี้วัด (Indicators) โดยมีอายุการใช้งาน 15 ปี จวบจนถึงปี ค.ศ.2030

ในเอกสาร Sustainable Development Report 2023 ฉบับพิเศษ ได้เปิดเผยตัวเลขความคืบหน้าครึ่งทางการใช้ SDG จากการประมวลข้อมูลราว 140 เป้าหมาย พบว่า สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายเพียง 12% โดยเป้าหมายกว่าครึ่งมีความคืบหน้าเล็กน้อยหรือหลุดเป้า ขณะที่เป้าหมายอีกเกือบหนึ่งในสาม ไม่มีความเคลื่อนไหวหรือถดถอยลงต่ำกว่าเส้นฐานในปี ค.ศ.2015

สาเหตุมาจากผลพวงของความไม่ยุติธรรมในระดับโลกที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ประกอบกับผลกระทบจากสภาพภูมิกาศ โรคโควิด-19 และความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจที่ไปจำกัดประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกให้เหลือทางเลือกน้อยลง หรือทำให้ไม่มีทรัพยากรที่เพียงพอต่อการทำให้เป้าหมายเป็นจริงขึ้นได้

ที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ได้มีการคำนวณต้นทุนที่จะต้องใส่เพิ่มเพื่อเร่งการบรรลุเป้าหมาย SDG สำหรับเป็นแนวทางการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลในแต่ละประเทศทั่วโลก ไว้ที่จำนวน 2.35 ล้านล้านเหรียญ ใน 7 วิถี (Pathway) ได้แก่ การแปลงเป็นดิจิทัล ความเสมอภาคทางเพศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระบบอาหาร การคุ้มครองทางสังคม การเปลี่ยนผ่านพลังงาน และการปฏิรูปการศึกษา ตามลำดับ

สำหรับความคืบหน้าการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของกิจการในประเทศไทย สถาบันไทยพัฒน์ ได้ทำการสำรวจข้อมูลสถานภาพความยั่งยืนของกิจการทุกปี โดยเริ่มดำเนินการในปี ค.ศ.2018 เป็นปีแรก และเผยแพร่เป็นเอกสาร รายงานสถานภาพความยั่งยืนของกิจการ เป็นประจำทุก ๆ 2 ปี

การสำรวจข้อมูลในปี ค.ศ.2022 ครอบคลุมทุกบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และกิจการที่อยู่นอกตลาดฯ รวมทั้งสิ้น 854 กิจการ โดยทำการประมวลข้อมูลการดำเนินงานของกิจการที่มีการตอบสนองต่อ SDG ตามแนวทาง GCI (Guidance on Core Indicators) ที่จัดทำโดยคณะทำงานผู้ทรงคุณวุฒิระหว่างรัฐบาลด้านมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการบัญชีและการรายงาน (ISAR) พบว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่กิจการมีการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ เป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมทางเพศ เป้าหมายที่ 8 เศรษฐกิจและการจ้างงาน และเป้าหมายที่ 16 สังคมและความยุติธรรม ตามลำดับ

โดย 10 ตัวชี้วัดหลัก GCI ซึ่งใช้ตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่มีการเปิดเผยสูงสุด ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ ยอดรายได้ และภาษีและเงินอื่นที่จ่ายแก่รัฐ ด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ประสิทธิภาพการใช้น้ำ ด้านสังคม ได้แก่ ชั่วโมงเฉลี่ยการฝึกอบรมต่อปีต่อคน และสัดส่วนค่าจ้างและสวัสดิการพนักงานต่อรายได้จำแนกตามชนิดการจ้างและมิติหญิงชาย และด้านสถาบัน ได้แก่ จำนวนครั้งของการประชุมคณะกรรมการและอัตราการเข้าร่วมประชุม จำนวนและร้อยละของกรรมการหญิง ช่วงอายุของกรรมการ จำนวนครั้งของการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและอัตราการเข้าร่วมประชุม และค่าตอบแทนรวมต่อกรรมการ

ภาพรวมการตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของกิจการไทยที่ทำการสำรวจ 854 ราย พบว่า มีความคืบหน้าในการดำเนินงานอยู่ที่ 28.2% อ้างอิงจากการเปิดเผยข้อมูลตามรายการและตัวชี้วัดหลัก GCI โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ดำเนินการได้สูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ กลุ่มทรัพยากร (33.7%) กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (33%) และกลุ่มธุรกิจการเงิน (30%) ตามลำดับ

ทั้งนี้ ชุดตัวชี้วัดหลัก GCI ที่ ISAR จัดทำขึ้นภายใต้คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (ECOSOC) ซึ่งมีอังค์ถัดทำหน้าที่เป็นเลขาธิการ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นจุดตั้งต้นหรือจุดนำเข้าในการรายงานผลการดำเนินงานที่ตอบสนองต่อ SDG และถือเป็นการเปิดเผยข้อมูลขั้นต่ำ (Minimum Disclosures) ของกิจการ ที่แสดงถึงการมีส่วนในการตอบสนองต่อ SDG และเป็นตัวชี้วัดที่กิจการจำเป็นต้องใช้ในการประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล ซึ่งหาพบได้ในรายงานของกิจการ และในกรอบการรายงานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

การอ้างอิงชุดตัวชี้วัด GCI จะช่วยให้ภาคธุรกิจแสดงความเชื่อมโยงของการดำเนินงานในการตอบสนองต่อ SDG ในระดับตัวชี้วัด (Indicator-level) ตามแนวทางที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา และสามารถใช้เป็นข้อมูลแสดงความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามตัวชี้วัด SDG ที่ 12.6.1 ในส่วนของกิจการได้อีกด้วย

องค์กรธุรกิจที่สนใจเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานที่มีการตอบสนองต่อ SDG ตามแนวทาง GCI สามารถศึกษารายละเอียดได้จากเอกสาร Guidance on Core Indicators for Sustainability and SDG Impact Reporting ฉบับปรับปรุงใหม่ ปี ค.ศ.2022 โดยดาวน์โหลดได้ที่ https://unctad.org/isar


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, September 09, 2023

นโยบายรัฐบาลในมุมมอง ESG

ในวันจันทร์นี้ (11 ก.ย.) นายกรัฐมนตรีจะมีการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ซึ่งมีเนื้อหารายละเอียดเป็นเอกสารที่เผยแพร่ออกมา 43 หน้า (ฉบับไม่เป็นทางการ) ที่ประกอบด้วย กรอบระยะสั้น กรอบระยะกลางและระยะยาว รวมถึงการแสดงตารางความสอดคล้องระหว่างนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีกับหน้าที่ของรัฐและแนวนโยบายแห่งรัฐของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และยุทธศาสตร์ชาติ


จึงถือโอกาสนี้ ทำการสรุปคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี โดยจำแนกออกเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และด้านธรรมาภิบาล รวมทั้งสิ้น 23 นโยบาย ในมุมมองของ ESG (Environmental, Social and Governance) ดังนี้

10 นโยบายด้านเศรษฐกิจ โดยในกรอบระยะสั้น รัฐบาลจะกระตุ้นการใช้จ่าย ด้วยการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายรอบ รัฐบาลก็จะได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบของภาษี และการดำเนินนโยบายนี้ จะใช้เป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความโปร่งใสให้กับกลไกการชำระเงินของระบบเศรษฐกิจและรัฐบาล การแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน โดยจะลดภาระพี่น้องเกษตรกรด้วยการพักหนี้เกษตรกรตามเงื่อนไขและคุณสมบัติที่เหมาะสม รวมถึงมาตรการช่วยประคองภาระหนี้สินและต้นทุนทางการเงินสำหรับภาคประชาชนที่ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน โดยจะสนับสนุนให้เกิดการบริหารจัดการราคาพลังงานทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในทันที พร้อมกันกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานของประเทศ โดยวางแผนความต้องการและสนับสนุนการจัดหาแหล่งพลังงานอย่างเหมาะสม การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ด้วยการอำนวยความสะดวก ปรับปรุงขั้นตอนการขอวีซ่า และการยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศเป้าหมาย ผลักดันการพัฒนาการบริหารจัดการทุกขั้นตอนการบริการที่เป็นประตูสู่ประเทศไทย และเพิ่มปริมาณเที่ยวบินให้สามารถนำนักท่องเที่ยวมาได้มากขึ้น

