Saturday, November 01, 2025

การเตรียมความพร้อมข้อมูลสำหรับการประเมิน ESG

สถาบันไทยพัฒน์ ได้มีการจัดงาน Thaipat Runners-up 2025 Online Forum เป็นครั้งที่ 7 ในรูปแบบ Webinar ภายใต้ชื่อหัวข้อ "ESG Data Readiness Check" ให้แก่องค์กรที่ได้รับเชิญ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนของกิจการ และต้องการที่จะยกระดับการจัดทำข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) อย่างเป็นระบบ

ด้วยเหตุที่ ปัจจุบัน การเปิดเผยข้อมูล ESG ได้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับบริษัทจดทะเบียนในการรายงานผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของกิจการต่อสาธารณะ ซึ่งข้อมูล ESG ที่บริษัทเปิดเผยดังกล่าว จะเป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้น หากได้รับการรับรองจากผู้ประเมินอิสระที่เป็นหน่วยงานภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือ

บริษัทจดทะเบียนซึ่งประสงค์จะแสดงสถานะของกิจการวิถียั่งยืนด้วยประเด็นด้าน ESG ต่างต้องการได้รับผลคะแนนประเมินที่ดีจากผู้ประเมินอิสระภายนอก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งกับผู้ลงทุนต่อการใช้ข้อมูล ESG ประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุน รวมทั้งกับลูกค้า คู่ค้า สถาบันการเงิน หน่วยงานรัฐ ชุมชน ฯ ที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในวงกว้าง

การเตรียมความพร้อมข้อมูล ESG เพื่อการเผยแพร่เป็นข้อมูลสาธารณะที่หน่วยงานผู้ประเมินจะใช้ในการวิเคราะห์ได้อย่างครบถ้วนเพียงพอ จึงมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผลประเมินสะท้อนสิ่งที่องค์กรดำเนินการตามความเป็นจริง ไม่เสียโอกาสในลักษณะที่บริษัทมีการดำเนินการอยู่จริง แต่ขาดการจัดทำข้อมูลเผยแพร่ หรือมีการเผยแพร่เพียงบางส่วน เป็นเหตุให้หน่วยงานผู้ประเมินไม่สามารถประเมินเพื่อให้คะแนนได้เต็มที่

โดยการจัดงานฟอรัมในครั้งนี้ ประกอบด้วย เนื้อหา 2 ส่วน ได้แก่ การตรวจสอบความพร้อมข้อมูล ESG ของบริษัท ตามมาตรฐานการรายงานที่เป็นสากล (ESG Data Readiness Check: From Rendering to Aligning) และตัวอย่างการตรวจสอบความพร้อมข้อมูล ESG ที่เชื่อมโยงกับเกณฑ์ชี้วัดของผู้ประเมินและจัดระดับ ESG (Example of ESG Data Readiness Score: Mapping to ESG Raters’ Criteria)


เนื้อหาในส่วนแรก เป็นการให้ความรู้แก่องค์กร ต่อการให้น้ำหนักข้อมูลที่สำคัญ (Rendering) โดยใช้การวิเคราะห์สารัตถภาพ หรือความเป็นสาระสำคัญของสิ่งที่พิจารณา ในที่นี้ คือ ชุดข้อมูลความเสี่ยงและโอกาสเกี่ยวกับความยั่งยืนที่ส่งผลทางการเงินต่อกิจการ และชุดข้อมูลผลกระทบเกี่ยวกับความยั่งยืนที่เกิดจากการดำเนินงานของกิจการและส่งผลสู่ภายนอก

ในการเตรียมข้อมูล ESG องค์กรต้องสามารถแจกแจงให้ได้ว่า ประเด็นสาระสำคัญด้านความยั่งยืนของกิจการมีอะไรบ้าง และมีประเด็นใดที่มีนัยสำคัญ (เชิงการเงิน) ต่อผู้ใช้ข้อมูลที่เป็นกลุ่มผู้ลงทุน และประเด็นใดที่มีนัยสำคัญ (เชิงผลกระทบ) ต่อผู้ใช้ข้อมูลที่เป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในวงกว้าง ซึ่งชุดข้อมูลเหล่านี้จะถูกเรียกว่า สาระสำคัญสองนัย (Double Materiality) หรือใช้อีกชื่อหนึ่งว่า “ทวิสารัตถภาพ”

ความจำเป็นที่องค์กรต้องจัดเตรียมข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญสองนัยนี้ เนื่องจาก หน่วยงานผู้ประเมินและจัดระดับ ESG ชั้นนำในระดับสากล (เช่น S&P Global) ได้หันมาใช้แนวทางการประเมินด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบทวิสารัตถภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ถัดมา องค์กรจะต้องมีความสามารถในการติดป้ายระบุเนื้อหา (Tagging) ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งแต่เดิมเน้นไปที่ให้คนอ่าน (Human-readable) เพิ่มเป็นการอำนวยความสะดวกให้สามารถประมวลผลข้อมูลหรืออ่านด้วยเครื่อง (Machine-readable) เพื่อรองรับการเผยแพร่ในรูปแบบของการรายงานดิจิทัล (Digital Reporting) ที่มิใช่การแปลงเป็นแฟ้มหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น ไฟล์ pdf) ซึ่งเพียงรองรับให้คนอ่าน แต่ต้องเป็นการใช้ภาษาหรือการลงรหัสคอมพิวเตอร์ (เช่น XBRL) โดยอ้างอิงการแบ่งหมวดหมู่ของประเด็นความยั่งยืนตามมาตรฐานการรายงานที่เป็นสากล (เช่น GRI และ IFRS Taxonomy) ในการติดป้ายระบุเนื้อหาที่เผยแพร่

ความจำเป็นที่องค์กรต้องเตรียมพร้อมจัดทำเป็นรายงานดิจิทัลนี้ เนื่องจาก พัฒนาการที่จะมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการประมวลข้อมูล ESG ของกิจการกำลังเกิดขึ้น และจะเข้ามาแทนที่การจัดทำรายงานความยั่งยืนด้วยมือหรือใช้คนทำ องค์กรจึงต้องเตรียมพร้อมข้อมูล ESG ที่จะเผยแพร่ ให้สามารถประมวลผลข้อมูลหรืออ่านด้วยเครื่องได้

หลังจากนั้น องค์กรควรพิจารณาการวางแนวเนื้อหาให้สอดคล้องกับเกณฑ์ประเมิน (Aligning) ของหน่วยงานผู้ประเมินและจัดระดับ ESG ที่องค์กรเลือกเข้าร่วมรับการประเมิน เพราะผู้ประเมินในแต่ละสำนักจะมีชุดเกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดที่แตกต่างกัน แม้ว่าหลักการประเมินที่แต่ละสำนักใช้จะมีความคล้ายคลึงกันก็ตาม

ความจำเป็นที่องค์กรต้องจัดวางแนวเนื้อหาให้สอดคล้องกับเกณฑ์ประเมิน ก็เพื่อให้ได้ผลประเมินที่ดี มีระดับคะแนนที่สามารถนำไปสื่อสารและประชาสัมพันธ์ได้อย่างภาคภูมิใจ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน เข้าถึงตลาดใหม่ ๆ รวมทั้งการยอมรับจากผู้มีส่วนได้เสียของกิจการ จากการได้รับการจัดระดับจากผู้ประเมินภายนอกซึ่งมีความน่าเชื่อถือ

อย่างไรก็ดี จุดยืนที่องค์กรพึงมี คือ ต้องตระหนักว่า การที่องค์กรขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนและจัดทำข้อมูล ESG เพื่อเผยแพร่ มิได้เป็นไปเพียงเพื่อให้ได้คะแนนดีจากผู้ประเมิน แต่ควรทำเพื่อให้องค์กรเติบโตและยั่งยืน เกิดประโยชน์แก่ผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียของกิจการโดยรวม องค์กรจึงต้องยึดประเด็นด้านความยั่งยืนที่กิจการลงความเห็นแล้วว่าเป็นประเด็นสาระสำคัญ มาเป็นหลักในการดำเนินงาน มิใช่ยึดเกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดของผู้ประเมินภายนอกมาเป็นสรณะในการดำเนินการ

ทั้งนี้ เพราะการจัดทำเกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดของผู้ประเมิน โดยธรรมชาติ ต้องถูกออกแบบให้ครอบคลุมในทุกประเด็นความยั่งยืนที่ผู้ประเมินจะต้องกำหนดไว้ในระเบียบวิธี (Methodology) ที่ใช้ประเมิน ซึ่งในความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกประเด็นความยั่งยืนที่ผู้ประเมินใช้ จะเป็นประเด็นสาระสำคัญในบริบทของกิจการ (แม้ผู้ประเมินจะมีชุดตัวชี้วัดที่ใช้เฉพาะรายสาขาก็ตาม)

สำหรับองค์กรที่เริ่มขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนและเพิ่งมีการจัดทำข้อมูล ESG เผยแพร่ อาจจะได้รับประโยชน์จากการเข้ารับการประเมิน ในกรณีที่องค์กรยังไม่สามารถระบุประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญของกิจการได้อย่างแน่ชัด เกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดของผู้ประเมินจะช่วยชี้แนะแนวทางในการระบุประเด็นความยั่งยืนที่เกี่ยวข้อง และใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในการศึกษาเรียนรู้เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ตามบริบทที่เหมาะสมแก่องค์กรเป็นลำดับ

เนื้อหาในส่วนที่สอง เป็นการนำเสนอตัวอย่างการตรวจสอบความพร้อมข้อมูล ESG ที่เชื่อมโยงกับเกณฑ์ชี้วัดของผู้ประเมินและจัดระดับ ESG จำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย 1) ESG Rating ในกำกับของสถาบันไทยพัฒน์ 2) FTSE Russell ของตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (LSEG) และ 3) S&P Global ผู้จัดทำดัชนีดาวโจนส์ (DJI)

