จากตัวเลขการสำรวจของออพิมัส ที่ปรึกษาด้านการจัดการลงทุนในตลาดทุนทั่วโลก ระบุว่า การพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ในกระบวนการลงทุนได้กลายเป็นกระแสหลัก (Mainstream) โดยมีมูลค่าตลาดบริการข้อมูลด้าน ESG อยู่ที่ 1.28 พันล้านเหรียญ ในปี พ.ศ. 2565 และคาดว่าจะมีขนาดตลาดเพิ่มเป็น 1.59 พันล้านเหรียญในปี พ.ศ. 2566 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ในช่วงห้าปี (พ.ศ. 2564-2568) คาดการณ์อยู่ที่ร้อยละ 23 ต่อปี
แม้ขนาดตลาดข้อมูล ESG ของบริษัทนอกตลาด (Private Markets) หรือบริษัทเอกชนที่มิได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะยังมีขนาดเล็ก โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 45 ล้านเหรียญ ในปี พ.ศ. 2565 แต่ออพิมัสคาดการณ์ว่า จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ในช่วงห้าปี (พ.ศ. 2564-2568) สูงถึงร้อยละ 42 ต่อปี
ด้วยเหตุที่ผู้ลงทุนและผู้ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากข้อมูล ESG ไม่สามารถนั่งวิเคราะห์ข้อมูล ESG เป็นรายบริษัทได้ด้วยตัวเองทั้งหมด เนื่องจากข้อมูล ESG มีปริมาณมากและการเปิดเผยข้อมูล ESG ของแต่ละบริษัทยังมีรูปแบบที่มีความแตกต่างหลากหลาย มิได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้ยากต่อการเปรียบเทียบ จำเป็นต้องอาศัยหน่วยงานผู้ให้บริการประเมิน (Rating) หรือจัดอันดับ (Ranking) ที่มีความเชี่ยวชาญ ทำหน้าที่ในการสังเคราะห์ข้อมูลให้ จึงเกิดเป็นตลาดบริการข้อมูล ESG ที่มีการเติบโตสูง ตามอุปสงค์ของผู้ลงทุนและผู้ใช้ข้อมูล ESG ที่เพิ่มขึ้น
ในประเทศไทย ตลาดบริการข้อมูล ESG แทบทั้งหมดในปัจจุบัน เป็นการให้บริการข้อมูล ESG ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Public Markets) โดยจากการสำรวจ พบว่า หน่วยงาน ESG Rating ในสังกัดสถาบันไทยพัฒน์ มีการเผยแพร่ข้อมูล ESG ของบริษัทจดทะเบียนที่ทำการประเมิน อยู่จำนวน 763 ราย ขณะที่หน่วยงาน Sustainalytics ในสังกัดมอร์นิ่งสตาร์ มีการเผยแพร่อยู่ 140 กว่าราย และหน่วยงาน ESG Research ในสังกัด MSCI มีการเผยแพร่อยู่ 42 ราย ตามลำดับ (ข้อมูล ณ สิ้นปี พ.ศ. 2565)
ทั้งนี้ รูปแบบในการประเมินและการเผยแพร่ข้อมูลของแต่ละหน่วยงานผู้ประเมินจะมีระเบียบวิธีประเมินและการแสดงผลประเมินที่แตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อมูลที่หน่วยงานจะหาได้ และลักษณะของกลุ่มลูกค้าผู้ใช้ข้อมูลของหน่วยงาน
หน่วยงาน ESG Research ในสังกัด MSCI ใช้วิธีแสดงผลการประเมินเป็นตัวอักษร โดยมีระดับ AAA-AA สำหรับกลุ่มบริษัทที่เป็นผู้นำ (Leader) ในกลุ่มอุตสาหกรรม ระดับ A-BBB-BB สำหรับกลุ่มบริษัทที่ตกอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย (Average) ของกลุ่มอุตสาหกรรม และระดับ B-CCC สำหรับกลุ่มบริษัทที่อยู่ล้าหลัง (Laggard) ในกลุ่มอุตสาหกรรม โดยระเบียบวิธีที่ MSCI ใช้ ถูกออกแบบให้คำนึงถึงนัยสำคัญทางการเงิน (Financial Significance) ของประเด็น ESG