ในกรอบระยะกลางและระยะยาว รัฐบาลจะเสริมขีดความสามารถให้กับประชาชน ผ่านการสร้างรายได้ด้วยการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก เพื่อเปิดประตูการค้าสู่ตลาดใหม่ ๆ โดยการออกไปพบผู้นำประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มสหภาพยุโรป กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง อินเดีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ รวมทั้งการเร่งการเจรจากรอบความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ (FTA) การส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ ด้วยการจัดทำ Matching Fund ระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อลงทุนพัฒนา Start-up ที่มีศักยภาพให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก รวมทั้งการพัฒนาต่อยอดเขตเศรษฐกิจพิเศษและระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 4 ภาค ตลอดจนการพัฒนาพื้นที่และเมืองให้เกิดการกระจายความเจริญและกิจกรรมทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาค การพัฒนาเศรษฐกิจการค้าที่ถูกกฎหมายตามแนวชายแดน เพื่อสร้างเงิน สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน และเป็นการบริหารสถานการณ์ภูมิศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ สนับสนุนให้เกิดเสถียรภาพและผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเหมาะสม การสร้างรายได้ในภาคการเกษตร โดยใช้หลักการ ตลาดนำ-นวัตกรรมเสริม-เพิ่มรายได้ ใช้การบริหารจัดการแปลงเกษตรด้วยนวัตกรรมเกษตรแม่นยำ (Precision Farming) การวิจัยพัฒนาพันธุ์ เพื่อเพิ่มผลผลิตและเพิ่มมูลค่าผลตอบแทนต่อไร่ให้สูงขึ้น ตลอดจนการหาตลาดให้สินค้าเกษตรได้ขายในราคาที่เหมาะสม การฟื้นชีวิตอุตสาหกรรมประมง ให้กลับมาเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของประชาชน ด้วยการแก้ไขข้อกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายให้เหมาะสม อันเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลให้อยู่กับประเทศอย่างยั่งยืน การเปิดรับแรงงานต่างด้าวและกลุ่มผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการทรัพยากรบุคคลและแรงงานทั้งภาคการผลิต ภาคการบริการ ภาคการพัฒนาเทคโนโลยี ที่แรงงานกลุ่มดังกล่าวยังมีความจำเป็นในการสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

7 นโยบายด้านสังคม ประกอบด้วย การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ ทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ เพื่อเปิดประตูค้าขายและเปิดโอกาสของประเทศไทยให้เพิ่มขึ้น และเป็นการสร้างประโยชน์จากสินทรัพย์ของประเทศและของประชาชน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ของโลก การให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ เพื่อสร้างโอกาสในการมีอาชีพ รายได้ และความมั่นคงในชีวิต โดยจะเร่งดำเนินการให้ประชาชนมีสิทธิในที่ดิน มีชีวิตที่มั่นคง พิจารณาเอกสารสิทธิการใช้ประโยชน์ให้เป็นโฉนด เพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดให้เข้าถึงแหล่งทุนได้ นำมาพัฒนาที่ดินเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว การสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ของประเทศ ให้สร้างมูลค่าและสร้างรายได้ ผ่านการส่งเสริม 1 ครอบครัว 1 ทักษะ Soft Power รวมทั้งการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาต่อยอดศิลปวัฒนธรรม และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนการส่งเสริมและพัฒนาด้านกีฬาอย่างเป็นระบบ การปฏิรูปการศึกษาและสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาทั้งในด้านสังคม ด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ และการวิจัยขั้นแนวหน้า ให้ความสำคัญต่อความมีคุณภาพของครูทั้งประเทศ รวมไปถึงการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจของนักเรียน และเน้นดำเนินการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา การสร้างความมั่นคงปลอดภัยทั้งภายในและภายนอกที่สอดคล้องกับสภาวะของโลก โดยสนับสนุนให้มีการปรับโครงสร้างของหน่วยงานความมั่นคงให้มีความทันสมัยและสามารถตอบสนองต่อการคุกคามและภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ และการพัฒนากองทัพให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของประเทศพร้อมกับประชาชน การสร้างและพัฒนาระบบสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินและโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งสร้างความมั่นคงทางวัคซีนของประเทศในระยะยาว ตลอดจนการเข้าถึงบริการสาธารณสุขผ่านบัตรประชาชนใบเดียว สามารถเข้ารับบริการได้ทุกที่ทั่วประเทศไทย การสร้างความเท่าเทียมของคนทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มเปราะบาง คนพิการ ผู้สูงอายุ และกลุ่มชาติพันธุ์ ด้วย ‘สวัสดิการโดยรัฐ’ โดยการผลักดันให้มีกฎหมายสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ การสนับสนุนให้มีความร่วมมือระหว่างประชาชนที่มีความแตกต่างทางความคิด ศาสนา และอุดมการณ์ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข

3 นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย การส่งเสริมการปลูกไม้ยืนต้นให้เหมาะสมกับประเภทและลักษณะของพื้นที่ และส่งเสริมให้เจ้าของที่ดินหรือชุมชนโดยรอบได้รับประโยชน์จากการเพิ่มพูนของระบบนิเวศ การขายคาร์บอนเครดิตอย่างยุติธรรม และได้รับการยอมรับจากระดับสากล การส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่มีสิ่งแวดล้อมที่สะอาดสำหรับทุกคน โดยการส่งเสริมและเร่งฟื้นฟูความสมบูรณ์ของดินและน้ำ การรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและอนุรักษ์ความหลากหลายพันธุ์สัตว์ป่า การแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมและมลภาวะ โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นควัน PM2.5 รวมทั้งวางแผนรับมือและป้องกันวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การสานต่อนโยบาย Carbon Neutrality ที่เป็นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ และใช้การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อเปิดประตูบานใหญ่สู่การค้าโลก ภายใต้กฎกติกาใหม่ที่ให้ความสำคัญต่อการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

3 นโยบายด้านธรรมาภิบาล ประกอบด้วย นโยบายเร่งด่วนในการแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ โดยจะหารือแนวทางในการทำประชามติที่ให้ความสำคัญกับการทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมออกแบบกฎ กติกาที่เป็นประชาธิปไตย ทันสมัยและเป็นที่ยอมรับร่วมกัน รวมถึงการหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในรัฐสภา เพื่อให้ประเทศสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง การเปลี่ยนบทบาทของรัฐจากผู้กำกับดูแลเป็นผู้สนับสนุน จากเดิมที่เต็มไปด้วยกฎ ระเบียบ และข้อบังคับ มาเป็นการปลดล็อกข้อจำกัด เช่น การปลดล็อกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสุราพื้นบ้าน เพื่อสร้างโอกาสในการสร้างรายได้และเจริญเติบโตให้กับประชาชน การบริหารในรูปแบบของการกระจายอำนาจ (ผู้ว่า CEO) เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการบริหารงานในแต่ละจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการให้บริการมาเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความโปร่งใส ขจัดช่องโหว่ในการทุจริต ลดค่าใช้จ่าย และปรับปรุงการทำงานของภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น

เมื่อพอจัดหมวดหมู่นโยบายในลักษณะนี้ได้ ไว้อีก 6 เดือนหลังจากการทำงานไประยะหนึ่งแล้ว จะถือโอกาสติดตามการดำเนินงาน โดยนำการประเมินตามเกณฑ์ ESG หรือ ESG Rating มาใช้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนไม่มากก็น้อย


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, August 26, 2023

ระบบ IT: จิกซอว์สำคัญของ 'ความยั่งยืน'

Paessler AG ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเครือข่ายและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ให้บริการนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1997 ซึ่งมีผู้ใช้มากกว่า 5 แสนรายในกว่า 170 ประเทศ ได้เผยแพร่รายงานวิจัยที่มีชื่อว่า ทิศทางที่ต้องจับตา: การมอนิเตอร์ระบบ คือ เส้นทางสู่ระบบ IT ที่ยั่งยืน เพื่อทำความเข้าใจแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนในปัจจุบันของธุรกิจต่าง ๆ โดยเจาะลึกไปถึงปัจจัยขับเคลื่อนและอุปสรรคต่อการดำเนินแผนด้าน IT ที่ยั่งยืน

งานวิจัยชิ้นนี้ เป็นผลจากการสำรวจผู้มีอำนาจตัดสินใจระดับอาวุโสกว่า 200 คน ในธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีรายได้ระหว่าง 50 ล้าน ถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงระหว่างเดือนธันวาคม ปี 2565 ถึงเดือนมีนาคม ปี 2566 ครอบคลุมธุรกิจในภาคการผลิต ภาคบริการที่สำคัญต่อสาธารณะ และภาคเทคโนโลยี/โทรคมนาคม/ศูนย์ข้อมูล ใน 6 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