กล่าวโดยสรุป ประโยชน์ที่ได้รับสำหรับองค์กรที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ คือ การล่วงรู้สถานะด้านการเปิดเผยข้อมูล ESG ในปัจจุบันของกิจการ ตามมาตรฐานการรายงานที่เป็นสากล และแนวทางการเชื่อมโยงประเด็นความยั่งยืนของกิจการกับเกณฑ์ชี้วัดของหน่วยงานผู้ประเมินและจัดระดับ ESG ที่น่าเชื่อถือ โดยสามารถต่อยอดไปสู่การปิดช่องว่าง (Gap) ในรายงานความยั่งยืนที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะได้อย่างตรงจุดและสอดคล้องกับบริบทของกิจการ


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, October 18, 2025

วิธีการสร้างผลตอบแทนจากการปรับตัวทางภูมิอากาศ

ในครึ่งแรกของปี ค.ศ. 2025 โลกได้เผชิญกับความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากภัยทางสภาพภูมิอากาศไปแล้วกว่า 1.62 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขความเสียหายนี้ ตอกย้ำถึงผลกระทบอันรุนแรง ทั้งจากความเสียหายทางเศรษฐกิจในพื้นที่เสี่ยงสูง การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเอง และข้อจำกัดของการลงทุนเพื่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวในอดีต

แม้ว่าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับภัยทางกายภาพที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมิใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตลาดที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นจากทั้งลูกค้าองค์กรและผู้บริโภคในการสร้างภาวะพร้อมผัน รวมทั้งการจัดการความเสี่ยงทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสัญญาณจากตลาดเหล่านี้มีแนวโน้มจะทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ตราบที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้น

การเติบโตของการสร้างภาวะพร้อมผันทางภูมิอากาศ (Climate Resilience) ถูกนิยามว่าเป็นกระบวนการปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นจริงหรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งครอบคลุมการดำเนินการที่มนุษย์พึงทำเพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบเชิงลบจากภัยทางสภาพภูมิอากาศ อาทิ การสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การปกป้องทรัพย์สิน การปรับปรุงการดำเนินงานของบริษัท และการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการบริโภค ฯลฯ

ความต้องการเทคโนโลยีที่สนับสนุนการสร้างภาวะพร้อมผันทางภูมิอากาศ สามารถสร้างโอกาสการลงทุนในภาคเอกชนที่มีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งไม่เพียงแต่ถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศ แต่ยังรวมถึงปัจจัยด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงสังคม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ความกังวลด้านความเสี่ยงและการปรับตัวในวงกว้าง ความเต็มใจจ่ายของลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ เพื่อการปรับตัว ชุดปัจจัยผลักดันดังกล่าว ได้สร้างโอกาสที่น่าดึงดูดต่อนักลงทุนหลายประเภท และการระดมทุนของภาคเอกชนในเทคโนโลยีเหล่านี้ จะช่วยเสริมสร้างภาวะพร้อมผันทางภูมิอากาศโดยรวมของโลก

แม้จะมีโอกาสมหาศาล แต่การระดมทุนของภาคเอกชนในเรื่องดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยที่ผ่านมา องค์กรที่ได้รับทุนจากภาครัฐและสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาเป็นผู้ลงทุนกว่า 85% ของเงินทุนที่จัดสรรสำหรับการปรับตัวทางภูมิอากาศ มีเพียง 11% ที่เป็นเงินทุนจากภาคเอกชน ซึ่งประกอบด้วย ธนาคาร (5.7%) กองทุนส่วนบุคคล (3.6%) และผู้ลงทุนภาคองค์กร (1.5%) ตามลำดับ

โดยจากตัวเลขในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 มีกองทุนไม่ถึง 120 แห่ง ที่มีการระดมทุนเพื่อลงทุนในการปรับตัวทางภูมิอากาศโดยเฉพาะ รวมกันไม่ถึง 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ เงินทุนกว่า 6.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ถูกระดมสำหรับการลดคาร์บอนและการลงทุนด้านความยั่งยืนในวงกว้าง จากกองทุนส่วนบุคคลกว่า 1,300 กองทุน

ในเอกสารที่เผยแพร่โดย McKinsey ชื่อว่า Climate resilience technology: An inflection point for new investment เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2568 ได้เสนอวิธีการปลดล็อกเงินทุนภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนการขยายขนาดของตลาดทุนสำหรับการปรับตัวทางภูมิอากาศ ใน 3 ประการสำคัญ ประกอบด้วย

1. การสร้างผลตอบแทนจากการปรับตัวทางภูมิอากาศ (Return on Resilience - RoR)
ผู้ลงทุนต้องสามารถกำหนดตัวเลขมูลค่าความเสี่ยงจากภัยทางสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ชุดฉากทัศน์สำหรับทรัพย์สินหรือพอร์ตการลงทุน (เช่น การประเมินความเสียหายของทรัพย์สินจากการหยุดชะงักทางธุรกิจตามระดับของวาตภัยหรืออุทกภัยที่แตกต่างกัน) จากนั้น ทำการระบุและจัดลำดับความสำคัญของมาตรการปรับตัวที่มีประสิทธิผลสูงสุดตามหลักเทคนิคและความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ (เช่น การสร้างแนวกั้นน้ำท่วม การยกอุปกรณ์หรือสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญขึ้นที่สูง) ด้วยความสามารถในการระบุตัวเลขมูลค่าเสี่ยงภัยที่ลดได้ (ผลตอบแทน) และตัวเลขค่าใช้จ่ายในมาตรการปรับตัว (การลงทุน) ที่แม่นยำ จะสามารถจำลองผลตอบแทนสุทธิจากการปรับตัว (Net RoR) ตามการประเมินภายใต้สมมุติฐานเงื่อนเวลาและระดับความรุนแรงของภัยทางสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน

ทั้งนี้ การระบุตัวเลขมูลค่าพึงได้และการประมาณค่าผลตอบแทนทางการเงินจากการนำเทคโนโลยีการปรับตัวทางภูมิอากาศไปใช้งาน จะเป็นรากฐานสำหรับการสร้างกรณีศึกษาทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรม และเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่ชัดเจนสำหรับเทคโนโลยีการปรับตัวทางภูมิอากาศ

2. การสร้างสิ่งจูงใจเชิงโครงสร้างสำหรับการลงทุนเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศ (Structural Incentives)
การจัดหาเงินทุนเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศ จำเป็นต้องก้าวข้ามจากการบรรเทาภัยพิบัติเชิงรับ สู่กลไกเชิงรุกที่ให้คุณแก่การลดความเสี่ยงก่อนที่จะเกิดความสูญเสียขึ้น เช่น นวัตกรรมด้านประกันภัยที่มีการพัฒนารูปแบบกรมธรรม์พ่วงสิ่งจูงใจทางตรงเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยง นอกเหนือจากการชดเชยหลังเกิดความเสียหาย ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์สองระดับ (Dual Payoff) คือ ผู้ถือกรมธรรม์ลดทั้งความเสี่ยงต่อความสูญเสียและเบี้ยประกันในอนาคต ในขณะที่บริษัทประกันลดค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน หรือนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เชื่อมโยงกับการปรับตัวทางภูมิอากาศ โดยใช้การระดมทุนเพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศ และมีการจ่ายผลตอบแทนตามผลลัพธ์การดำเนินงานการปรับตัวทางภูมิอากาศ

การเงินเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศ กำลังก้าวขึ้นมาเป็นสินทรัพย์ประเภทใหม่ ที่มีศักยภาพในการขยายขนาดอย่างมาก เมื่อสิ่งจูงใจเหล่านี้ ถูกรวมเข้ากับการทำธุรกรรมทางการเงิน ผู้ลงทุนจะสามารถก้าวผ่านการมุ่งเน้นที่การวัดความเสี่ยงและการให้เงินทุนแบบตั้งรับเพื่อฟื้นฟูภัยพิบัติ ไปสู่การให้เงินทุนเชิงรุกสำหรับกิจกรรมการปรับตัวทางภูมิอากาศที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดแก่สินทรัพย์ พอร์ตการลงทุน หรือแก่ชุมชนโดยรวม

3. การสร้างสมรรถภาพและแหล่งรวมเงินทุนเฉพาะกิจทางภูมิอากาศ (Capital Pools)
การปลดล็อกศักยภาพทางการเงินเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศอย่างเต็มที่ ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงเครื่องมือเชิงนวัตกรรม แต่ยังรวมถึงสมรรถภาพและแหล่งรวมเงินทุนเฉพาะทางที่สามารถขยายผลในวงกว้าง โดยผู้ลงทุนต้องพัฒนาความสามารถใหม่ เช่น การผนวกแบบจำลองความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศและการคาดการณ์ผลตอบแทนจากการปรับตัวเข้ากับกระบวนการประเมินความเสี่ยงก่อนการลงทุน ภายใต้บริบทของความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมูลค่าที่คาดหวังจากความสูญเสียที่หลีกเลี่ยงได้ ซึ่งถือเป็นโอกาสในการสร้างแหล่งรวมเงินทุนที่ตอบโจทย์ความมุ่งประสงค์ด้านการลงทุนเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศ ตามสมรรถภาพ ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และในกรอบเวลาที่เหมาะสม

นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันระหว่างสถาบันการเงิน รัฐบาล และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเอาชนะอุปสรรคในวงกว้าง เช่น ช่องว่างข้อมูลในตัววัดผลการปรับตัวทางภูมิอากาศ การถกเถียงถึงความแม่นยำในฉากทัศน์ของภัยทางสภาพภูมิอากาศ การขาดกรอบมาตรฐานในการประเมินความสูญเสียที่หลีกเลี่ยงได้ และความซับซ้อนในการจัดแถวผู้รับผลประโยชน์หลายฝ่ายเพื่อแบ่งสันปันส่วนมูลค่าที่ต้องชดใช้ อันเป็นความท้าทายที่คุ้มค่าความพยายามในการหาทางออกเพื่อนำมาซึ่งมูลค่าพึงได้แก่สังคม ระบบเศรษฐกิจ และแก่ผืนโลก