หน่วยงาน Sustainalytics ในสังกัดมอร์นิ่งสตาร์ ใช้วิธีแสดงผลการประเมินจำแนกเป็น 5 ระดับขั้นความเสี่ยงของ ESG ได้แก่ ขั้นรุนแรง (Severe) มีระดับความเสี่ยง 40 คะแนนขึ้นไป ขั้นสูง (High) มีความเสี่ยงอยู่ในช่วง 30-40 คะแนน ขั้นกลาง (Medium) มีความเสี่ยงอยู่ในช่วง 20-30 คะแนน ขั้นต่ำ (Low) มีความเสี่ยงอยู่ในช่วง 10-20 คะแนน และขั้นที่ละได้ (Negligible) มีความเสี่ยงอยู่ในช่วง 0-10 คะแนน โดยระเบียบวิธีที่ Sustainalytics ใช้ประเมิน ESG จะพิจารณาในสองมิติ คือ โอกาสเสี่ยง (Exposure) ในประเด็น ESG ที่เป็นสาระสำคัญในอุตสาหกรรม และความสามารถในการจัดการความเสี่ยงดังกล่าว
หน่วยงาน ESG Rating ในสังกัดสถาบันไทยพัฒน์ มีการจำแนกผลประเมินภายในเป็น 5 ระดับ ใช้วิธีแสดงผลในลักษณะ Meter โดยมีมาตรา 100 ส่วน คำนวณตามคะแนน ESG ที่ได้รับในแต่ละด้าน โดยกลุ่มบริษัทที่มีคะแนนในแต่ละด้านเกินสองในสามของคะแนนเต็มในทุกด้านจัดอยู่ในระดับ Gold Class กลุ่มบริษัทที่มีคะแนนในแต่ละด้านเกินหนึ่งในสามของคะแนนเต็มในทุกด้านจัดอยู่ในระดับ Silver Class และกลุ่มบริษัทที่มีคะแนนปรากฏในทุกด้าน ไม่มีด้านใดด้านหนึ่งที่ปราศจากคะแนนจัดอยู่ในระดับ Bronze Class โดยระเบียบวิธีที่สถาบันไทยพัฒน์ใช้จะเป็นการประเมินปัจจัยด้าน ESG ในสามมิติ คือ มิติ Topic-specific มิติ Industry-specific และมิติ Company-specific ในกรณีที่บริษัทมีการเปิดเผยข้อมูล ESG ต่อสาธารณะที่เพียงพอต่อการประเมิน และจะใช้การประเมินตามชุดตัวชี้วัดพื้นฐาน WFE ESG Metrics ในกรณีที่บริษัทมีการเปิดเผยข้อมูล ESG ขั้นต่ำตามแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1 One Report)
จะเห็นว่าวิธีประเมินของ MSCI ให้ความสำคัญที่ประเด็น ESG ซึ่งส่งผลต่อบรรทัดสุดท้ายของกิจการ (คือ กำไร) ส่วน Sustainalytics ประเมินโดยมองประเด็น ESG ว่าเป็นความเสี่ยง (Risks) ที่กิจการต้องบริหารจัดการ ขณะที่การประเมินของสถาบันไทยพัฒน์ ให้น้ำหนักต่อประเด็น ESG ว่าเป็นตัวขับคุณค่า (Value Driver) ตามแนวทางของ UN PRI ที่คำนึงถึงปัจจัย ESG ทั้งในแง่ของการสร้างการเติบโต (Growth) การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และการจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
ปัจจุบัน ข้อมูลผลประเมิน ESG ของกิจการในไทย ที่สถาบันไทยพัฒน์รวบรวมไว้ มีจำนวนทั้งสิ้น 854 กิจการ ครอบคลุมบริษัทจดทะเบียนในตลาด 763 แห่ง กองทุนและบริษัทที่อยู่นอกตลาด 91 ราย และคาดว่า ในสิ้นปีนี้ จะมีจำนวนกิจการที่ได้รับการประเมินเพิ่มเป็น 1,000 ราย โดยจะเป็นการเติบโตจาก Private Markets แซงหน้า Public Markets เป็นปีแรกนับตั้งแต่ที่เริ่มการประเมินในปี พ.ศ.2558
ทั้งนี้ การออกแบบการแสดงผลประเมินในรูปของมาตรวัดความยั่งยืน หรือ ESG Meter ของกิจการไทย ให้มีความคล้ายคลึงกับมาตรวัดน้ำ มาตรวัดไฟฟ้า ก็เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านผล องค์กรสามารถรับรู้สถานะด้าน ESG ที่เป็นปัจจุบัน ถึงสิ่งที่ได้ดำเนินการดีแล้ว และสิ่งที่ควรดำเนินการ (Gap) สำหรับนำไปพัฒนายกระดับการดำเนินงานด้าน ESG ในรอบปีถัดไป
จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ [Archived]
Saturday, March 25, 2023
Saturday, March 11, 2023
ESG Footprint: รอยเท้าความยั่งยืนในสายอุปทาน
หลายท่านคงได้ยินคำว่า คาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร ซึ่งเป็นการประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร โดยคำนวณในหน่วยคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพื่อที่กิจการจะได้ทราบแหล่งและสถานะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีนัยสําคัญและหาแนวทางในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา อันเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก
ที่จริงยังมีการใช้เรื่องฟุตพรินต์ที่เกี่ยวเนื่องกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอีกหลายคำ เช่น วอเตอร์ฟุตพรินต์ขององค์กร (การประเมินปริมาณน้ำที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร) พลาสติกฟุตพรินต์ขององค์กร (การประเมินปริมาณพลาสติกที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร)
ขณะที่ คณะกรรมาธิการยุโรป ได้มีการใช้เรื่องฟุตพรินต์ในการจัดการกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยใช้เป็นคำรวม เรียกว่า Environmental Footprint ในเอกสารข้อเสนอแนะ (EU) 2021/2279 การใช้วิธีรอยเท้าสิ่งแวดล้อมเพื่อวัดและสื่อสารสมรรถนะทางสิ่งแวดล้อมในวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์และองค์กร เพื่อนำไปสู่การลดผลกระทบใน 11 หมวด ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) การร่อยหรอของชั้นโอโซน (ozone depletion) ความเป็นพิษต่อมนุษย์ (human toxicity) อณูมลสาร/สารอนินทรีย์ที่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจ (particulate matter/respiratory inorganics) การแผ่รังสีชนิดก่อไอออน (ionising radiation) การก่อโอโซนแบบโฟโตเคมี (photochemical ozone formation) การเกิดกรด (acidification) สภาวะเกินปกติของสารประกอบ (eutrophication) ในดินและน้ำ ความเป็นพิษต่อนิเวศ (ecotoxicity) การใช้ที่ดิน (land use) และการร่อยหรอของทรัพยากร (resource depletion) น้ำ แร่ธาตุ และเชื้อเพลิงฟอสซิล
ทั้งนี้ การนำคำว่าฟุตพรินต์ มาใช้กับเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) จะมีขอบเขตที่กว้างกว่าการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากครอบคลุมในด้านสังคม และธรรมาภิบาลด้วย
โดยในแง่ของฟุตพรินต์ผลิตภัณฑ์ หลักสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน คือ การประเมินวัฎจักรชีวิต หรือ Life Cycle Assessment (LCA) ส่วนในแง่ของฟุตพรินต์องค์กร หลักสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน คือ การประเมินสายคุณค่า หรือ Value Chain Assessment (VCA) ซึ่งประกอบด้วยฝั่งต้นน้ำ (upstream) ที่เกี่ยวข้องกับผู้ส่งมอบ กับฝั่งปลายน้ำ (downstream) ที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค
ในปัจจุบัน องค์กรธุรกิจได้ให้ความสำคัญกับการประเมินผู้ส่งมอบทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสังคม ซึ่งเป็นการขยายบทบาทด้าน ESG ของกิจการ จากที่ทำได้สมบูรณ์แล้วภายในองค์กร ไปสู่คู่ค้าในสายอุปทานเพื่อสนับสนุนให้คู่ค้ามีการดำเนินงานโดยคำนึงถึง ESG ในทิศทางที่กิจการคาดหวัง
ในบรรดาบริษัทที่มีการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานความยั่งยืนตามมาตรฐานการรายงานสากล GRI (Global Reporting Initiative) ได้มีการนำรายการข้อมูล GRI 308 (Supplier Environmental Assessment) และ GRI 414 (Supplier Social Assessment) มาใช้ในการแสดง ESG Footprint ของกิจการในสายอุปทาน โดยเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับทราบ ผ่านรายงานความยั่งยืนของกิจการ