ผลสำรวจพบว่า การแปลงเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) หรือการเปลี่ยนวิธีปฏิบัติงานจากระบบที่ใช้แรงงานคนไปสู่การใช้ระบบดิจิทัลหรือระบบอัตโนมัติ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและต้นทุน เป็นเรื่องที่ผู้ถูกสำรวจในตลาดอาเซียนให้ความสำคัญในลำดับแรกของธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้า (โดยมีสัดส่วน 66%) รองลงมาเป็นเรื่องความยั่งยืน (61%) และการเพิ่มประสิทธิภาพ/ผลิตผล (56%)

แม้ความยั่งยืนจะเป็นเรื่องที่ธุรกิจในทุกตลาดให้ความสำคัญในลำดับต้น ๆ แต่ธุรกิจในอาเซียนที่วางกลยุทธ์และมีแผนดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างชัดเจนกลับมีไม่ถึงครึ่ง โดยกว่า 52% ยังคงอยู่ในขั้นตอนการจัดทำกรอบการทำงานด้านความยั่งยืน

ทั้งนี้ ผลสำรวจในไทยพบว่า มีธุรกิจที่กำลังจัดทำกรอบการทำงานด้านความยั่งยืน และธุรกิจที่มีกลยุทธ์และแนวทางการเดินหน้าที่ชัดเจน อยู่ในอัตราเท่ากันที่ 48% ที่เหลือเป็นธุรกิจซึ่งระบุว่าไม่ต้องมีกลยุทธ์เพราะใช้ตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน (2%) และเป็นธุรกิจที่ไม่เคยมีและยังไม่มีแผนกลยุทธ์ความยั่งยืน (2%)

เมื่อเจาะลึกเฉพาะเรื่องความยั่งยืน พบว่า กลยุทธ์ระบบ IT ที่ยั่งยืนอยู่ในแผนงานของบริษัทต่าง ๆ กว่า 90% แต่แม้จะอยู่ในแผนงานแล้วก็ตาม ธุรกิจส่วนใหญ่เชื่อว่า ยังมีสิ่งที่ต้องดำเนินการอีกมากในเรื่องกลยุทธ์ระบบ IT ที่ยั่งยืน โดยบริษัทราว 96% มองว่า ผู้บริหารระดับสูงยังขาดการรับรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้

“เมื่อไม่เห็นความสำคัญและไม่เข้าใจ ผู้บริหารระดับสูงก็มองไม่ออกว่า กลยุทธ์ระบบ IT ที่ยั่งยืน จะช่วยให้เป้าหมายความยั่งยืนในภาพรวม ตลอดจนประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) บรรลุผลได้อย่างไร” ผู้มีอำนาจตัดสินใจในธุรกิจศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่งกล่าว

ในแง่ของการมอนิเตอร์โครงสร้างระบบ IT แบบเรียลไทม์ มากกว่า 90% ของธุรกิจทั้งหมดในทุกตลาด เห็นถึงประโยชน์ โดยผู้ถูกสำรวจในไทย ระบุว่า การมอนิเตอร์โครงสร้างระบบ IT แบบเรียลไทม์ จะช่วยตรวจสอบปัจจัยสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น คาร์บอน (100%) ช่วยปรับปรุงการใช้พลังงาน (95%) ช่วยให้เห็นตัวเลขการประหยัดทรัพยากรที่วัดผลได้ (92%) ช่วยวิเคราะห์ความต้องการอุปกรณ์ IT ในอนาคตได้อย่างแท้จริง (86%) และช่วยลดการปล่อยคาร์บอน (78%) ตามลำดับ

ในงานสำรวจชิ้นนี้ ยังพบว่า อุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินงานเรื่องความยั่งยืน เกิดจากการที่ธุรกิจส่วนใหญ่ (72%) มีองค์ความรู้เกี่ยวกับแนวปฏิบัติและกรอบการทำงานด้านความยั่งยืนอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง โดยธุรกิจในไทยที่ไม่มีหรือมีองค์ความรู้ระดับต่ำ มีสัดส่วนอยู่ที่ 37% มีองค์ความรู้ระดับปานกลางอยู่ที่ 48% และมีองค์ความรู้ระดับสูงอยู่ที่ 15%

ทำให้แทนที่บริษัทต่าง ๆ จะเดินหน้าตามกรอบการทำงานด้านความยั่งยืนในภาพรวม แต่กลับเลือกใช้วิธีดำเนินการตามเป้าหมายและตัวชี้วัดก้าวเล็ก ๆ ซึ่งทำได้ไม่ยากในหมวดที่เกี่ยวกับความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ (72%) การรีไซเคิล (60%) การประหยัดน้ำและพลังงาน (58%) และการรายงานงบการเงินที่โปร่งใส (59%) เป็นต้น

นอกจากการขาดความรู้ความสามารถภายในองค์กร อุปสรรคสำคัญด้านอื่น ๆ ประกอบด้วย สมดุลตัวชี้วัด ESG กับเป้าหมายการเติบโต (58%) ต้นทุนการดำเนินแผนงาน (48%) หน่วยงานรัฐขาดความชัดเจนเรื่องมาตรฐานการรายงาน (48%) และการขาดตัวชี้วัด ROI ของแผนงานด้านความยั่งยืน (38%)

“นักลงทุนต้องการให้เรามีเครื่องมือวัดผลด้านความยั่งยืน (ESG) แต่ก็อยากให้ธุรกิจทำผลกำไรให้ได้มากขึ้นในเวลาเดียวกันด้วย เรียกว่า อยากได้ความยั่งยืนโดยไม่กระทบกับกำไรบริษัท” คำกล่าวจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายหนึ่งในประเทศไทย

อย่างไรก็ดี ธุรกิจจำนวนมากมองว่า ความยั่งยืนและผลกำไรไปด้วยกันไม่ได้ แต่ในความเป็นจริง หากมีการมอนิเตอร์ระบบและวัดผลด้วยค่าที่ถูกต้อง จะทำให้ทราบว่า การประหยัดค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นได้จริง เช่น ศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานลดลง เพราะการปรับปรุงด้านระบบความร้อน ความเย็น และการระบายอากาศ

การจัดทำกลยุทธ์ด้าน IT และการแปลงเป็นดิจิทัล ตลอดจนการจัดทำกรอบการทำงานด้านความยั่งยืน ล้วนเชื่อมโยงและสัมพันธ์เสมือนเป็นจิกซอว์ของภาพเดียวกัน แต่ธุรกิจบางส่วนมองเป็นคนละส่วนกัน ทำให้การจัดทำกรอบการทำงานด้านความยั่งยืนและกลยุทธ์การแปลงเป็นดิจิทัลแยกจากกัน ทั้งที่กลยุทธ์ระบบ IT ที่ยั่งยืน ถือเป็นจิกซอว์สำคัญในการช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ เดินหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนโดยรวม


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, August 12, 2023

สร้างแต้มต่อให้ SME ด้วย ESG Profile

ในธุรกิจไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือเป็นเอสเอ็มอี เอกสารสำคัญสองชิ้นที่ทุกองค์กรต้องมี คือ Product Catalogue กับ Company Profile เอาไว้สำหรับนำเสนอลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างให้เกิดธุรกรรมตามที่องค์กรได้ตั้งเป้าหมายไว้


หน้าที่ของ Product Catalogue มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้คนรู้ว่า เราขายอะไร (what) ผลิตภัณฑ์ของเราช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ท่าน หรือใช้แล้วจะได้ประโยชน์อะไร พร้อมสรรพคุณกำกับว่า สินค้าและบริการของเรามีดีและโดดเด่นกว่าเจ้าอื่นอย่างไร

ส่วนหน้าที่ของ Company Profile มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้คนเชื่อมั่นว่า ทำไม (why) ต้องซื้อจากเรา องค์กรของเราน่าเชื่อถือและมั่นคงอย่างไร มีขอบข่ายการให้บริการกว้างขวางขนาดไหน และเมื่อเป็นลูกค้าแล้ว ย่อมไว้วางใจได้อย่างแน่นอน

แต่ในวันนี้ ลูกค้าและกลุ่มเป้าหมาย มิได้คำนึงถึงเพียงคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือที่องค์กรมอบให้ตนเองอย่างไรเท่านั้น แต่ยังพิจารณาเพิ่มต่อว่าผลิตภัณฑ์ที่ตนใช้หรือองค์กรที่ตนเป็นลูกค้าอยู่นั้น สร้างผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไรด้วย