ด้วยการผนวกผลตอบแทนจากการปรับตัวทางภูมิอากาศเข้ากับกระบวนการลงทุน และการสร้างสมรรถภาพใหม่ที่ตลาดต้องการ จะช่วยให้ตลาดทุนสามารถเคลื่อนจากการนำร่องไปสู่การสร้างสินทรัพย์ประเภทใหม่ที่ขยายขนาดได้ ซึ่งมิใช่เป็นเพียงการสร้างแหล่งรวมคุณค่าใหม่สำหรับผู้ลงทุน แต่ยังช่วยฝังตรึงภาวะพร้อมผันทางภูมิอากาศให้กลายเป็นแกนกลางการสร้างคุณค่าระยะยาวสำหรับกิจการ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน และภาครัฐ

แม้จะมีคำถามว่าโลกจะสามารถปรับตัวเข้ากับความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศที่กำลังจะมาถึงได้อย่างเต็มที่หรือไม่ แต่โอกาสสำหรับผู้ลงทุนที่ใส่ใจการปรับตัวทางภูมิอากาศก็ปรากฏขึ้นแล้วในวันนี้ ตลาดจะยังขยายตัวต่อไปตราบที่ขนาดและความหลีกเลี่ยงไม่ได้ของความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศยิ่งชัดเจนและเร่งด่วนมากขึ้น อันนำมาซึ่งโอกาสสำหรับผู้บุกเบิกในการส่งมอบผลตอบแทนพร้อมกับการช่วยจัดการกับความเปราะบางของโลกต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มขึ้น


จากบทความ 'ESG Sauce' ใน The Story Thailand External Link [Archived]

Saturday, October 04, 2025

ธุรกิจสร้างรายรับจาก 'ความยั่งยืน' ด้วยกลยุทธ์ด้านภูมิอากาศ

ท่ามกลางกระแสความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาคธุรกิจทั่วโลกมิได้มองการดำเนินการด้านภูมิอากาศว่าเป็นเพียงภาระหรือค่าใช้จ่ายอีกต่อไป แต่กำลังเปลี่ยนมุมมองให้เป็นโอกาสในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสร้างภาวะพร้อมผันในระยะยาว

ในรายงานผลสำรวจด้านภูมิอากาศประจำปีครั้งที่ 5 เรื่อง “How Companies Are Tackling the Climate Challenge and Creating Value” ซึ่งจัดทำโดย Boston Consulting Group (BCG) และ CO2 AI ชี้ให้เห็นว่า สี่ในห้าของบริษัทที่ทำการสำรวจ (82%) ได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการลดคาร์บอน และกว่า 70% ยังคงรักษาระดับหรือเพิ่มการลงทุนโดยรวมในด้านความยั่งยืน

แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกด้านผลตอบแทนและการลงทุน แต่ข้อมูลสำรวจที่ได้จากผู้บริหาร 1,924 คน จาก 16 อุตสาหกรรมหลักใน 26 ประเทศ ซึ่งมีส่วนร่วมในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกราว 40% ยังคงชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สำคัญในด้านความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูล โดยมีเพียง 7% ของกิจการขนาดใหญ่ที่เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างครอบคลุมในทุกขอบข่าย (Scope 1, 2 และ 3) ตัวเลขนี้ลดลงจาก 9% ในปี ค.ศ. 2024 และจาก 10% ในปี ค.ศ. 2023 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรายงานที่ถดถอยลง

ขณะที่มีกิจการเพียง 13% ที่มีการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ครอบคลุมทั้ง Scope 1, 2 และ 3 โดยมีจำนวนลดลงในอัตรา 3% เมื่อเทียบปีต่อปี จากจุดสูงสุดที่ 19% ในปี ค.ศ. 2023 และมีกิจการราว 12% ที่ทำการประเมินความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risks) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks) ได้อย่างครอบคลุม

แม้จะมีช่องว่างในการดำเนินการและการเปิดเผยข้อมูล แต่ภาคเอกชนยังคงประกาศแผนเพิ่มการลงทุนในด้านการบรรเทาผลกระทบ การปรับตัว และการสร้างภาวะพร้อมผัน โดยเพิ่มรายจ่ายการลงทุนอีก 16% ให้กับเรื่องความยั่งยืนในช่วงห้าปีข้างหน้า ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยที่ 69 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อกิจการ รายจ่ายการลงทุนนี้มิได้เป็นไปเพียงเพื่อการลดความเสี่ยง เช่น การลงทุนในสินทรัพย์ที่ทนต่อสภาพอากาศ แต่ยังเป็นการเปิดช่องทางสู่การเติบโตสีเขียว เช่น การสร้างสายผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนด้วย

โดย 82% ของกิจการที่ตอบแบบสำรวจ ระบุว่าได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการลดคาร์บอน และในจำนวนนี้ มีกิจการราว 6% ที่เปิดเผยสัดส่วนมูลค่าที่ได้รับว่ามีตัวเลขสูงกว่า 10% ของรายได้ต่อปี หรือเทียบเท่ากับมูลค่าเฉลี่ยสุทธิ (หลังหักค่าใช้จ่าย) ราว 221 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อกิจการ ซึ่งมีที่มาจากสองแหล่งหลัก คือ การเติบโตของรายได้จากผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน และการประหยัดต้นทุนการดำเนินงานจากการเพิ่มประสิทธิภาพและการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นอกจากนี้ กิจการในกลุ่มสำรวจที่ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านภูมิอากาศอย่างจริงจัง ได้คาดการณ์ถึงโอกาสทางการเงินจากการปรับตัวและการสร้างภาวะพร้อมผัน ส่วนกิจการที่มีการประเมินทั้งความเสี่ยงทางกายภาพ (เช่น พายุ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายและตลาด) ยังได้คาดการณ์ว่าจะมีความเสี่ยงทางการเงินที่ต้องเผชิญสูงถึง 790 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2030

อย่างไรก็ดี เกือบครึ่งหนึ่งของกิจการที่ถูกสำรวจระบุว่า ความพยายามในการปรับตัวต่อความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ มีส่วนสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้มากกว่า 10% ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า การเตรียมพร้อมล่วงหน้า มอบมูลค่าจริงที่วัดผลได้

เครื่องมือสำคัญของกิจการที่ช่วยแปลงเป้าประสงค์ทางภูมิอากาศสู่การลงมือทำ ได้แก่ การกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Pricing) โดยพบว่า หนึ่งในสามของกิจการได้นำกลไกการกำหนดราคาคาร์บอนภายในมาช่วยประเมินการตัดสินใจลงทุนและดำเนินงาน การจัดทำแผนการเปลี่ยนผ่านด้านภูมิอากาศ (Climate Transition Plans) โดยข้อมูลการสำรวจเผยว่า มีการนำแผนการเปลี่ยนผ่านมาใช้เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบปีต่อปี และ 61% ของแผนเหล่านี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารให้ดำเนินการ สิ่งนี้แสดงถึงการเคลื่อนตัวด้านภูมิอากาศในระดับเจตจำนงไปสู่การดำเนินกลยุทธ์ในระดับปฏิบัติการ

รายงานฉบับดังกล่าว ยังได้ระบุว่า กิจการที่ทำให้ความยั่งยืนเป็นแกนหลักของกลยุทธ์ สามารถสร้างผลประโยชน์ทางการเงินจากการดำเนินการด้านภูมิอากาศ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 10% ของรายได้ กิจการเหล่านี้มีปัจจัยขับเคลื่อนร่วมกัน 4 ประการ ประกอบด้วย การวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและความเสี่ยงอย่างครอบคลุม (โดยมีแนวโน้มที่จะสร้างรายรับอย่างมีนัยสำคัญเพิ่มขึ้น 1.4 เท่าเมื่อเทียบกับกิจการอื่น) การวัดปริมาณผลกระทบผ่านการกำหนดราคาคาร์บอนภายในและการสร้างแบบจำลองความเสี่ยง (มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมูลค่าได้ 1.6 เท่า) การนำแผนการเปลี่ยนผ่านและการปรับตัวมาใช้ (มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมูลค่าได้ 2.2 เท่า) และการใช้โซลูชันดิจิทัลขั้นสูงร่วมกันในหลายรูปแบบ (มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมูลค่าได้ 2.3 เท่า)

โดยสรุปแล้ว การดำเนินการด้านภูมิอากาศในโลกธุรกิจกำลังเคลื่อนไหวอย่างมีพลวัต แม้จะมีความท้าทายในการวัดผลและการเปิดเผยข้อมูล แต่ขนาดการลงทุนกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผลตอบแทนทางการเงินเริ่มปรากฏชัด และการใช้เครื่องมือขั้นสูงเกี่ยวกับภูมิอากาศกำลังช่วยให้กิจการสามารถเปลี่ยนวิสัยทัศน์ความยั่งยืนให้เป็นผลประกอบการที่ยั่งยืนในที่สุด


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, September 20, 2025

Carbon Ratings : ตัวช่วยการลงทุนที่ใส่ใจภูมิอากาศ

ปัจจุบัน ผู้ลงทุนประเภทสถาบัน นอกจากที่จะให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูลด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) ของกิจการในกระบวนการพิจารณาตัดสินใจลงทุนแล้ว ยังมีความต้องการใช้ข้อมูลด้านภูมิอากาศที่กิจการมีการดำเนินการ อาทิ ข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป้าหมายการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับกิจการ ฯลฯ สำหรับประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย

จากรายงานผลสำรวจ EY 2024 Institutional Investor Survey ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นปีที่ 11 ได้รวบรวมมุมมองของผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่า ผู้ลงทุนกว่า 55% เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์การลงทุนในช่วง 2 ปีข้างหน้า และ 62% ระบุว่า ได้เตรียมความพร้อมในการประเมินข้อมูลเกี่ยวกับภูมิอากาศของบริษัทที่เข้าลงทุนไว้แล้ว

ทั้งนี้ หน่วยงานผู้จัดทำมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการรายงานทางการเงิน (IFRS) ได้ออกมาตรฐานการรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ฉบับที่ 1 เรื่อง ข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืน (IFRS S1) และฉบับที่ 2 เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (IFRS S2) ซึ่งในหลายประเทศได้รับเอามาตรฐานทั้งสองฉบับดังกล่าวไปบังคับใช้แล้ว

ในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำลังอยู่ระหว่างจัดทำหลักการแนวทางการยกระดับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของไทย โดยกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยต้องเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตาม IFRS S1 และ S2 ด้วยวิธีการนำไปใช้เป็นลำดับและสัดส่วน พร้อมมาตรการผ่อนปรนช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน เพื่อให้สอดรับกับบริบทของประเทศไทย รวมถึงความพร้อมของภาคเอกชน โดยคาดว่าจะเริ่มจากบริษัทในกลุ่ม SET50 ก่อน

ในฝั่งของผู้ประกอบการ นอกจากที่บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดเผยข้อมูลด้านภูมิอากาศตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวในอนาคตอันใกล้แล้ว ในฝั่งของผู้ลงทุน ความต้องการข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืนต่อการประเมินความเสี่ยงและโอกาสของบริษัท รวมถึงข้อมูลการเปรียบเทียบสมรรถนะการดำเนินงานด้านภูมิอากาศที่เกี่ยวโยงกับตัวเลขทางการเงินของกลุ่มบริษัทเป้าหมายที่จะลงทุน จึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

เป็นเหตุให้การพัฒนาข้อมูลบัญชีคาร์บอนของภาคธุรกิจ เพื่อการจัดระดับบริษัทจดทะเบียนด้านความสามารถทางภูมิอากาศ สำหรับผู้ลงทุนใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน ควบคู่กับข้อมูลทางการเงิน ให้สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน และผลักดันการกำกับดูแลกิจการด้านภูมิอากาศไปพร้อมกัน ได้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับการลงทุนที่ใส่ใจภูมิอากาศ

จากการสำรวจของ UN PRI กับภาคีสมาชิกจำนวน 3,048 แห่ง ที่เปิดเผยในรายงาน Global responsible investment trends 2025: inside PRI reporting data พบว่า 4 ใน 5 ขององค์กรภาคีสมาชิกซึ่งมีทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (AUM) รวมกันราว 82.7 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ มีการระบุถึงความเสี่ยงและโอกาสเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเพื่อการตัดสินใจลงทุน

สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ และเป็นผู้ริเริ่มการจัดระดับ ESG Rating ขึ้นในประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 และดำเนินเรื่อยมาเป็นปีที่ 11 ในปัจจุบัน ได้จัดตั้งหน่วยงาน Carbon Ratings เพื่อขยายผลมาสู่การประเมินข้อมูลบัญชีคาร์บอนของภาคธุรกิจที่เชื่อมโยงกับตัวเลขทางการเงิน ในรูปแบบของ Carbon Equity Ratings (CER) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย

การจัดระดับคาร์บอน (Carbon Ratings) เป็นการประเมินขีดความสามารถทางภูมิอากาศระดับองค์กร โดยใช้ข้อมูลบัญชีก๊าซเรือนกระจกที่กิจการเปิดเผย (Corporate Emission Profile) ซึ่งครอบคลุมข้อมูลมลอากาศทางตรง (Direct Emissions) จากการดำเนินงานในขอบข่ายที่ 1 (Scope 1) และข้อมูลมลอากาศทางอ้อม (Indirect Emissions) จากการใช้พลังงานในขอบข่ายที่ 2 (Scope 2) และข้อมูลมลอากาศทางอ้อมอื่น ๆ ในขอบข่ายที่ 3 (Scope 3) จากกิจกรรมที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่คุณค่า

โดยตัวชี้วัดหลักที่ใช้ในการประเมิน เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่เกี่ยวเนื่องกับข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของกิจการ ประกอบด้วย

ตัวชี้วัดในมุมมอง ‘ดีต่อโลก’ ได้แก่ ปริมาณการปล่อยคาร์บอนต่อมูลค่ากิจการรวมเงินสด (Carbon Intensity) มีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อล้านบาท

ตัวชี้วัดในมุมมอง ‘ดีต่อกิจการ’ ได้แก่ อัตราส่วนกำไรต่อปริมาณการปล่อยคาร์บอน (Earnings per tCO2e) มีหน่วยเป็นบาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ตัวชี้วัดในมุมมอง ‘ดีต่อผู้ลงทุน’ ได้แก่ อัตราผลตอบแทนต่อปริมาณการปล่อยคาร์บอน (Return per tCO2e) มีหน่วยเป็นบาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
การประเมิน Carbon Ratings ถือเป็นมิติใหม่ของการเผยแพร่ข้อมูลประเมินด้านภูมิอากาศ ที่นอกจากจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาระดับการเปิดเผยข้อมูลบัญชีคาร์บอนของบริษัทจดทะเบียนแล้ว ยังจะเป็นการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิอากาศของบริษัทจดทะเบียนให้แก่ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนจากกลุ่มผู้ลงทุนที่ใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุน พร้อมกับการสร้างผลกระทบทางภูมิอากาศในเชิงบวก

ปัจจุบัน ได้มีการคัดกรองหลักทรัพย์จากจำนวนทั้งหมด 457 หลักทรัพย์จดทะเบียนซึ่งมีตัวเลขความเข้มข้นของคาร์บอน (Carbon Intensity) ที่อยู่ในเกณฑ์ต่ำ เพื่อใช้สร้างกลุ่มหลักทรัพย์อ้างอิง Low Emission Securities (LES) สำหรับให้ผู้ลงทุนได้ใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับประกอบการตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติมจากข้อมูลพื้นฐานและข้อมูลทางการเงินของกิจการ โดยจะเริ่มทยอยเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์ https://carbonratings.org เป็นลำดับต่อไป


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, September 06, 2025

อานิสงส์จากการเปิดเผยข้อมูล 'ความยั่งยืน'

ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เพียงแค่ประเด็นทางนิเวศวิทยาอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นความเสี่ยงทางการเงินที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการของภาคธุรกิจทั่วโลก

การเพิกเฉยต่อความเสี่ยงเหล่านี้ อาจทำให้เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับต้นทุนมหาศาล ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี ค.ศ. 2050 หรือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ทั่วโลก

ในรายงาน The Disclosure Dividend 2025 ของ CDP ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทกว่า 24,800 แห่ง ที่ครอบคลุมมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดถึงสองในสามของตลาดโลก ได้เผยให้เห็นว่า ภาคธุรกิจที่เริ่มตระหนักและลงมือจัดการกับความเสี่ยงเหล่านี้อย่างจริงจัง จะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่ง CDP เรียกสิ่งนี้ว่า อานิสงส์จากการเปิดเผยข้อมูล

ผลกระทบจากความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมได้เริ่มกัดกร่อนประสิทธิภาพทางการเงินของธุรกิจแล้วในหลายอุตสาหกรรม เช่น ในภาคการเกษตรของสหภาพยุโรปกำลังประสบปัญหาขาดทุนถึง 28,000 ล้านยูโรในแต่ละปีจากเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง หรือการที่ราคาโกโก้ในตลาดโลกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนในแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตโกโก้ราว 80% ของโลก หรือภัยแล้งในไต้หวันได้ทำให้โรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ต้องปิดทำการและจำเป็นต้องขนส่งน้ำเข้ามาด้วยรถบรรทุก นอกจากนี้ ค่าเบี้ยประกันภัยในสหรัฐอเมริกาก็เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 อันเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นอย่างมหาศาลในการรับมือกับภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ

สถานการณ์เหล่านี้ ล้วนเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ความเปราะบางด้านสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทั้งบริษัทและผู้บริโภคในทุกห่วงโซ่อุปทาน การสร้างภาวะพร้อมผัน (resilience) ให้กับธุรกิจจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน โดยข้อมูลจาก CDP พบว่ากว่า 90% ของบริษัทขนาดใหญ่ได้เริ่มมีกระบวนการในการระบุและประเมินความเสี่ยงและโอกาสด้านสิ่งแวดล้อมของตนแล้ว ซึ่งจากข้อมูลที่เปิดเผย พบว่า 67% ของบริษัทขนาดใหญ่และ SMEs ระบุว่าความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกระบุนั้นมีผลกระทบทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญ

โดยความเสี่ยงที่ถูกประเมินว่ามีผลกระทบสูงสุดคือ ความเสี่ยงด้านนโยบาย (28%) ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านการกำหนดราคาคาร์บอน มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงกฎหมายระดับประเทศ ตามมาด้วยความเสี่ยงทางกายภาพแบบฉับพลัน (19%) เช่น น้ำท่วม ไฟป่า หรือภัยแล้ง และความเสี่ยงทางกายภาพแบบเรื้อรัง (14%) เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น คุณภาพน้ำที่ลดลง หรือการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน

ทั้งนี้ การจัดการความเสี่ยงเหล่านี้อย่างเหมาะสม นอกจากจะเป็นการป้องกันความเสียหายแล้ว ยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจากต้นทุนในการแก้ไขปัญหามีมูลค่าต่ำกว่าผลกระทบทางการเงินในระยะสั้นที่อาจเกิดขึ้นได้ถึงหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

อานิสงส์จากการเปิดเผยข้อมูล มิได้หมายความเพียงการลดความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลตอบแทนที่บริษัทได้รับจากการลงทุนในการเปิดเผยข้อมูลและลงมือจัดการกับความเสี่ยง โดยผลตอบแทนที่ได้รับมีทั้งในรูปตัวเงินและที่มิใช่ตัวเงิน ซึ่งเกิดจากความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การสร้างภาวะพร้อมผันทางธุรกิจ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

การเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมช่วยให้บริษัทเข้าใจความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่และสามารถตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างโมเดลธุรกิจที่พร้อมผัน เหนือไปกว่านั้น คือ การช่วยให้บริษัทเติบโตในระยะยาว ช่วยให้บริษัทตัดสินใจได้ดีขึ้น เพิ่มการดึงดูดเม็ดเงินลงทุน เตรียมพร้อมรับมือกับกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป และยังช่วยระบุแหล่งรายได้ใหม่ ๆ โดยบริษัทที่ตระหนักและลงมือลดความเสี่ยงแล้ว จะสามารถเข้าถึงโอกาสทางการค้าใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก CDP ชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีโอกาสมากมายในเศรษฐกิจสีเขียว แต่บริษัทมากกว่าครึ่งยังคงมิได้นำเสนอสินค้าหรือบริการที่ปล่อยคาร์บอนต่ำหรือใช้น้ำน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้จะมีการตระหนักถึงปัญหา แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น บริษัทจำนวนมากยังคงขาดวิสัยทัศน์แบบองค์รวมในการจัดการกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่ทำให้พลาดโอกาสในการได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่