โดยในรายการข้อมูล GRI 308 ประกอบด้วย Disclosure 308-1 จำนวนผู้ส่งมอบรายใหม่ที่ถูกคัดกรองโดยใช้เกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม แสดงตัวเลขเป็นร้อยละของผู้ส่งมอบทั้งหมด และ Disclosure 308-2 ผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางลบในสายอุปทานและสิ่งที่ได้ดำเนินการ โดยแสดงข้อมูลใน 5 รายการย่อย ได้แก่ จำนวนผู้ส่งมอบที่ได้รับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวนผู้ส่งมอบที่ได้รับการระบุว่ามีและคาดว่าจะมีผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางลบอย่างมีนัยสำคัญ ผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางลบที่มีนัยสำคัญที่เกิดขึ้นและคาดว่าจะเกิดขึ้นในสายอุปทาน ร้อยละของผู้ส่งมอบที่ได้รับการระบุว่ามีและคาดว่าจะมีผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางลบอย่างมีนัยสำคัญซึ่งตกลงที่จะปรับปรุงในผลการประเมิน และร้อยละของผู้ส่งมอบที่ได้รับการระบุว่ามีและคาดว่าจะมีผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางลบอย่างมีนัยสำคัญซึ่งถูกบอกเลิกความสัมพันธ์ในผลการประเมินพร้อมระบุเหตุผล
และในรายการข้อมูล GRI 414 ประกอบด้วย Disclosure 414-1 จำนวนผู้ส่งมอบรายใหม่ที่ถูกคัดกรองโดยใช้เกณฑ์ด้านสังคม แสดงตัวเลขเป็นร้อยละของผู้ส่งมอบทั้งหมด และ Disclosure 414-2 ผลกระทบสังคมทางลบในสายอุปทานและสิ่งที่ได้ดำเนินการ โดยแสดงข้อมูลใน 5 รายการย่อย ได้แก่ จำนวนผู้ส่งมอบที่ได้รับการประเมินผลกระทบสังคม จำนวนผู้ส่งมอบที่ได้รับการระบุว่ามีและคาดว่าจะมีผลกระทบสังคมทางลบอย่างมีนัยสำคัญ ผลกระทบสังคมทางลบที่มีนัยสำคัญที่เกิดขึ้นและคาดว่าจะเกิดขึ้นในสายอุปทาน ร้อยละของผู้ส่งมอบที่ได้รับการระบุว่ามีและคาดว่าจะมีผลกระทบสังคมทางลบอย่างมีนัยสำคัญซึ่งตกลงที่จะปรับปรุงในผลการประเมิน และร้อยละของผู้ส่งมอบที่ได้รับการระบุว่ามีและคาดว่าจะมีผลกระทบสังคมทางลบอย่างมีนัยสำคัญซึ่งถูกบอกเลิกความสัมพันธ์ในผลการประเมินพร้อมระบุเหตุผล
นอกจากนี้ การแสดง ESG Footprint ของกิจการในสายอุปทาน ยังสามารถใช้เกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ พลังงาน (GRI 302) น้ำและน้ำทิ้ง (GRI 303) มลอากาศ (GRI 305) และเกณฑ์ด้านสังคม อาทิ การจ้างงาน (GRI 401) อาชีวอนามัยและความปลอดภัย (GRI 403) แรงงานเด็ก (GRI 408) แรงงานเกณฑ์และแรงงานบังคับ (GRI 409) มาใช้กับคู่ค้า เพื่อรับทราบสถานะความยั่งยืนในสายอุปทานตามประเด็น ESG ที่องค์กรได้ดำเนินการและที่ควรดำเนินการ (gap) ได้ด้วย
จากการสำรวจข้อมูลความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนไทยและกิจการอื่น ๆ จำนวน 854 ราย ในปี 2565 โดยสถาบันไทยพัฒน์ พบว่า มีกิจการที่เปิดเผยข้อมูลการประเมินผู้ส่งมอบด้านสิ่งแวดล้อมอยู่ที่ร้อยละ 9.37 ของกิจการที่ได้สำรวจทั้งหมด และมีกิจการที่เปิดเผยข้อมูลการประเมินผู้ส่งมอบด้านสังคมอยู่ที่ร้อยละ 6.09 ของกิจการที่ได้สำรวจทั้งหมด
แสดงให้เห็นว่า กิจการที่ได้ทำการสำรวจซึ่งประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียน 763 แห่ง กองทุนและองค์กรอื่นๆ อีก 91 ราย รวมทั้งสิ้น 854 ราย ยังมิได้ให้ความสำคัญกับการประเมินผู้ส่งมอบในประเด็นด้าน ESG อย่างทั่วถึง และเป็นโอกาสที่กิจการส่วนใหญ่สามารถขับเคลื่อนเพื่อยกระดับเรื่อง ESG ให้กับคู่ค้าในสายอุปทานได้อีกมาก
จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ [Archived]
ที่จริงยังมีการใช้เรื่องฟุตพรินต์ที่เกี่ยวเนื่องกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอีกหลายคำ เช่น วอเตอร์ฟุตพรินต์ขององค์กร (การประเมินปริมาณน้ำที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร) พลาสติกฟุตพรินต์ขององค์กร (การประเมินปริมาณพลาสติกที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร)
ขณะที่ คณะกรรมาธิการยุโรป ได้มีการใช้เรื่องฟุตพรินต์ในการจัดการกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยใช้เป็นคำรวม เรียกว่า Environmental Footprint ในเอกสารข้อเสนอแนะ (EU) 2021/2279 การใช้วิธีรอยเท้าสิ่งแวดล้อมเพื่อวัดและสื่อสารสมรรถนะทางสิ่งแวดล้อมในวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์และองค์กร เพื่อนำไปสู่การลดผลกระทบใน 11 หมวด ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) การร่อยหรอของชั้นโอโซน (ozone depletion) ความเป็นพิษต่อมนุษย์ (human toxicity) อณูมลสาร/สารอนินทรีย์ที่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจ (particulate matter/respiratory inorganics) การแผ่รังสีชนิดก่อไอออน (ionising radiation) การก่อโอโซนแบบโฟโตเคมี (photochemical ozone formation) การเกิดกรด (acidification) สภาวะเกินปกติของสารประกอบ (eutrophication) ในดินและน้ำ ความเป็นพิษต่อนิเวศ (ecotoxicity) การใช้ที่ดิน (land use) และการร่อยหรอของทรัพยากร (resource depletion) น้ำ แร่ธาตุ และเชื้อเพลิงฟอสซิล
ทั้งนี้ การนำคำว่าฟุตพรินต์ มาใช้กับเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) จะมีขอบเขตที่กว้างกว่าการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากครอบคลุมในด้านสังคม และธรรมาภิบาลด้วย
โดยในแง่ของฟุตพรินต์ผลิตภัณฑ์ หลักสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน คือ การประเมินวัฎจักรชีวิต หรือ Life Cycle Assessment (LCA) ส่วนในแง่ของฟุตพรินต์องค์กร หลักสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน คือ การประเมินสายคุณค่า หรือ Value Chain Assessment (VCA) ซึ่งประกอบด้วยฝั่งต้นน้ำ (upstream) ที่เกี่ยวข้องกับผู้ส่งมอบ กับฝั่งปลายน้ำ (downstream) ที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค
ในปัจจุบัน องค์กรธุรกิจได้ให้ความสำคัญกับการประเมินผู้ส่งมอบทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสังคม ซึ่งเป็นการขยายบทบาทด้าน ESG ของกิจการ จากที่ทำได้สมบูรณ์แล้วภายในองค์กร ไปสู่คู่ค้าในสายอุปทานเพื่อสนับสนุนให้คู่ค้ามีการดำเนินงานโดยคำนึงถึง ESG ในทิศทางที่กิจการคาดหวัง
ในบรรดาบริษัทที่มีการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานความยั่งยืนตามมาตรฐานการรายงานสากล GRI (Global Reporting Initiative) ได้มีการนำรายการข้อมูล GRI 308 (Supplier Environmental Assessment) และ GRI 414 (Supplier Social Assessment) มาใช้ในการแสดง ESG Footprint ของกิจการในสายอุปทาน โดยเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับทราบ ผ่านรายงานความยั่งยืนของกิจการ