ความต้องการในเอกสารหรือข้อมูลที่ทำให้คนเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์และองค์กรในมุมมองของการแสดงถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำกับดูแลที่ดีของกิจการ ที่เรียกรวมว่าข้อมูล ESG (Environmental, Social and Governance) จึงเกิดขึ้น ข้อมูลเหล่านี้มักจัดทำในรูปของรายงานที่เรียกกันว่า Sustainability Report หรือ ESG Report และมักจะมีให้เห็นแต่เฉพาะองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ โดยในปัจจุบันมีกิจการอยู่นับหมื่นแห่งทั่วโลกที่ดำเนินการจัดทำรายงานเผยแพร่ดังกล่าว

แต่ก็ใช่ว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีจะมีข้อมูลหรือจัดทำเอกสารประเภทนี้ไม่ได้ เพียงแต่เรายังไม่ค่อยเห็นเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ให้ความสนใจมากนัก สาเหตุหลักก็คงเป็นเพราะขาดแรงจูงใจหรือไม่เห็น Benefits มากเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับเวลาและทรัพยากรที่ต้องใช้และมีอยู่ค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว

ทว่าก็มีเอสเอ็มอีหลายแห่งที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงประโยชน์ทางธุรกิจต่อการเผยแพร่ข้อมูล ESG ดังกล่าว เพียงแต่ไม่ได้ทำในรูปแบบที่เป็นทางการ เหมือนอย่างรายงานแห่งความยั่งยืนในองค์กรขนาดใหญ่ แต่เราสามารถเรียกได้ว่าเป็นการเผยแพร่ “ข้อมูลเด่นด้าน ESG” หรือ ESG Profile เพื่อตอบโจทย์ทั้งทางธุรกิจที่สะท้อนในรูปของกำไร (Profit) และผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (People and Planet) ควบคู่ไปพร้อมกัน

ESG Profile จึงมีหน้าที่ในการทำให้คนรู้ว่า ผลิตภัณฑ์และองค์กรที่เขาเหล่านั้นใช้บริการอยู่นั้น ไม่สร้างผลลบ และ/หรือ สร้างผลบวกให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง (how good)

เมื่อพิจารณาเทียบกับ Product Catalogue ซึ่งมีข้อมูลที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ (สินค้าและบริการ) เป็นหลัก หรือใน Company Profile ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและสายผลิตภัณฑ์ในภาพรวม เนื้อหาในเอกสารประเภท ESG Profile จะให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับผลดีหรือผลกระทบในเชิงบวกของผลิตภัณฑ์และองค์กรที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการแก้ไข (หรือคำมั่นว่าจะแก้ไข) ผลเสียหรือผลกระทบในเชิงลบที่ผ่านมาของกิจการ

ในทางปฏิบัติ เราอาจรวมข้อมูลใน ESG Profile ไว้ในเอกสาร Product Catalogue หรือ Company Profile ด้วยได้ แต่เนื่องจากเรื่องความยั่งยืนในทุกวันนี้ ได้รับความสนใจจากสังคม และผู้บริโภคก็มีความตื่นตัวมาก การเน้นให้ความสำคัญกับข้อมูลนี้ ด้วยการแยกเป็นเอกสาร ESG Profile จึงเป็นเรื่องที่หลายองค์กรดำเนินการเพื่อตอบสนองต่อกระแส ESG ดังกล่าว

ESG Profile จึงสามารถพัฒนามาเป็นแค็ตตาล็อกทางธุรกิจอันทรงคุณค่าของกิจการ ที่ทำให้คู่ค้า/ลูกค้า รู้ว่าองค์กรของเรามีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี สามารถสร้างเป็นจุดขาย และการต่อยอดธุรกิจ ด้วยการค้นหาจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ในเชิง ESG การแปลงจุดด้อยของผลิตภัณฑ์ให้เป็นโอกาสทาง ESG และการค้นหาตลาดใหม่จากการสำรวจความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่างๆ ของกิจการ


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, July 29, 2023

'7 เทรนด์' เปลี่ยนเกมความยั่งยืน

ปลายเดือนที่ผ่านมา (20 มิ.ย.) หน่วยงาน AccountAbility องค์กรผู้กำหนดมาตรฐานและให้คำปรึกษาด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) ระดับโลก ที่ก่อตั้งมากว่า 30 ปี ได้ออกรายงานที่มีชื่อว่า “7 Sustainability Trends 2023 Report” โดยเนื้อหาสะท้อนให้เห็นภูมิทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และการประมวลแนวโน้มที่สำคัญด้าน ESG ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดวาระทางธุรกิจนับจากนี้ไป

ข้อมูลในรายงานฉบับนี้ จะช่วยให้องค์กรใช้วางแผนเชิงกลยุทธ์ สนับสนุนการตัดสินใจ และสานสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งการปรับแนวกลยุทธ์ขององค์กรให้สอดคล้องและเท่าทันกับประเด็นความยั่งยืนที่เป็นปัจจุบัน ตลอดจนการรับมือกับโอกาสและความเสี่ยงในเชิงรุก รองรับการพัฒนาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

อนึ่ง แนวโน้มความยั่งยืนในรายงานฉบับดังกล่าว ประมวลขึ้นจากการวิจัยและการทำงานร่วมกับองค์กรในหลายภาคส่วน ทั้งกิจการในภาคบริการทางการเงิน ภาคพลังงานและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ภาคสุขภาพและเภสัชภัณฑ์ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคสินค้าอุปโภคบริโภค ภาคโทรคมนาคมและเทคโนโลยี รวมทั้งหน่วยงานในภาครัฐและภาคประชาสังคม ฯลฯ ครอบคลุมในหลายภูมิภาค ทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร ตะวันออกกลาง และเอเชีย

สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้ให้บริการงานให้ความเชื่อมั่นรับอนุญาตในประเทศไทย ที่รับรองโดย AccountAbility มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 ได้เรียบเรียงเนื้อหาในส่วนที่เป็น 7 แนวโน้มความยั่งยืน โดยย่อ เพื่อนำมาเผยแพร่ ดังนี้

1. Navigating the Net Zero landscape
หาเส้นทางสู่ภูมิทัศน์ (การปล่อยก๊าซเรือนกระจก) สุทธิเป็นศูนย์
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้กลายเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนและมีนัยสำคัญสูงสุดเรื่องหนึ่งที่สังคมต้องเผชิญ รวมถึงเป็นได้ทั้งความเสี่ยงสำคัญต่อธุรกิจที่เพิกเฉย และเป็นโอกาสชัดแจ้งต่อกิจการที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการขจัดคาร์บอนให้มีค่าสุทธิเป็นศูนย์ โดยบริษัทที่ต้องการรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขันและยังคงดึงดูดกลุ่มผู้ลงทุน ต้องแสดงให้เห็นถึงแนวทางการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากภายนอก ควบคู่กับแผนงานกลยุทธ์ที่ปฏิบัติได้จริง

2. Stakeholder activism is getting louder
ขบวนเคลื่อนไหวฝั่งผู้มีส่วนได้เสีย ส่งเสียงดังขึ้น
ธุรกิจต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้นจากผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม มีการผลักดันให้กิจการต้องแถลงจุดยืนและแสดงความคืบหน้าในทางปฏิบัติต่อชุดประเด็น ESG ที่เกี่ยวข้อง โดยการแสดงภาวะผู้นำของกิจการ ๆ ควรตระหนักถึงการรักษาสมดุลแห่งประโยชน์ระหว่างผู้ถือหุ้นกับพนักงานไปจนถึงลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียซึ่งผลักดันให้องค์กรดำเนินการตามบทบาทที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ กิจการพึงดำเนินการสานสัมพันธ์แต่เนิ่น ๆ และอย่างต่อเนื่องกับผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง เพื่อปรับแนวทางให้สอดรับกันอย่างสูงสุดทั้งในกลุ่มพนักงาน ลูกค้า ผู้ลงทุน ฯลฯ