รายงานของ CDP ยังเน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉลี่ยแล้ว 75% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกิจการมาจากผู้ส่งมอบ และยังมีความต้องการน้ำสูงในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งมักมาจากประเทศที่เผชิญภาวะขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง ดังนั้น การมีส่วนร่วมกับผู้ส่งมอบ จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างภาวะพร้อมผันทางธุรกิจ การทำความเข้าใจการดำเนินงานของห่วงโซ่คุณค่า และสร้างจูงใจให้ผู้ส่งมอบปฏิบัติอย่างยั่งยืน จะช่วยลดผลกระทบจากแรงกระแทกต่าง ๆ ได้

แม้ว่าแรงจูงใจทางการเงินจะเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แต่มีเพียง 11% ของกิจการที่เสนอแรงจูงใจทางการเงินแก่ผู้ส่งมอบเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม การวิจัยของ CDP พบว่าผู้ส่งมอบที่ได้รับแรงจูงใจทางการเงินมีแนวโน้มที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าผู้ส่งมอบที่ได้รับเพียงการฝึกอบรมถึง 52%

ข้อมูลจากรายงานฉบับนี้ ตอกย้ำถึงแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยที่การเปิดเผยข้อมูลมิได้เป็นเพียงกิจกรรมเพื่อความโปร่งใสอีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็นความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ เหตุผลทางการเงินสำหรับการลงมือปฏิบัติเพื่อสิ่งแวดล้อมแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บริษัทซึ่งนำข้อมูลที่เปิดเผยไปใช้ในการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่จับต้องได้ โดยอานิสงส์ที่แท้จริงมิได้อยู่ที่การรับรู้เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกให้กลายเป็นผลกระทบที่แท้จริง

กิจการจำต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้าง ครอบคลุมทั้งการตระหนักรู้ การลงมือปฏิบัติ และการเติบโต เพื่อการปลดล็อกให้เกิดเป็นอานิสงส์อย่างเต็มที่ โดยรายงานของ CDP ได้ให้ข้อแนะนำหลัก ๆ เพื่อสร้างภาวะพร้อมผันทางธุรกิจที่ประกอบด้วย การจัดทำกระบวนการเพื่อจัดการกับความสัมพันธ์และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่า การทำความเข้าใจความเสี่ยงและโอกาสทั้งในแง่ของทำเลที่ตั้งและผลกระทบทางการเงิน การมีส่วนร่วมกับผู้ส่งมอบในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่ค้นพบซึ่งควรครอบคลุมแผนการเปลี่ยนผ่านที่มีนัยสำคัญ การสร้างสรรค์และได้รับประโยชน์จากโครงการริเริ่มและผลิตภัณฑ์สีเขียวใหม่ ๆ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการตอบสนองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม

การลงมือทำตามข้อแนะนำดังกล่าว จะเป็นก้าวสำคัญสำหรับกิจการในการปกป้องผลกระทบทางการเงินที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และสามารถคว้าโอกาสการเติบโตในตลาดเกิดใหม่ได้อย่างเต็มที่


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, August 23, 2025

TNFD: กรอบการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนเกี่ยวกับธรรมชาติ

ในการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 15 (CBD COP 15) เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 รัฐภาคี 196 ประเทศ ได้ตกลงกันในกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework: KM-GBF) ซึ่งเป็นแผนสำหรับเร่งดำเนินการเพื่อหยุดยั้งการสูญเสียและนำความหลากหลายทางชีวภาพกลับคืนมา ภายในปี ค.ศ. 2030 และให้ประชาคมโลกมีคุณภาพชีวิตที่ดีควบคู่กับการมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ ภายในปี ค.ศ. 2050 ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า คือ การลดภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนและการแบ่งปันผลประโยชน์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และการแสวงหาเครื่องมือการแก้ปัญหาการดําเนินงานและการผลักดันให้ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นกระแสหลัก

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 2021 ได้มีการก่อตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับธรรมชาติ (Task Force on Nature-related Financial Disclosures: TNFD) เพื่อจัดทำกรอบการรายงานที่ครอบคลุมและเข้มงวด โดยได้ออกเป็นข้อเสนอแนะการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับธรรมชาติ ในปี ค.ศ. 2023 เพื่อสนับสนุนให้ยกระดับการเปลี่ยนแปลงกระแสเงินทั่วโลก จากการหลีกเลี่ยงและลดผลกระทบเชิงลบต่อธรรมชาติ ไปสู่การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อธรรมชาติ

TNFD มีความสำคัญยิ่งต่อการส่งเสริมการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ข้อ 15 โดยในกรอบงาน KM-GBF เรียกร้องอย่างชัดเจนให้ใช้มาตรการทางกฎหมาย การบริหาร และนโยบายเพื่อส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ บรรษัทข้ามชาติ และสถาบันการเงิน ตรวจสอบ ประเมินและเปิดเผยความเสี่ยง การพึ่งพาและผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสม่ำเสมอ

ข้อเสนอแนะของ TNFD จะส่งเสริมให้เกิดการรายงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่สอดคล้องกันทั่วโลก มีองค์ประกอบการรายงานแบ่งออกเป็น 4 หมวดหลัก ได้แก่ (1) การกำกับดูแล (2) กลยุทธ์ (3) การจัดการความเสี่ยงและผลกระทบ และ (4) ตัวชี้วัดและเป้าหมาย ที่พ้องกับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD) โดยมีรายการที่แนะนำให้เปิดเผยทั้งหมด 14 รายการ

แม้ว่าจะมีความคล้ายคลึงกันในองค์ประกอบระหว่าง TCFD และ TNFD แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ TCFD มุ่งเน้นเฉพาะการเปิดเผยความเสี่ยงและโอกาสเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ข้อเสนอแนะของ TNFD สนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง โอกาส ผลกระทบ และการพึ่งพาที่ครอบคลุมถึงระบบนิเวศ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการมลภาวะ และความหลากหลายทางชีวภาพ นอกเหนือจากเรื่องสภาพภูมิอากาศ

จากข้อมูลของ TNFD นับตั้งแต่มีการเผยแพร่ข้อเสนอแนะ ในปี ค.ศ. 2023 มีองค์กรราว 502 แห่ง ใน 54 ประเทศ (ข้อมูลเดือนตุลาคม 2567) ได้ประกาศรับเอาแนวทางของ TNFD ไปใช้ในการเพิ่มความโปร่งใสต่อการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง โอกาส ผลกระทบ และการพึ่งพาเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยในจำนวนนี้มีองค์กรในประเทศไทย จำนวน 6 แห่ง ที่เข้าร่วม

หน่วยงาน IFRS (International Financial Reporting Standards) ได้เริ่มศึกษาถึงความจำเป็นต่อการจัดทำมาตรฐานเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ และบริการจากระบบนิเวศ ตามที่ระบุไว้ในแผนงานระหว่างปี ค.ศ. 2024-2026 เพื่อประเมินว่าเป็นข้อมูลที่ผู้ลงทุนสนใจหรือต้องการให้กิจการเปิดเผยในรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนมากน้อยเพียงใด

ขณะที่ หน่วยงาน GRI (Global Reporting Initiative) ในฐานะผู้กำหนดมาตรฐานโลกด้านการรายงานความยั่งยืน ได้ออกมาตรฐาน GRI 101: Biodiversity 2024 ที่สอดคล้องกับกรอบ KM-GBF เพื่อช่วยองค์กรธุรกิจทำความเข้าใจถึงการตัดสินใจและการดำเนินงานทางธุรกิจที่อาจนำไปสู่การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ผลกระทบที่เกิดขึ้นในสายคุณค่า และวิธีการในการจัดการผลกระทบดังกล่าว

หากมองผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ปรากฎอยู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่า อนาคตของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก และความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต ขึ้นอยู่กับสภาพธรรมชาติ การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาดควบคู่ไปกับการบำรุงรักษาบริการจากระบบนิเวศ

การประเมินคุณค่า อนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศ ถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความเจริญรุ่งเรืองของคนรุ่นปัจจุบันและรุ่นอนาคต ซึ่งหากองค์กรธุรกิจ ยังคงมองว่าธรรมชาติเป็นผู้จัดหาปัจจัยสำคัญที่มีไม่จำกัดและไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ในกระบวนการดำเนินงานและห่วงโซ่คุณค่า รวมทั้งไม่ยอมรับถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบในฐานะผู้ดูแลโลก ความยั่งยืนที่แท้จริงจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, August 09, 2025

กิจการ VSME: วิสาหกิจวิถียั่งยืน ภาคสมัครใจ

เป็นที่ทราบดีว่า วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) มีสัดส่วนของจำนวนกิจการมากกว่า 90% ของธุรกิจ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันราว 50% ของจีดีพีโลก และก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 60%-70% ของการจ้างงานทั่วโลก

ท่ามกลางสงครามการค้าที่ใช้กลไกภาษีนำเข้า ซึ่งจุดเชื้อโดยสหรัฐอเมริกากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้กิจการ SME ที่ต้องส่งออกไปยังสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่สินค้าซึ่งส่งไปวางจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯ อาจมีราคาที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับคู่แข่งท้องถิ่นในสหรัฐฯ ที่ไม่โดนกำแพงภาษีนำเข้า

และแม้กิจการ SME ในประเทศเอง ที่มิได้ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ก็อาจได้รับผลกระทบจากภาษีการค้า เนื่องจากการเจรจาที่ทำให้ไทยได้ลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ มาอยู่ที่ 19% (จากเดิม 36%) เราต้องแลกกับการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งมาขายยังประเทศไทยกว่าหมื่นรายการ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ ซึ่งมีผลให้สินค้าเหล่านี้ อาจมีราคาจำหน่ายที่ถูกกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศมีกำไรลดลง หรืออาจประสบภาวะขาดทุนเนื่องจากไม่สามารถแข่งขันราคาได้

