การที่ภาครัฐมีแนวคิดจัดตั้งกองทุน Thai ESG Fund เพื่อช่วยพยุงตลาด รวมทั้งสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ โดยมีลักษณะคล้ายกองทุน LTF แต่มุ่งเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ความสำคัญในเรื่อง ESG เชื่อว่าจะส่งเสริมให้เกิดการออกกองทุน ESG ที่ลงทุนในหุ้นไทยกันมากขึ้น
ในจำนวนหุ้นไทยทั้งหมด 886 หลักทรัพย์ (ไม่รวมบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน) จะมีหลักทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูล ESG อยู่ราว 1 ใน 4 ของหลักทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูง โดยมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนราว 3 ใน 4 ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมด
สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการจัดทำฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย ได้เล็งเห็นข้อจำกัดที่การเปิดเผยข้อมูล ESG มีการกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ จึงได้ก่อตั้งประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน (Sustainability Disclosure Community) ขึ้นในปี พ.ศ. 2562 สำหรับใช้เป็นแพลตฟอร์มในการส่งเสริมให้ธุรกิจได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ข้อมูล ESG ให้กระจายครอบคลุมไปยังหลักทรัพย์อีกราว 3 ใน 4 ของตลาด เพื่อเป็นตัวเลือกในการลงทุนให้มีความหลากหลาย โดยรวมไปถึงบริษัทนอกตลาดและกิจการอื่น ๆ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG เพิ่มเติม
ปัจจุบัน ข้อมูลผลประเมิน ESG ของกิจการในไทย ที่สถาบันไทยพัฒน์รวบรวม ครอบคลุมทั้งบริษัทจดทะเบียน กองทุน บริษัทนอกตลาด และกิจการอื่น มีจำนวนรวม 905 กิจการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูล ESG ดังกล่าวในวงกว้าง
ด้วยเหตุที่การใช้ประโยชน์จากข้อมูล ESG ในแง่ของการลงทุน จะมีส่วนที่ไปเติมเต็มการใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขทางการเงิน โดยที่รายงานทางการเงินนั้น เป็นข้อมูลที่ผู้ลงทุนใช้วิเคราะห์การดำเนินงานของบริษัทที่เป็นการสะท้อนถึงผลประกอบการในอดีต (Past Performance) ส่วนประเด็น ESG ซึ่งมีทั้งข้อมูลในเชิงปริมาณและคุณภาพนั้น ผู้ลงทุนจะใช้สำหรับประเมินการดำเนินงาน เพื่อคาดการณ์ถึงแนวโน้มผลประกอบการในอนาคตของบริษัท (Forward-looking Perspective)
ตัวอย่างรายการการลงทุนสีเขียวที่บริษัทมีการปรับปรุงหม้อไอน้ำของโรงไฟฟ้าโดยเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินมาเป็นพลังงานหมุนเวียนในการผลิตกระแสไฟฟ้า จะทำให้ล่วงรู้ว่าตัวเลขผลประกอบการในอนาคตจะมีโอกาสเพิ่มขึ้น ด้วยการดำเนินงานในประเด็น ESG ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ประหยัดได้ เป็นต้น
ทั้งนี้ การใช้ข้อมูล ESG เพื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างบริษัท สำหรับตัดสินใจลงทุน จะไม่สามารถใช้ประเด็น ESG ชุดเดียวกันร่วมกันได้ในทุกธุรกิจ อาทิ ธุรกิจการเงิน จะมีประเด็น ESG สำคัญที่ต้องพิจารณา ได้แก่ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ ไม่ใช่ประเด็นสาระสำคัญสำหรับธุรกิจที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม ที่ซึ่งการจัดการด้านพลังงาน น้ำ มลอากาศ และของเสีย จะเป็นประเด็น ESG ที่สำคัญต่อการพิจารณามากกว่า
ทำให้การประเมินการดำเนินงานโดยใช้ประเด็น ESG ทั่วไป (Generic Topics) ชุดเดียวกันสำหรับการให้คะแนน (Scoring) และการจัดระดับ (Rating) จะไม่มีนัยสำคัญในผลลัพธ์ที่ได้มากนัก
การประเมินข้อมูล ESG จึงจำเป็นต้องใช้ประเด็นจำเพาะในอุตสาหกรรม (Industry-specific Topics) สำหรับเปรียบเทียบ ให้คะแนน และจัดระดับบริษัทที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
นอกจากนี้ ในการประเมินข้อมูลเชิงลึก ยังต้องอาศัยการพิจารณากลยุทธ์องค์กรในประเด็นที่เป็นสาระสำคัญต่อบริษัท (Company-specific Topics) เพื่อให้ล่วงรู้ถึงทิศทางต่อการดำเนินงานในประเด็น ESG นั้น ๆ ว่า องค์กรใช้เป็นตัวขับคุณค่าในแง่ของการสร้างการเติบโต (Growth) การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) หรือการจัดการความเสี่ยง (Risk Management) โดยส่งผลต่อบรรทัดสุดท้ายของกิจการที่แตกต่างจากบริษัทอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมนั้นอย่างไร
โดยการประเมินข้อมูล ESG สำหรับคัดเลือกบริษัทเข้าเป็นองค์ประกอบของดัชนี Thaipat ESG จะครอบคลุมไปถึงการพิจารณาประเด็นจำเพาะในอุตสาหกรรม และประเด็นสาระสำคัญต่อบริษัทที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับผลประกอบการ เพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุนในมิติของการลงทุนที่ยั่งยืนว่า บริษัทที่มี ESG ดี จะสามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีด้วย
Thaipat ESG Index เป็นดัชนี ESG แรกในประเทศไทย ที่ใช้การคำนวณดัชนีด้วยวิธีถ่วงน้ำหนักหลักทรัพย์เท่ากัน (Equal Weighed Index) คือ ให้ความสำคัญกับหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของดัชนีโดยไม่ขึ้นกับขนาดของหลักทรัพย์ ซึ่งการขจัดปัจจัยในเรื่องขนาดหรือความใหญ่ของหลักทรัพย์ ทำให้ดัชนีสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างทัดเทียมกันในแต่ละหลักทรัพย์ และทำให้โอกาสที่หลักทรัพย์คุณภาพขนาดกลางและขนาดเล็กที่ผ่านเกณฑ์ด้าน ESG ของสถาบันไทยพัฒน์ สามารถส่งผลต่อค่าของดัชนีได้ทัดเทียมกับหลักทรัพย์ขนาดใหญ่
โดยหากเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่าง Thaipat ESG Index (Total Return) ตั้งแต่วันฐาน (30 มิ.ย. 58) จนถึงวันที่ 13 พ.ย. 66 กับดัชนี SET100 และ SET50 (Total Return) พบว่า ดัชนี Thaipat ESG ให้ผลตอบแทนรวมอยู่ที่ 22.70% (หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 2.47% ต่อปี) ขณะที่ดัชนี SET100 และ SET50 ให้ผลตอบแทนรวมอยู่ที่ 10.74% และ 11.18% (หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 1.22% และ 1.27% ต่อปี) ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในอดีตของดัชนี มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

No comments:
Post a Comment