3. Geopolitics: The new “G” in ESG
ภูมิรัฐศาสตร์ กลายเป็นประเด็นใหม่ด้านธรรมาภิบาล
ในภาวการณ์หลังยุคโลกาภิวัตน์ ประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ นับเป็นองค์ประกอบสำคัญภายใต้กรอบ ESG เป็นประเด็นที่ถือเป็นความเสี่ยงและปัจจัยความไม่แน่นอนทางธุรกิจ จนกระทั่งกลายเป็นข้อพิจารณาภาคบังคับในการประเมินและในกระบวนการตัดสินใจขององค์กร ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงควรผนวกความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์เข้าไว้ในกรอบการจัดการความเสี่ยงของกิจการ เพื่อให้สามารถมอบหมายความรับผิดชอบในการจัดการตามตัวแบบแนวป้องกัน 3 ด่าน (Three lines of defense model) และหลักการหลีกเลี่ยง การบรรเทา และการจัดการความเสี่ยงของกิจการ

4. Building an effective, future-focused board
สร้างคณะกรรมการสำหรับวันหน้า ที่มีประสิทธิผล
คณะกรรมการบริษัทถูกคาดหวังให้เป็นผู้นำการปฏิบัติที่เป็นแบบอย่าง (Tone at the top) ริเริ่มให้เกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กร สร้างเป็นตัวแบบของค่านิยมบริษัท และข้อปฏิบัติที่ดีทางธุรกิจ โดยกรรมการแต่ละท่านเปรียบเสมือน “จุดเชื่อมโยง” ในสายโซ่ร้อยระหว่างค่านิยมหลักของบริษัทกับผลการดำเนินงานท้ายสุดทางธุรกิจ ที่ซึ่งองค์ประกอบของคณะกรรมการควรมีความหลากหลาย มีสมรรถนะและประสบการณ์ที่เอื้อต่อหน้าที่ทางธุรกิจและบทบาทในอุตสาหกรรม สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทจะแข็งแกร่งได้ ตราบเท่าที่มีกรรมการที่เข้มแข็ง ในการนำองค์กร

5. Next generation ESG disclosure and reporting
โฉมหน้าการรายงานและการเปิดเผยข้อมูล ESG รุ่นถัดไป
การรายงานความยั่งยืนและการเปิดเผยข้อมูล ESG เป็นกติกาทางธุรกิจที่กลายมาเป็นข้อกำหนดภาคบังคับเพิ่มเติมในตลาดการค้าขนาดใหญ่สุดของโลก การเปิดเผยข้อมูล ESG ที่ดี มิได้หมายถึงการเปิดเผยข้อมูลให้ได้ปริมาณมาก แต่ขาดซึ่งสาระสำคัญ เพราะท่ามกลางแรงกดดันที่ให้กิจการต้องรายงาน ทำให้เกิดมาตรฐานข้อแนะนำเป็นจำนวนมาก ธุรกิจจึงควรพิจารณาเลือกเปิดเผยข้อมูลตามแบบแผนที่สอดคล้องกับเป้าประสงค์ โพรไฟล์ และวุฒิภาวะ (Maturity) ด้าน ESG ขององค์กร และเป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมายที่มีผลบังคับกับกิจการ

6. The road to a sustainable value chain
เส้นทางสู่สายโซ่คุณค่าที่ยั่งยืน
องค์กรจำเป็นต้องเสาะหาวิธีการแบบองค์รวมในการขับเคลื่อนสายอุปทานที่ยั่งยืน โดยผนวกหลักการด้าน ESG อันก่อให้เกิดภาวะพร้อมผันและความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ นับตั้งแต่การจัดหาที่ยั่งยืน จวบจนการส่งมอบผลิตภัณฑ์ถึงมือลูกค้า อาทิ การสรรหาวัสดุต้นทาง ข้อปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนของผู้ส่งมอบ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามขอบเขตที่ 3 ทั้งนี้ กิจการควรมีการสานสัมพันธ์เชิงรุกและการทำงานร่วมกันกับคู่ค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้รับทราบถึงความคาดหวังในด้าน ESG โดยมีเกณฑ์ชี้วัดการดำเนินงานและการให้คุณ (Reward) แก่คู่ค้าที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์อย่างเหมาะสม

7. Nature-based assets will drive valuations
สินทรัพย์ธรรมชาติ จะเป็นตัวกำหนดมูลค่ากิจการ
ปัจจัยนำเข้าที่เป็นวัตถุดิบสำคัญต่อการผลิตและเป็นการบริการทางระบบนิเวศที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ จัดเป็นสินทรัพย์ธรรมชาติที่ใช้กำหนดมูลค่ากิจการและใช้ประเมินสถานะความอยู่รอดทางธุรกิจในระยะยาว ในทำนองเดียวกัน ผลจากกิจกรรมทางธุรกิจก่อให้เกิดจุดพลิกผันของการดำรงอยู่ทางธรรมชาติ อาทิ ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว การพังทลายของพืดน้ำแข็ง การแผ้วถางป่าเขตร้อน รวมทั้งผลกระทบต่อทุนธรรมชาติอื่น ๆ เช่น ดินและน้ำ ตลอดจนผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ที่เดิมมิได้ถูกบันทึกอยู่ในงบดุลของกิจการ จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการรายงานความยั่งยืนและการกำหนดมูลค่าของกิจการ

หน่วยงานหรือองค์กรธุรกิจที่สนใจข้อมูลแต่ละแนวโน้มความยั่งยืนอย่างละเอียด สามารถดาวน์โหลดรายงาน “7 Sustainability Trends 2023 Report” ฉบับเต็ม ได้ที่เว็บไซต์ accountability.org ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป



ฟังบทสัมภาษณ์ในรายการ CEO Vision ทาง FM 96.5 MHz (29 ก.ค. 66)



จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, July 15, 2023

7 Green Habits : สร้างอุปนิสัยสีเขียวเพื่อโลก

ภัยพิบัติและภัยทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายประเทศต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นมากกว่าสองเท่าของค่าเฉลี่ยทั่วโลก วิกฤติไฟป่าที่สร้างความเสียหายมหาศาล น้ำท่วมใหญ่ในหลายภูมิภาค สภาพอากาศสุดขั้วและภัยแล้งในหลายทวีป ฯลฯ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นผลจากภาวะโลกร้อนซึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์

อุปนิสัยสีเขียว (Green Habits) จะช่วยลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่โลกกำลังเผชิญอยู่ และเป็นพฤติกรรมของผู้บริโภคที่แสดงออกถึงความห่วงใยในความปลอดภัย สุขอนามัย และคุณภาพชีวิต ภายใต้วิถีแห่งการบริโภคที่ยั่งยืนซึ่งเป็นกระแสหลักของโลก จนเป็นเหตุให้องค์กรธุรกิจจำต้องปรับปรุงและพัฒนากระบวนการดำเนินงาน สายผลิตภัณฑ์ รวมทั้งบริการต่างๆ ให้อิงกับอุปนิสัยสีเขียวเพิ่มขึ้น


ความจำเป็นที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อช่วยเยียวยาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มิให้เป็นภัยอันตรายต่อคนรุ่นปัจจุบัน รวมทั้งต้องพิทักษ์ระบบนิเวศให้ยืนยาวสืบต่อไปยังคนรุ่นหลัง ผ่าน 7 อุปนิสัยสีเขียว ประกอบด้วย

Rethink
ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อเรามีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง กระแสการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมจะไม่เกิดผลสำเร็จใดๆ หากทุกคนที่ได้รับฟังข้อมูลไม่ตระหนักว่าตนเองต้องเปลี่ยนแปลง การคิดใหม่ ไม่จำเป็นต้องสร้างหรือนำเสนอสิ่งใหม่ (Reinvent) ที่ต้องเริ่มจากศูนย์เสมอไป การต่อยอดขยายผลหรือปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่เดิมด้วยความคิดใหม่ อาจดีกว่า ประหยัดกว่า และทุ่นเวลากว่าการต้องเริ่มใหม่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ เมื่อคิดได้แล้ว ต้องลงมือทำ

Reduce
โลกร้อน เมื่อเราเผาผลาญทรัพยากรเกินขีดจำกัดที่ธรรมชาติจะหมุนเวียนได้ทัน โลกบูด เพราะเราบริโภคเกินจนเกิดขยะและของเสียที่ไม่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ทัน ช่วยกันลดการใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็น และช่วยกันลดการบริโภคเพื่อไม่ให้เกิดขยะและของเสียอย่างที่เป็นอยู่

Reuse
สำรวจของที่ซื้อมาแล้วเพิ่งใช้เพียงหนเดียวว่า สามารถใช้ประโยชน์ซ้ำได้หรือไม่ หาวิธีการใช้บรรจุภัณฑ์ซ้ำ หรือหลีกเลี่ยงบรรจุภัณฑ์ชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง การซื้อของมีคุณภาพที่ราคาสูงกว่า แต่ใช้งานได้ทนนาน จะดีกว่าซื้อของที่ด้อยคุณภาพในราคาถูก แต่ใช้งานได้เพียงไม่กี่ครั้ง