นอกจากประเด็นการค้าจากปัจจัยด้านภาษีข้ามพรมแดนแล้ว กิจการ SME ยังต้องเผชิญกับประเด็นความยั่งยืนจากปัจจัยด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) ที่มาในรูปแบบของการเก็บภาษีเฉพาะ เช่น มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ที่จะเริ่มมีการคิดภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนกับสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง สำหรับสินค้านำเข้าที่มีน้ำหนักรวมกันเกิน 50 ตันต่อปีต่อราย นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2026 เป็นต้นไป

ในภูมิภาคยุโรป ได้มีความพยายามในการช่วยเหลือกิจการ SME เพื่อมิให้มีภาระในการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนทั้งในแง่ของการดำเนินงานและการเปิดเผยข้อมูลมากจนเกินไป ซึ่งโดยปกติ ลูกค้าของกิจการ SME ซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความยั่งยืน มักจะเป็นผู้ร้องขอข้อมูล ESG จากกิจการ SME ที่เป็นผู้ส่งมอบ (Supplier) ในรูปของแบบสอบถามหรือแบบกรอกข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน (แต่ตอบด้วยชุดข้อมูล ESG เดียวกัน) ทำให้กิจการ SME ต้องมีภาระในการจัดทำข้อมูล ESG ส่งให้ลูกค้าตามรูปแบบที่แต่ละองค์กรจัดทำขึ้นเองอย่างเป็นเอกเทศ

เพื่อเป็นการลดภาระให้กิจการ SME คณะกรรมาธิการยุโรป จึงได้ประกาศรับรองให้ใช้มาตรฐาน VSME ที่จัดทำขึ้นโดยคณะที่ปรึกษาการรายงานทางการเงินแห่งยุโรป (EFRAG) สำหรับกิจการซึ่งมีการจ้างงานไม่เกิน 1,000 คน ที่ต้องการรายงานข้อมูลความยั่งยืนโดยสมัครใจ (Voluntary) สามารถใช้มาตรฐานดังกล่าว เพื่อจำกัดการร้องขอข้อมูล ESG ในห่วงโซ่คุณค่า (value-chain cap) จากกิจการขนาดใหญ่ มิไห้เกินกว่าที่มาตรฐาน VSME กำหนดไว้

ในข้อกำหนดตามมาตรฐาน VSME ที่คณะกรรมาธิการยุโรปให้การรับรองไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 แนะนำให้กิจการ VSME ควรเปิดเผยข้อมูลพื้นฐานของกิจการ แนวปฏิบัติ นโยบาย และความริเริ่มที่จะเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน เพื่อมุ่งลดผลกระทบเชิงลบ และเพิ่มผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อม

โดยประเด็นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มลภาวะทางอากาศ ทางน้ำ และผิวดิน ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้น้ำ การใช้ทรัพยากร เศรษฐกิจหมุนเวียน และการจัดการของเสีย

ส่วนประเด็นความยั่งยืนด้านสังคมที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ คุณลักษณะทั่วไปของแรงงาน สุขภาพและความปลอดภัย ค่าตอบแทน สภาพการจ้าง และการฝึกอบรม

และประเด็นความยั่งยืนด้านธรรมาภิบาลที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ การประกอบธุรกิจด้วยความโปร่งใส รวมถึงการรายงานบทลงโทษและค่าปรับจากเหตุทุจริตและการให้สินบน (ถ้ามี)

ทั้งนี้ ประโยชน์ที่กิจการ VSME จะได้รับจากการดำเนินงานโดยคำนึงถึงประเด็นความยั่งยืนข้างต้น ประกอบด้วย

(1) การรักษามาตรฐานการประกอบธุรกิจที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่สามารถสร้างความแตกต่างและช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันเหนือผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ในตลาด

(2) การลดภาระการจัดทำข้อมูลสำคัญทางธุรกิจที่ถูกร้องขอจากคู่ค้าสำหรับการคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อผู้ค้า (Vendor List) และจากสถาบันการเงินสำหรับการขอสินเชื่อหรือการเข้าลงทุนในกิจการ ด้วยการเปิดเผยข้อมูลเท่าที่จำเป็นตามมาตรฐาน VSME ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

(3) การเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินตามเกณฑ์สินเชื่อสีเขียวในอัตราดอกเบี้ยต่ำ (เช่น สินเชื่อเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การก่อสร้างและปรับปรุงอาคารประหยัดพลังงาน การกำจัดและบำบัดของเสีย) และการลงทุนที่ยั่งยืนพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี (เช่น การลงทุนด้านขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลงทุนปรับเครื่องจักรให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในนวัตกรรมด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม)

(4) การขยายโอกาสสู่ตลาดใหม่ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ผ่านห่วงโซ่อุปทานที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านแรงงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สอดคล้องกับกฎระเบียบสำหรับใช้ในการกำกับดูแลและความรับผิดชอบในการประกอบธุรกิจที่เป็นสากล เช่น บทบัญญัติว่าด้วยการตรวจสอบสถานะความยั่งยืนของกิจการ (CSDDD) ของสหภาพยุโรป

และเพื่อเป็นการยกระดับกิจการ SME ในประเทศไทย ที่ต้องพึ่งพาห่วงโซ่การค้าโลกโดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรป สถาบันไทยพัฒน์ ได้จัดตั้ง VSME Forum เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้สำหรับกิจการที่มีการจ้างงานไม่เกิน 1,000 คน และสนใจนำปัจจัยด้าน ESG มาใช้ต่อยอดในธุรกิจโดยสมัครใจ เพื่อมุ่งสู่การเป็นวิสาหกิจวิถียั่งยืน และเพิ่มโอกาสในการค้าขายกับบรรษัทข้ามชาติหรือกิจการขนาดใหญ่ที่ต้องมีการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้าน ESG เช่น บทบัญญัติว่าด้วยการรายงานความยั่งยืนของกิจการ (CSRD) ของสหภาพยุโรป เป็นต้น


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, July 26, 2025

การขับเคลื่อนความยั่งยืนสู่กลยุทธ์องค์กรหนึ่งเดียว

นับจากที่เรื่องความยั่งยืนได้เข้ามามีอิทธิพลกับธุรกิจจนได้กลายเป็นกระแสหลักที่ทุก ๆ กิจการจำเป็นต้องพิจารณานำมาดำเนินการกับองค์กรตนเอง เพื่อให้ก้าวทันกับความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น และให้สอดรับกับภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป จนในปัจจุบัน กิจการในแทบทุกอุตสาหกรรมได้ลุกขึ้นมาสื่อสารถึงการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับความยั่งยืนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ดี เมื่อไปสำรวจแนวทางการขับเคลื่อนความยั่งยืนสำหรับภาคธุรกิจนั้น ก็พบว่ามีความหลากหลายในการนำมาปฏิบัติใช้ โดยขึ้นกับชุดความคิดและสำนักวิชาที่ออกแบบและถ่ายทอดความรู้ในเรื่องดังกล่าว ซึ่งมีความแตกต่างกันไปในแต่ละค่าย ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมถึงบริบทในอุตสาหกรรมที่ทำให้การประยุกต์เรื่องดังกล่าวมีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกันด้วย


จุดตั้งต้นที่ใช่สำหรับกิจการ เป็นส่วนที่มีนัยสำคัญต่อการขับเคลื่อน เพราะหากเริ่มต้นไม่ตรงจุด ยิ่งกิจการก้าวเดินต่อไปเรื่อย ๆ องศาของเส้นทางเดินที่ควรจะเป็น จะยิ่งเบ้ห่างออกจากจุดศูนย์กลางมากยิ่งขึ้น ทำให้เสียทั้งเวลา ทรัพยากร และงบประมาณที่ใช้ดำเนินการ รวมทั้งต้องกลับมาแก้ไขตั้งต้นกันใหม่ หรือต้องปรับรื้อสิ่งที่ได้ทำไปก่อนหน้านี้

โดยที่ผ่านมา ความเข้าใจแรกของกิจการในหลายแห่งที่มีต่อเรื่องดังกล่าว คือ การขับเคลื่อนความยั่งยืน องค์กรต้องจัดทำกลยุทธ์ความยั่งยืนขึ้นมาใช้ในการขับเคลื่อน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ความยั่งยืน เป็นสถานะของกิจการ ที่ทุกองค์กรคาดหวังให้เกิดขึ้น หรือเป็นผลลัพธ์ที่อยากให้เกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริง กิจการไม่สามารถบังคับบัญชาให้เกิดขึ้นได้เอง ทำได้แต่เพียงสร้างเหตุปัจจัย หรือเงื่อนไขที่เอื้อให้สภาพความยั่งยืนเกิดขึ้น โดยปัจจัยสำคัญซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าส่งผลโดยตรงต่อความยั่งยืน ได้แก่ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG)

การที่องค์กรหนึ่ง ๆ ออกมาสื่อสารว่า ได้จัดทำกลยุทธ์ความยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว แท้ที่จริงคือ การดำเนินการกับปัจจัยด้าน ESG (เป็นวิธีการ หรือ Mean) เพื่อให้ได้มาซึ่งความยั่งยืน (เป็นปลายทาง หรือ End) เนื่องเพราะกิจการไม่สามารถกำหนดหรือกำกับให้ความยั่งยืนเกิดขึ้นได้เอง โดยปราศจากการใส่เหตุปัจจัยที่เหมาะสม

นั่นหมายความว่า แทนที่กิจการจะจัดทำกลยุทธ์ความยั่งยืน ขึ้นมาเพื่อดำเนินการ กิจการควรจะต้องมีการจัดทำกลยุทธ์องค์กรที่ได้ผนวกการพิจารณาปัจจัยด้าน ESG เข้าไว้ในกลยุทธ์อย่างรอบด้าน สอดคล้องกับบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืน แนวทางนี้ต่างหากที่จะทำให้สถานะความยั่งยืนของกิจการเกิดขึ้นได้อย่างตรงจุด

ทั้งนี้ เพื่อให้กิจการมีกลยุทธ์องค์กรที่เป็นหนึ่งเดียว (Single Strategy) ไม่ก่อให้เกิดภาวะกลยุทธ์คู่ขนาน โดยมีทั้งกลยุทธ์ธุรกิจและกลยุทธ์ความยั่งยืนที่สร้างความสับสนและซ้ำซ้อนให้แก่พนักงานรวมถึงผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง

แม้ในระยะเริ่มต้น กิจการจะมีความริเริ่มด้านความยั่งยืนในลักษณะที่เป็นโครงการ/กิจกรรม แยกต่างหากจากกระบวนงานทางธุรกิจปกติ มิได้มีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน แต่เมื่อเริ่มเข้าใจว่าเรื่องความยั่งยืนเป็นประเด็นสาระสำคัญที่ต้องดำเนินการ กิจการจะมีการตั้งคณะกรรมการชุดย่อยเพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืน และจะมีตัวชี้วัดใช้สำหรับประเมินผลงาน ดำเนินไปจนกระทั่งมาถึงจุดที่เรื่องความยั่งยืนจะถูกหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์องค์กร เป็นกลยุทธ์ชุดเดียวกันกับที่ใช้ขับเคลื่อนองค์กรโดยรวม

สำหรับกิจการที่เข้าใจหรือเดินมาถึงจุดนี้ จะพบว่าไม่มีความจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการความยั่งยืน หรือคณะทำงานด้าน ESG เพิ่มเติมเป็นการเฉพาะสำหรับดูแลการขับเคลื่อน เนื่องจากปัจจัยด้าน ESG ได้ถูกนำมาพิจารณาหลอมรวมอยู่ในกลยุทธ์องค์กรซึ่งสามารถถ่ายทอดลงสู่การปฏิบัติผ่านกลไกที่มีอยู่เดิมได้ตามปกติ

โดยหนึ่งในวิธีการสำหรับกิจการที่คุ้นเคยกับการจัดทำแผนที่กลยุทธ์ (Strategy Map) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือบริหารจัดการ คือ การปรับแต่งแผนที่กลยุทธ์ด้วยการผนวกปัจจัยด้าน ESG และขยายมุมมองให้ครอบคลุมเรื่องความยั่งยืน ด้วยการเชื่อมโยงวัตถุประสงค์ทางธุรกิจให้เข้ากับวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืนได้ภายใต้แผนที่กลยุทธ์หนึ่งเดียว

ทั้งนี้ การจัดทำแผนที่กลยุทธ์ยังช่วยให้กิจการเห็นภาพรวมของปัจจัยด้าน ESG ที่นำไปสู่ความยั่งยืน และเห็นการปรับแนวการดำเนินงานและจุดเน้นขององค์กรให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างเป็นเอกภาพ

สำหรับกิจการที่สนใจจัดทำแผนที่กลยุทธ์องค์กรหนึ่งเดียว สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะหน่วยงานที่มุ่งเน้นงานส่งเสริมความยั่งยืนของกิจการร่วมกับภาคธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง ได้ทำการเผยแพร่รายละเอียดไว้ที่เว็บไซต์ สถาบันไทยพัฒน์


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, July 12, 2025

แนวคิดการใช้มาตรการ Rebate ตอบโต้ภาษีการค้าสหรัฐฯ

จากข้อมูล (เมื่อ 7 ก.ค.) ที่ประเทศไทยได้รับแจ้งจากสหรัฐอเมริกาว่า จะเริ่มคิดภาษีการค้าในอัตรา 36% ในวันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นไป ซึ่งจะมีผลให้การส่งออกสินค้าของไทยได้รับผลกระทบจากยอดที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งมีอยู่ราว 18% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด โดย ธปท. คาดว่าการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 จะหดตัว -4% และในปี 2569 ทั้งปี คาดว่าจะหดตัว -2%

ซึ่งนับเป็นโจทย์ที่ท้าทายต่อรัฐบาลไทย ว่าจะมีมาตรการในการรักษายอดส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าราว 6.33 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ไว้ให้มากที่สุดได้อย่างไร จากที่รัฐบาลทรัมป์ ต้องการลดการขาดดุลการค้า และกดดันให้ไทยเปิดตลาดเพื่อซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น โดยใช้เครื่องมือภาษีการค้าเป็นเครื่องต่อรอง และมาจบลงที่อัตรา 36%


อันที่จริง แนวทางแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ก่อนที่จะมีการใช้มาตรการภาษีการค้าในปัจจุบัน ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 2003 วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เคยเสนอแนวคิดเรื่อง “Import Certificate” เพื่อใช้แก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่เขาเริ่มมีความกังวลย้อนกลับไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987 โดยแนวคิดดังกล่าวเสนอให้มีการออกใบรับรองให้แก่ผู้ส่งออกสหรัฐฯ ด้วยยอดสินค้าที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ และผู้ส่งออกสามารถขายใบรับรองให้แก่ใครก็ตามที่ต้องการนำเข้าสินค้าเข้าสหรัฐฯ โดยสามารถนำเข้าสินค้าได้เท่ากับมูลค่าที่ระบุไว้ในใบรับรอง

เช่น บริษัท A ส่งออกสินค้ามูลค่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปต่างประเทศ บริษัท A จะได้รับใบรับรองที่ระบุมูลค่าไว้ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับยอดที่ส่งออก และบริษัท A สามารถขายใบรับรองให้บริษัทใดก็ได้ ที่ต้องการส่งสินค้าจากประเทศอื่นเข้ามาขายยังสหรัฐฯ ในมูลค่าที่เท่ากัน ผลลัพธ์ คือ เกิดสมดุลการค้า (ระหว่างมูลค่าส่งออกและนำเข้า)

แนวคิดของบัฟเฟตต์ ได้เคยถูกผลักดันให้เป็นกฎหมายเมื่อปี ค.ศ. 2006 แต่ก็ไม่ได้ถูกประกาศใช้ ซึ่งน่าจะมาจากข้อจำกัดที่เมื่อปริมาณการนำเข้าถูกกำหนดด้วยยอดการส่งออก จะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีฐานจากการบริโภค (หากแนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ จีดีพีของสหรัฐฯ คงไม่โตอย่างที่เห็นในปัจจุบัน) และเมื่อปริมาณการนำเข้าถูกอั้นจนต่ำกว่าความต้องการที่แท้จริงมาก ราคาสินค้านำเข้าจะพุ่งสูงขึ้นเกินกว่าความเป็นจริง

ตัวเลขจริงในปี ค.ศ. 2024 สหรัฐฯ มียอดส่งออกสินค้าทั้งปีอยู่ที่ 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มูลค่านำเข้าสินค้าทั้งปีมีอยู่ถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ขาดดุลอยู่ราว 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ถ้ารวมยอดบริการที่สหรัฐฯ เกินดุลอยู่ ตัวเลขขาดดุลสินค้าและบริการจะลดลงเหลือ 0.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)

นโยบายการค้าภายใต้การบริหารของรัฐบาลทรัมป์ จึงได้นำภาษีการค้ามาใช้กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อเป็นเครื่องมือต่อรองในการลดยอดขาดดุล โดยบีบให้ประเทศต่าง ๆ ลดภาษีและยกเลิกมาตรการกีดกัน เพื่อเปิดตลาดให้สหรัฐฯ ส่งออกสินค้าได้มากขึ้น (ไม่นับรวมเหตุผลทางการเมืองที่ต้องการกีดกันจีนและเลือกปฏิบัติกับประเทศที่ต่อต้าน)

ระหว่างนี้จนถึงวันที่ 1 สิงหาคม หากเรายังไม่สามารถเจรจาแลกเปลี่ยนการเปิดตลาดเพื่อรับสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม จนเป็นผลให้มีการปรับอัตราภาษีการค้าลดลง เราจำเป็นต้องหามาตรการอื่นเพื่อรับมือกับอัตราภาษีที่ 36% โดยปริยาย

โดยก่อนที่จะออกมาตรการเชิงรับในทางที่เป็นการชดเชยหรือเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เราอาจจะออกแบบมาตรการเชิงรุกในทางที่เป็นการตอบโต้ภาษีการค้า โดยแนวทางหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ การทำให้ภาษีการค้าเป็นกลาง (neutralize tariff) หรือไม่ส่งผลต่อต้นทุนการนำเข้าสินค้าจากไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ ด้วยการให้ “Import Rebate” หรือวงเงินส่วนลดในจำนวนเท่ากับภาษีการค้าที่ผู้นำเข้าได้จ่ายไป (เป็นการใช้วงเงิน rebate มา offset กับยอด tariff ทำให้สินค้าที่ส่งไปขายในสหรัฐฯ เสมือนมีต้นทุนเท่าเดิม) และผู้นำเข้าในสหรัฐฯ สามารถใช้วงเงินดังกล่าวในการซื้อสินค้าจากไทยต่อในครั้งถัดไป

ด้วยกลไกนี้ ยังเปิดโอกาสให้เราสามารถกำหนดให้มีการใช้วงเงิน Rebate กับรายการสินค้าหรืออุตสาหกรรมเป้าหมายที่อยากส่งเสริมการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้ด้วย

และหากมีผู้นำเข้าในสหรัฐฯ รายใด ไม่ได้ใช้วงเงิน Rebate เราก็ไม่ต้องใช้เงินอุดหนุนเพื่อชดเชย Tariff สำหรับผู้นำเข้ารายนั้น นั่นอาจแสดงว่า แม้ต้นทุนสินค้าจะแพงขึ้นจาก Tariff เราก็ยังส่งออกสินค้านั้น ๆ ไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้อยู่

จากที่รัฐบาลเปิดเผยว่า งบประมาณรายการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีเหลืออยู่อีกประมาณ 4.7 หมื่นล้านบาท รวมกับงบกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนที่อนุมัติไปเพื่อลดผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัลวงเงินรวม 11,122 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลมีงบประมาณที่ใช้ในการลดผลกระทบจากการเก็บภาษีเพิ่มของสหรัฐ รวมทั้งสิ้น 58,122 ล้านบาท

งบประมาณก้อนนี้ สามารถใช้เป็นวงเงินตั้งต้น สำหรับการ Rebate และติดตามว่ามีผลสัมฤทธิ์มากน้อยเพียงใด เพื่อจะได้นำมาประเมินและตัดสินใจว่าจะใช้มาตรการเชิงรับที่เป็นการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบในท้ายที่สุดหรือไม่ต่อไป