โดยในรายการข้อมูล GRI 308 ประกอบด้วย Disclosure 308-1 จำนวนผู้ส่งมอบรายใหม่ที่ถูกคัดกรองโดยใช้เกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม แสดงตัวเลขเป็นร้อยละของผู้ส่งมอบทั้งหมด และ Disclosure 308-2 ผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางลบในสายอุปทานและสิ่งที่ได้ดำเนินการ โดยแสดงข้อมูลใน 5 รายการย่อย ได้แก่ จำนวนผู้ส่งมอบที่ได้รับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวนผู้ส่งมอบที่ได้รับการระบุว่ามีและคาดว่าจะมีผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางลบอย่างมีนัยสำคัญ ผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางลบที่มีนัยสำคัญที่เกิดขึ้นและคาดว่าจะเกิดขึ้นในสายอุปทาน ร้อยละของผู้ส่งมอบที่ได้รับการระบุว่ามีและคาดว่าจะมีผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางลบอย่างมีนัยสำคัญซึ่งตกลงที่จะปรับปรุงในผลการประเมิน และร้อยละของผู้ส่งมอบที่ได้รับการระบุว่ามีและคาดว่าจะมีผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางลบอย่างมีนัยสำคัญซึ่งถูกบอกเลิกความสัมพันธ์ในผลการประเมินพร้อมระบุเหตุผล
และในรายการข้อมูล GRI 414 ประกอบด้วย Disclosure 414-1 จำนวนผู้ส่งมอบรายใหม่ที่ถูกคัดกรองโดยใช้เกณฑ์ด้านสังคม แสดงตัวเลขเป็นร้อยละของผู้ส่งมอบทั้งหมด และ Disclosure 414-2 ผลกระทบสังคมทางลบในสายอุปทานและสิ่งที่ได้ดำเนินการ โดยแสดงข้อมูลใน 5 รายการย่อย ได้แก่ จำนวนผู้ส่งมอบที่ได้รับการประเมินผลกระทบสังคม จำนวนผู้ส่งมอบที่ได้รับการระบุว่ามีและคาดว่าจะมีผลกระทบสังคมทางลบอย่างมีนัยสำคัญ ผลกระทบสังคมทางลบที่มีนัยสำคัญที่เกิดขึ้นและคาดว่าจะเกิดขึ้นในสายอุปทาน ร้อยละของผู้ส่งมอบที่ได้รับการระบุว่ามีและคาดว่าจะมีผลกระทบสังคมทางลบอย่างมีนัยสำคัญซึ่งตกลงที่จะปรับปรุงในผลการประเมิน และร้อยละของผู้ส่งมอบที่ได้รับการระบุว่ามีและคาดว่าจะมีผลกระทบสังคมทางลบอย่างมีนัยสำคัญซึ่งถูกบอกเลิกความสัมพันธ์ในผลการประเมินพร้อมระบุเหตุผล
นอกจากนี้ การแสดง ESG Footprint ของกิจการในสายอุปทาน ยังสามารถใช้เกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ พลังงาน (GRI 302) น้ำและน้ำทิ้ง (GRI 303) มลอากาศ (GRI 305) และเกณฑ์ด้านสังคม อาทิ การจ้างงาน (GRI 401) อาชีวอนามัยและความปลอดภัย (GRI 403) แรงงานเด็ก (GRI 408) แรงงานเกณฑ์และแรงงานบังคับ (GRI 409) มาใช้กับคู่ค้า เพื่อรับทราบสถานะความยั่งยืนในสายอุปทานตามประเด็น ESG ที่องค์กรได้ดำเนินการและที่ควรดำเนินการ (gap) ได้ด้วย
จากการสำรวจข้อมูลความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนไทยและกิจการอื่น ๆ จำนวน 854 ราย ในปี 2565 โดยสถาบันไทยพัฒน์ พบว่า มีกิจการที่เปิดเผยข้อมูลการประเมินผู้ส่งมอบด้านสิ่งแวดล้อมอยู่ที่ร้อยละ 9.37 ของกิจการที่ได้สำรวจทั้งหมด และมีกิจการที่เปิดเผยข้อมูลการประเมินผู้ส่งมอบด้านสังคมอยู่ที่ร้อยละ 6.09 ของกิจการที่ได้สำรวจทั้งหมด
แสดงให้เห็นว่า กิจการที่ได้ทำการสำรวจซึ่งประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียน 763 แห่ง กองทุนและองค์กรอื่นๆ อีก 91 ราย รวมทั้งสิ้น 854 ราย ยังมิได้ให้ความสำคัญกับการประเมินผู้ส่งมอบในประเด็นด้าน ESG อย่างทั่วถึง และเป็นโอกาสที่กิจการส่วนใหญ่สามารถขับเคลื่อนเพื่อยกระดับเรื่อง ESG ให้กับคู่ค้าในสายอุปทานได้อีกมาก
จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ [Archived]
Thursday, March 02, 2023
Subscribe to:
Posts (Atom)