Recycle
เป็นการนำวัสดุที่หมดสภาพหรือที่ใช้แล้วมาปรับสภาพเพื่อนำมาใช้ใหม่ เริ่มลงมือปรับแต่งของใช้แล้วในบ้านให้เกิดประโยชน์ใหม่ ช่วยกันคัดแยกขยะหรือวัสดุเหลือใช้ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้เองมอบให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดีกว่าทิ้งหรือเก็บไว้เฉยๆ โดยเปล่าประโยชน์

Recondition
ของหลายอย่างสามารถปรับแต่งซ่อมแซม (Repair) แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ดังเดิม พยายามใช้ของให้ถูกวิธีเพื่อหลีกเลี่ยงการชำรุดเสียหายก่อนเวลาอันควร และหากสิ่งของใดมีกำหนดเวลาที่ต้องบำรุงรักษา ให้หมั่นตรวจสอบและปฏิบัติตามตารางการบำรุงรักษา เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น ขณะที่อุปกรณ์บางจำพวกอาจต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนหรือทดแทน (Replace) ด้วยอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่า เช่น เครื่องปรับอากาศ เพื่อลดการสิ้นเปลืองค่าไฟฟ้า และประหยัดพลังงาน

Refuse
การปฏิเสธเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดไม่ให้ถูกนำมาใช้หรือถูกทำลายเร็วขึ้น และเพื่อให้เวลาธรรมชาติในการฟื้นสภาพตัวเองตามระบบนิเวศ เริ่มจากสิ่งนอกตัว เช่น สินค้าฟุ่มเฟือย สิ่งที่เราต้องเติมใส่ร่างกาย เช่น อาหารนำเข้า จนถึงสิ่งที่อยู่ข้างในกาย คือ จิตใจ เพราะเมื่อจิตร้อน กายก็ร้อน สิ่งรอบข้างก็ได้รับกระแสร้อนตามไปด้วย

Return
หน้าที่หนึ่งของมนุษย์ในฐานะผู้อาศัยโลกเป็นที่พักพิง คือ การตอบแทนคืนแก่โลก ใครใช้ทรัพยากรใดจากธรรมชาติเยอะ ก็ต้องคืนทรัพยากรนั้นกลับให้มากๆ ผลกระทบใดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการดำเนินงาน ก็ต้องพยายามฟื้นฟู ทำให้คืนสภาพ หรือทำให้สมบูรณ์ (Replenish) ดังเดิม เมื่อใดที่ริเริ่มเป็นผู้ให้ได้โดยมิต้องบังคับหรือร้องขอ เมื่อนั้นเราก็จะได้รับกลับคืนอย่างไม่ต้องสงสัยเช่นกัน


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, July 01, 2023

กลยุทธ์น่านน้ำหลากสี : Colorful Ocean Strategy

เมื่อว่าด้วยเรื่องกลยุทธ์ ในแวดวงธุรกิจก็มีหลากหลายกลยุทธ์จากร้อยแปดสำนัก กลยุทธ์ที่มีอิทธิพลและได้รับการกล่าวขานกันอย่างแพร่หลายชุดหนึ่ง คือ กลยุทธ์จำพวกน่านน้ำหลากสี (colorful ocean strategy) ทั้ง red ocean, blue ocean, green ocean

กลยุทธ์น่านน้ำเหล่านี้มีทั้งความเหมือนและต่างกันในบริบทที่ตัวมันเองเป็นกลยุทธ์ประเภทหนึ่งในทางธุรกิจ ความเหมือนกัน ก็คือ ทั้งสามกลยุทธ์มุ่งให้ความสำคัญที่คุณค่า (value) ในการประกอบการ เพื่อนำมาซึ่งความสำเร็จขององค์กร

การนิยามความสำเร็จเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างทางกลยุทธ์ บางกิจการ ความสำเร็จ คือการมีชัยชนะเหนือคู่แข่งในสนามการแข่งขัน บางกิจการวัดความสำเร็จจากการพัฒนาธุรกิจให้ล้ำหน้าการแข่งขันอยู่ตลอดเวลาจนทำให้คู่แข่งหมดความหมาย ขณะที่กิจการอีกส่วนหนึ่งประเมินจากที่องค์กรมีความยั่งยืนด้วยการพัฒนาอย่างสมดุล

Red ocean strategy คือ กลยุทธ์ที่ใช้สร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยมุ่งพัฒนาและส่งมอบคุณค่าที่เหนือกว่า (Beating Value) คู่แข่งขัน

Blue ocean strategy คือ กลยุทธ์ที่ใช้สร้างและจับจองอุปสงค์ในตลาดใหม่ ด้วยการคิดค้นนวัตกรรมทางคุณค่า (Innovating Value) ที่ล้ำหน้าจากสภาพการแข่งขัน

Green ocean strategy คือ กลยุทธ์ที่ใช้สร้างและผนวกคุณค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่เน้นดำรงความยั่งยืนทางคุณค่า (Sustaining Value)

Red OceanBlue OceanGreen Ocean
Competition-based StrategyInnovation-based StrategySustainability-based Strategy
Beating ValueInnovating ValueSustaining Value

ในกลยุทธ์การแข่งขันแบบน่านน้ำสีแดง องค์กรต้องเลือกระหว่างกลยุทธ์ต้นทุนต่ำ การสร้างความแตกต่าง หรือการมุ่งเฉพาะส่วน เพราะพื้นที่ตลาดเดิมได้ถูกกำหนดไว้อย่างแจ้งชัด

สำหรับกลยุทธ์น่านน้ำสีคราม องค์กรสามารถพัฒนากลยุทธ์ที่ได้ทั้งความแตกต่างและต้นทุนต่ำ เนื่องจากพื้นที่ตลาดได้ถูกสร้างขึ้นใหม่และยังไร้ซึ่งการแข่งขัน

ส่วนกลยุทธ์สู่ความยั่งยืนแบบน่านน้ำสีเขียว องค์กรจะต้องทบทวนกิจกรรมในสายคุณค่าทั้งหมด เพื่อฝังเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) เข้าไว้ในทุกกระบวนการ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการพัฒนาสู่ความยั่งยืน

เครื่องมือที่ไมเคิล อี พอร์เตอร์ ใช้ในการวิเคราะห์สภาวการณ์การแข่งขันในอุตสาหกรรม ภายใต้ Red Ocean คือ Five Competitive Forces หรือ แรงที่กำหนดสภาพการแข่งขันจาก 5 ทิศทาง คือ แรงผลักดันจากผู้เล่นหน้าใหม่ (New Entrants) แรงบีบจากผู้ส่งมอบ (Suppliers) แรงผูกมัดจากผู้ซื้อ (Buyers) แรงกดดันจากผู้เข้าแทนที่ (Substitutes) และแรงห้ำหั่นจากคู่แข่งขัน (Competitors)

ชาน คิม ผู้ให้กำเนิดกลยุทธ์ Blue Ocean ที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมเชิงคุณค่า (Value Innovation) ระบุว่า เครื่องมือที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับใช้ในการวิเคราะห์เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ในกลยุทธ์น่านน้ำสีคราม คือ Four Action Frameworks ซึ่งใช้ทลายข้อจำกัดของการต้องเลือกระหว่างการสร้างความแตกต่างและต้นทุนต่ำในสมรภูมิการแข่งขันแบบเดิม ประกอบไปด้วย 4 คำถามหลักที่มุ่งท้าทายตรรกะเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรมและแบบจำลองในธุรกิจ

มีปัจจัยใดบ้างที่อุตสาหกรรมปฏิบัติสืบเนื่องจนเคยชินและควรค่าแก่การขจัดให้หมดไป
มีปัจจัยใดบ้างที่ควรค่าแก่การลดไม่ให้เกินกว่ามาตรฐานในอุตสาหกรรม
มีปัจจัยใดบ้างที่ควรค่าแก่การยกระดับให้สูงกว่ามาตรฐานในอุตสาหกรรม
มีปัจจัยใดบ้างที่อุตสาหกรรมยังไม่เคยมีการนำเสนอและควรค่าแก่การสร้างให้เกิดขึ้น

ส่วนกลยุทธ์ Green Ocean นอกเหนือจากการวิเคราะห์คุณค่าเชิงเศรษฐกิจที่ถูกสร้างขึ้นจากกิจกรรมหลัก (Primary Activities) และกิจกรรมสนับสนุน (Support Activities) ในสายแห่งคุณค่า (Value Chain) แล้ว ยังคำนึงถึงการดำรงคุณค่าเชิงสังคมและคุณค่าเชิงสิ่งแวดล้อมด้วย

ทั้งสามกลยุทธ์น่านน้ำ มุ่งให้ความสำคัญกับการปรับทิศทางการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ที่เป็นเป้าหมายรวมของกิจการ มากกว่าการปรับเปลี่ยนแค่กิจกรรมที่ดำเนินอยู่เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในแต่ละแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ขององค์กร


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, June 17, 2023

นับหนึ่งการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนภาครัฐ

เมื่อพูดถึงการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของกิจการ เราเข้าใจเป็นอื่นไปไม่ได้ว่า นั่นเป็นบทบาทของกิจการในภาคเอกชนที่ดำเนินธุรกิจ พึงจะต้องรายงานให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียได้รับทราบ ไม่ว่าจะเป็นไปโดยสมัครใจ หรือมีกฎระเบียบบังคับให้ดำเนินการก็ตาม

ในภาคสมัครใจ มาตรฐานการรายงานขัอมูลความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลและใช้อ้างอิงอย่างแพร่หลายในวงกว้าง คือ มาตรฐาน GRI (Global Reporting Initiative) โดยจากการสำรวจของเคพีเอ็มจี ในปี ค.ศ.2022 ระบุว่า ร้อยละ 68 หรือราวสองในสามของบริษัทในกลุ่ม N100 ซึ่งประกอบด้วยบริษัทที่มีรายได้สูงสุด 100 แห่ง จากประเทศที่ทำการสำรวจ 58 ประเทศทั่วโลก รวม 5,800 บริษัท ใช้มาตรฐาน GRI อ้างอิงในการจัดทำรายงานความยั่งยืนของกิจการ

ในประเทศไทย จากการสำรวจของสถาบันไทยพัฒน์กับกิจการในประเทศจำนวน 854 แห่ง ในปี พ.ศ.2565 พบว่า ร้อยละ 88.89 ของกิจการที่มีการเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบรายงานความยั่งยืน จำนวน 153 แห่ง ใช้การอ้างอิงมาตรฐาน GRI เช่นเดียวกัน

ในภาคบังคับ ปัจจุบัน ทุกบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถูกกำหนดให้บริษัทต้องมีการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนตามแบบ 56-1 One Report ในหัวข้อ “การขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืน” เพื่อให้สะท้อนการดำเนินการเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนที่รวมอยู่ในกระบวนการทางธุรกิจ (ESG-in-process) ที่เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการตลาดทุน (ก.ต.ท.)

สำหรับความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของกิจการภาครัฐ คณะกรรมการมาตรฐานการบัญชีภาครัฐระหว่างประเทศ (IPSASB) ได้ออกแนวทางการปฏิบัติที่แนะนำ (RPG) ว่าด้วยการรายงานข้อมูลชุดโครงการความยั่งยืน หรือ Reporting Sustainability Program Information แก้ไขเพิ่มเติมการรายงานความยั่งยืนทางการเงินของกิจการในระยะยาว (RPG 1) และการรายงานข้อมูลผลการให้บริการสาธารณะ (RPG 3) เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

สาระสำคัญในการแก้ไขเพิ่มเติม คือ การรายงานผลกระทบของชุดโครงการความยั่งยืนที่มีต่อฐานะทางการเงินของกิจการในระยะยาวทั้งในมิติการให้บริการ รายได้ และหนี้สิน ตลอดจนการให้รายละเอียดและข้อมูลตัวชี้วัดของชุดโครงการความยั่งยืนที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกรีนบอนด์ จากภาษีคาร์บอน และเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนเพื่อความยั่งยืน เป็นต้น

ปัจจุบัน IPSASB กำลังผลักดันการออกเอกสารที่มีความเร่งด่วนใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1) ข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืน 2) การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ และ 3) การเปิดเผยข้อมูลที่มิใช่ตัวเงิน: ทรัพยากรธรรมชาติ

โดยในเดือนมิถุนายนนี้ IPSASB ได้มีการนำเสนอโครงการฉบับย่อในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ที่จะพัฒนาขึ้นโดยอาศัยมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) และมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนสากล (GRI) โดยมีกำหนดออกเป็นร่าง (Exposure Draft) ที่ผ่านการอนุมัติ ในเดือนมิถุนายน ปีหน้า และประกาศใช้เป็นมาตรฐาน ภายในครึ่งปีหลังของปี พ.ศ.2568

จะเห็นว่า กระแสการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนที่มีมาอย่างต่อเนื่อง มิได้จำกัดอยู่เพียงกิจการในภาคเอกชนแล้วเท่านั้น แต่กำลังขยายวง ครอบคลุมไปถึงกิจการในภาครัฐ ซึ่งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หน่วยงานภาครัฐในประเทศ จำเป็นต้องเฝ้าติดตามและเตรียมรับมือกับความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่างไม่ชักช้า

ซึ่งก็น่าจะเหมาะเจาะกับจังหวะเวลาที่เรากำลังจะมีรัฐบาลใหม่ ที่มีศักยภาพนำการเปลี่ยนแปลงในระบบราชการและหน่วยงานภาครัฐ ให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, June 03, 2023

'หุ้นเข้าใหม่' ในทำเนียบ ESG100 ปี 2566

จากการสำรวจของมอร์นิ่งสตาร์ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่าการลงทุนยั่งยืนทั่วโลกมีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิน้อยลง ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ประเด็นเงินเฟ้อ และแนวโน้มของสภาวะเศรษฐกิจถดถอย

แต่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิยังคงเพิ่มขึ้นมาที่ 2.74 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเติบโต 7.5% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าภาพรวมกองทุนทั่วโลกที่ 4%

กองทุนในยุโรปยังคงเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สุดของการลงทุนอย่างยั่งยืน คิดเป็น 84% ของมูลค่ากองทุนยั่งยืนทั่วโลก รองลงมาเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาในสัดส่วน 11% ตามมาด้วยกลุ่มประเทศในเอเชีย (ไม่นับรวมญี่ปุ่น) เป็นอันดับสามของโลก

โดยในภูมิภาคเอเชีย เม็ดเงินลงทุนในกองทุนยั่งยืน มีมูลค่ารวม 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 3.1% ในจำนวนนี้เป็นมูลค่าการลงทุนในประเทศจีนถึง 68% ตามมาด้วยไต้หวันและเกาหลีใต้ที่ 17% และ 11.6% ตามลำดับ

สำหรับในประเทศไทย เนื่องจากกองทุนยั่งยืนส่วนใหญ่ เป็นการลงทุนต่างประเทศ ทำให้การฟื้นตัวของตลาดหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะทางฝั่งสหรัฐฯ ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนยั่งยืนในประเทศไทยขึ้นมาอยู่ที่ 5.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% จากสิ้นปีที่แล้ว โดยมีเงินไหลออกสุทธิ ราว 2 ร้อยล้านบาท

อย่างไรก็ดี หากมองย้อนกลับไปในช่วงสองปีที่ผ่านมา พบว่ากองทุนยั่งยืนมีเม็ดเงินไหลเข้า-ออกอย่างจำกัด โดยเฉพาะหลังจากปี ค.ศ.2021 เป็นต้นมา ซึ่งอาจมีส่วนมาจากสภาวะการลงทุนที่มีปัจจัยลบค่อนข้างมากในช่วงปี ค.ศ.2022

ในส่วนของสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย และเป็นผู้จัดทำข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 นับตั้งแต่ปี ค.ศ.2015 ได้จัดทำรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี ค.ศ.2023 ด้วยการคัดเลือกจาก 888 บริษัท/กองทุน/ทรัสต์เพื่อการลงทุน ทำการประเมินโดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ESG จาก 6 แหล่ง จำนวนกว่า 16,445 จุดข้อมูล

โดยการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนกลุ่ม ESG Emerging ในปีนี้ นับเป็นปีที่สี่ของการประเมิน ซึ่งพิจารณาจากข้อมูลการดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG ตามที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ และผ่านเกณฑ์คัดกรองเบื้องต้นที่ใช้ในการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ของสถาบันไทยพัฒน์ ตามหลักการ CORE Framework เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแก่ผู้ลงทุน

สำหรับหลักทรัพย์ที่ติดกลุ่ม ESG Emerging ปี ค.ศ.2023 ซึ่งได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นครั้งแรก มีจำนวน 15 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย AAI AWC BRR BVG DEXON ITC PLANB POLY PRI PRIME SICT SISB TLI WHA WHAIR

ในปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ยังได้คัดเลือกและจัดทำรายชื่อหลักทรัพย์ที่มีผลประกอบการพลิกฟื้นกลุ่ม ESG Turnaround เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ด้วยโอกาสการสร้างผลตอบแทนจากหลักทรัพย์ที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวและมีปัจจัย ESG สนับสนุน

สำหรับหลักทรัพย์กลุ่ม ESG Turnaround ประกอบด้วย AOT BA BAFS CENTEL ERW MINT SEAFCO SHR SPA THRE รวมจำนวน 10 หลักทรัพย์

โดยการพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์ที่มีผลประกอบการพลิกฟื้นกลุ่ม ESG Turnaround ในปีนี้ นับเป็นปีแรกของการจัดทำรายชื่อบริษัทที่มี ESG ซึ่งได้ตามเกณฑ์ในรอบปีการประเมิน แต่ยังมีผลประกอบการติดลบหรือต่ำกว่าตลาด (Underperform) โดยมีสัญญาณการพลิกฟื้นและโอกาสในการไต่ระดับขึ้น (Upside) ของราคาหลักทรัพย์ จากการฟื้นตัวของตลาด และศักยภาพในธุรกิจแกนหลัก (Core Business) ของกิจการที่มี ESG เป็นปัจจัยสนับสนุน

ผู้ลงทุนที่สนใจศึกษาข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://thaipat.esgrating.com


* หมายเหตุ: การนำเสนอข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์จดทะเบียน ESG100, ESG Emerging, ESG Turnaround รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่สถาบันไทยพัฒน์เป็นผู้ประเมิน เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้เป็นข้อมูลเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นคำแนะนำในการลงทุน หรือการเสนอซื้อเสนอขายใดๆ


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, May 20, 2023

คนรุ่นใหม่เลือกทำงานกับบริษัทที่ใฝ่ ESG

ดีลอยท์ ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ ในเอกสาร 2023 Gen Z and Millennial Survey ต่อค่านิยมในการทำงานกับองค์กร พบว่า 44% ของกลุ่ม Gen Z (อายุระหว่าง 19-28 ปี) และ 37% ของกลุ่ม Millennial (อายุระหว่าง 29-40 ปี) ไม่ยอมรับที่จะทำงานที่ได้รับมอบหมายจากข้อกังวลด้านจริยธรรม ขณะที่ 39% ของกลุ่ม Gen Z และ 34% ของกลุ่ม Millennial ปฏิเสธที่จะทำงานกับบริษัทที่ดำเนินงานขัดกับค่านิยมของตน

การสำรวจนี้ มาจากการสอบถามกลุ่ม Gen Z จำนวน 14,483 คน และกลุ่ม Millennial จำนวน 8,373 คน รวม 22,856 คน จาก 44 ประเทศทั่วโลก


ประเด็นที่กลุ่ม Gen Z และกลุ่ม Millennial ให้ความสำคัญสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ ค่าครองชีพ (35% ในกลุ่ม Gen Z และ 42% ในกลุ่ม Millennial) การว่างงาน (22% ในกลุ่ม Gen Z และ 20% ในกลุ่ม Millennial) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (21% ในกลุ่ม Gen Z และ 23% ในกลุ่ม Millennial)

ข้อห่วงใยด้านสภาพภูมิอากาศ ยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจในอาชีพ โดยมากกว่าครึ่งของผู้ถูกสำรวจทั้งในกลุ่ม Gen Z (55%) และในกลุ่ม Millennial (54%) จะมีการศึกษานโยบายและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของแบรนด์บริษัทก่อนที่จะตอบรับเข้าทำงาน ขณะที่หนึ่งในหกของกลุ่ม Gen Z (17%) และกลุ่ม Millennial (16%) ได้มีการเปลี่ยนงานหรือสาขาอาชีพแล้วจากข้อห่วงใยด้านสภาพภูมิอากาศ และอีก 25% ของกลุ่ม Gen Z กับอีก 23% ของกลุ่ม Millennial แสดงความประสงค์ที่จะทำเช่นนั้นในอนาคต

สิ่งที่ผู้ถูกสำรวจ ต้องการให้บริษัทเพิ่มน้ำหนักความสำคัญต่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่

การอุดหนุนค่าใช้จ่ายพนักงานที่ใช้ตัวเลือกความยั่งยืน ประกอบด้วย รถยนต์ไฟฟ้า แผงพลังงานแสงอาทิตย์ ตัวควบคุมอุณหภูมิประหยัดพลังงาน เบี้ยจูงใจสำหรับใช้ระบบขนส่งมวลชน ฯลฯ
การให้ความรู้และฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับวิถีความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน
การห้าม / ลดใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งในสำนักงาน / สถานประกอบการ
การปรับปรุงซ่อมแซมสำนักงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อาทิ การติดตั้งระบบจัดการสำนักงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
การปรับสภาพชุมชนในถิ่นที่ตั้งของสถานประกอบการให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ ผลสำรวจความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ต่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม พบว่า สี่ในห้าของผู้ถูกสำรวจต้องการให้ธุรกิจเพิ่มทางเลือกในการซื้อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในราคาที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ มีการปรับสายอุปทานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือมีการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ขณะที่ สามในสิบของกลุ่ม Gen Z (30%) และกลุ่ม Millennial (29%) มีความอ่อนไหวต่อการฟอกเขียว (Greenwashing) โดยจะดูสิ่งที่บริษัทอ้างในการทำตลาดว่ามีการรับรองจากหน่วยงานภายนอกหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ และอีกราวหนึ่งในสาม (34%) ของทั้งกลุ่ม Gen Z กับกลุ่ม Millennial แสดงความประสงค์ที่จะทำเช่นนั้นในอนาคต

สำหรับประเด็นด้านสังคมที่กลุ่ม Gen Z และกลุ่ม Millennial มีความกังวล ได้แก่ สุขภาพจิต (19% ในกลุ่ม Gen Z และ 14% ในกลุ่ม Millennial) การคุกคามทางเพศ (16% ในกลุ่ม Gen Z และ 8% ในกลุ่ม Millennial) และความเหลื่อมล้ำ (16% ในกลุ่ม Gen Z และ 10% ในกลุ่ม Millennial)

ผลสำรวจระบุว่า ความกดดันในการทำงาน เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กลุ่ม Gen Z (52%) และกลุ่ม Millennial (49%) เกิดความเหนื่อยล้า (Burnout) โดย 36% ของกลุ่ม Gen Z และ 30% ของกลุ่ม Millennial รู้สึกหมดแรงหรือกำลังถดถอยในงาน ขณะที่ 35% ของกลุ่ม Gen Z และ 28% ของกลุ่ม Millennial รู้สึกไม่ผูกพันกับงานที่ทำ ไปจนถึงมีความรู้สึกแง่ลบหรือต่อต้านงานที่ทำ และอีก 42% ของกลุ่ม Gen Z กับอีก 40% ของกลุ่ม Millennial รู้สึกดิ้นรนที่ต้องให้งานออกมาดีสมกับความสามารถ

ปัญหาเรื่องสุขภาพจิตของคนกลุ่ม Gen Z และกลุ่ม Millennial ยังเกิดจากสภาวะเดอะแบก หรือภาระที่โดนประกบแบบแซนวิช ที่ต้องดูแลรับผิดชอบทั้งลูกเล็กและพ่อแม่สูงวัย โดย 34% ของกลุ่ม Gen Z และ 39% ของกลุ่ม Millennial มีภาระประจำที่ต้องดูแลรับผิดชอบทั้งลูกเล็กและพ่อแม่หรือญาติสูงวัย ขณะที่ มากกว่าสี่ในสิบของคนกลุ่ม Gen Z และกลุ่ม Millennial ระบุว่าภาระรับผิดชอบดังกล่าวมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพจิตของตน

ทำให้กว่า 80% ของผู้ถูกสำรวจ ระบุว่า จะมีการพิจารณานโยบายและการสนับสนุนของบริษัทในด้านสุขภาพจิต ก่อนตัดสินใจตอบรับเข้าทำงาน ซึ่งการให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้คงอยู่กับองค์กรได้อีกด้วย


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]