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, June 28, 2025

สร้างเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน ด้วย AI as a Resource โมเดล

จากข้อมูลของ Statista ในปี ค.ศ. 2025 คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดของปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเติบโตอยู่ที่ 2.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในช่วง 7 ปีจากนี้ไป อยู่ที่อัตรา 26.6% โดยมูลค่าในปี ค.ศ. 2031 จะทะลุเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยประเทศสหรัฐอเมริกาครองส่วนแบ่งตลาดมากสุดที่ 7.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 30% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี และอินเดีย ตามลำดับ

ในประเทศไทย จากการสำรวจของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) ระบุว่าอุตสาหกรรมข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ในปี พ.ศ. 2566 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท

หากแยกเฉพาะมูลค่าบริการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI Services) ที่ไม่รวมมูลค่าของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ด้านปัญญาประดิษฐ์ จะมีตัวเลขอยู่ที่ 5.2 พันล้านบาท (ที่มา: https://bdi.or.th/)

สำหรับบุคลากรด้านปัญญาประดิษฐ์ของไทยจากการสำรวจ มีอยู่จำนวน 723 คน ขณะที่ผลการสำรวจการผลิตบัณฑิตในสาขาที่เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562-2566 มีตัวเลขนักศึกษารับเข้าสะสมอยู่ที่ 969 คน และนักศึกษาที่จบการศึกษามีอยู่เพียง 73 คน (ที่มา: https://info.mhesi.go.th/)

และเมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลไทย โดยคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) มีแผนที่จะผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยงบประมาณราว 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ให้เกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม ด้วยงบประมาณอีก 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพลิกโฉมภาคเกษตรกรรม สาธารณสุข และการท่องเที่ยว รวมทั้งการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยมีเป้าหมายสร้างผู้ใช้งาน AI ทั่วไป จำนวน 10 ล้านคน ผู้เชี่ยวชาญ AI จำนวน 90,000 คน และนักพัฒนา AI จำนวน 50,000 คน

หากพิจารณาถึงระบบนิเวศที่เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ ต้องตั้งคำถามว่า ในกิจกรรมสำคัญทางเศรษฐกิจที่ประกอบด้วยการผลิตและการบริโภค ประเทศไทยจะให้น้ำหนักกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์เป็นทรัพยากร (AI as a Resource) เพื่อการผลิต หรือการใช้ปัญญาประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์ (AI as a Product) เพื่อการบริโภค

ไม่ปฏิเสธว่า การพัฒนาบุคลากรให้เป็นผู้ใช้งาน AI ทั่วไป จำนวน 10 ล้านคน มีความสำคัญ ในแง่ที่ต้องการให้เกิดการใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ได้อย่างเต็มที่ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการทำงาน และความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายขึ้น แต่ก็ต้องแลกกับการเสียดุลการค้าจากการนำเข้าผลิตภัณฑ์ ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการด้านปัญญาประดิษฐ์ ในฐานะของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ AI

เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้กับการเสียดุลการค้าจากการนำเข้าผลิตภัณฑ์ AI สิ่งที่จำเป็นต้องพิจารณา คือ ประเทศไทยจะสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มมูลค่าจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์เป็นทรัพยากรเพื่อการผลิตได้อย่างไร

ในงานสัมมนา “The Story Thailand Forum 2025: Sustainability in the Age of AI” ที่ได้จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมได้มีโอกาสร่วมแลกเปลี่ยนในหัวข้อ ‘Rebalancing Strategy Towards Economic Sustainability’ โดยได้นำเสนอโมเดล AI as a Resource เพื่อการพัฒนาโซลูชันที่มุ่งเป้าใน 3 อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ ธุรกิจการเกษตรและอาหาร ธุรกิจการแพทย์และบริการทางสุขภาพ ธุรกิจการศึกษาและการพัฒนาบุคลากร

โดยภาคธุรกิจสามารถนำเมทริกซ์ AI as a Resource ที่มี 3 ขอบข่าย (Scope) การดำเนินงาน ซึ่งประกอบด้วย ขอบข่ายที่ 1 การลงทุนใช้จ่าย (Spending) เกี่ยวกับ AI เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ขอบข่ายที่ 2 การประหยัดต้นทุน (Saving) จากความริเริ่มที่ขับเคลื่อนด้วย AI และขอบข่ายที่ 3 การเติบโตของรายรับ (Earning) จากกลยุทธ์ ผลิตภัณฑ์ และบริการที่ใช้ประโยชน์จาก AI

ใน Scope 1 ธุรกิจสามารถนำ AI มาเปลี่ยนงานประจำที่ต้องทำมือซ้ำ ๆ เดิมให้เป็นงานแบบอัตโนมัติ นำเครื่องมือ AI มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น ช่วยปรับกระแสงานให้มีความเหมาะเจาะลงตัว และเสริมการหยั่งรู้ที่ช่วยผู้ใช้ในการตัดสินใจ ถัดมาเป็นการใช้ AI เพื่อช่วยให้การปฏิบัติงานคล่องตัว ลดข้อผิดพลาด และทำให้บุคลากรมีเวลาเหลือสำหรับงานเชิงกลยุทธ์เพิ่มขึ้น รวมทั้งการใช้ AI ในการจัดทำรายงานภาพรวมในแบบทันที เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ใช่เพียงการเพิ่มผลิตภาพ แต่ยังช่วยเพิ่มความแม่นยำด้วย

ใน Scope 2 ธุรกิจสามารถนำ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานที่ส่งผลให้เกิดการประหยัดต้นทุน และ/หรือหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายบางรายการ ทั้งในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ช่วยลดภาระการจ้างงาน พร้อมกันกับเพิ่มผลิตภาพองค์กร รวมทั้งการเพิ่มส่วนต่างกำไรจากโครงสร้างต้นทุนที่มีการใช้ AI ในบริบทของการประกอบธุรกิจ

ใน Scope 3 ธุรกิจสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดด้วยอุปสงค์ที่เติบโตจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประโยชน์จาก AI การได้ยอดขายทั้งจากลูกค้าใหม่และจากภูมิภาคใหม่โดยใช้แบรนด์และชื่อเสียงของความเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ AI โดยเฉพาะจากคุณลักษณะที่สร้างความโดดเด่นแตกต่าง รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมในผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้ประโยชน์จาก AI ซึ่งเอื้อต่อการตอบสนองความจำเป็นของผู้บริโภค ตลอดจนการดำเนินกลยุทธ์และแผนระยะยาวควบคู่กับการลงทุนที่จำเป็นเพื่อสร้างการเติบโตจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ให้เกิดประโยชน์

ทั้งนี้ การใช้โมเดล AI as a Resource และเมทริกซ์ข้างต้น จะช่วยให้ภาคธุรกิจเห็นช่องทางสำหรับปรับกลยุทธ์องค์กรโดยเน้นที่การใช้ ‘ปัญญาประดิษฐ์เป็นทรัพยากร’ มากกว่าใช้ ‘ปัญญาประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์’ ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลทางกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจในระยะยาว


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, June 14, 2025

แปลงความยั่งยืนจาก Compliance เป็น Competence

จากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบัน ที่มีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจรุมเร้า ทั้งจากปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า และความไม่สงบในตะวันออกกลางที่กำลังส่อเค้าปะทุบานปลาย

ธนาคารโลกได้คาดการณ์ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดลงเหลือ 2.3% และของประเทศไทยที่ถูกปรับลดเหลือ 1.8% ในปี 2568 ทำให้กิจการที่ต้องทำเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) ตามข้อกำหนด ต่างดิ้นรนหาทางจำกัดการดำเนินงานให้มีภาระน้อยสุด หรือไม่ก็ต้องใช้ประเด็นด้าน ESG ในแง่ของการเพิ่มสมรรถนะการปฏิบัติงาน (Competence) เพื่อลดค่าใช้จ่าย หรือที่ดีสุดคือ ใช้สร้างให้เกิดเป็นรายได้ของกิจการ

แม้การเริ่มต้นของฝ่ายความยั่งยืน หรือหน่วยงาน ESG ในกิจการโดยส่วนใหญ่ จะมีที่มาจากการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ลงทุน และความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย ในแง่ของการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ (Compliance)

ด้วยปัจจัยลบทางเศรษฐกิจดังกล่าว ทำให้ฝ่ายความยั่งยืน จำต้องปรับเปลี่ยนบทบาทจากการมุ่งเน้นงานแบบรายโครงการ โดยมีการจัดสรรงบประมาณสำหรับดำเนินงาน และมีตัวชี้วัดแยกต่างหาก มาสู่การผลักดันให้มีการผนวกเรื่องความยั่งยืนไว้ในสายงานต่าง ๆ โดยมีตัวชี้วัดร่วมที่มุ่งตอบโจทย์ในบรรทัดสุดท้ายเดียวกันของกิจการ

จากผลการสำรวจของ KPMG เกี่ยวกับช่องว่างการดำเนินกลยุทธ์ในการรายงานความยั่งยืน ในปี 2567 ระบุว่า 76% ของกิจการ กำลังดำเนินแผนปรับโครงสร้างของทีมงาน เพื่อปรับแนวกลยุทธ์ธุรกิจและความยั่งยืนให้สอดคล้องกันยิ่งขึ้น

โดยหนึ่งในตัวอย่างการปรับบทบาทของฝ่ายความยั่งยืน คือ การแปลงรูปแบบศูนย์กลางและเครือข่าย (hub-and-spoke model) เพื่อทำหน้าที่ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในองค์กร ด้วยการร่วมพัฒนาความริเริ่มที่เกี่ยวกับความยั่งยืน การระดมความเชี่ยวชาญในสายงาน และสร้างสถานะความเป็นเจ้าของร่วมกัน แทนที่จะเป็นการพัฒนาโครงการโดยฝ่ายความยั่งยืนเพียงลำพัง และขับเคลื่อนโดยใช้วิธีขอข้อมูลหรือขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ในกิจการ

ในอีกนัยหนึ่ง ฝ่ายบริหารต้องส่งสัญญาณให้หน่วยงานต่างๆ เห็นพ้องกันว่า ฝ่ายความยั่งยืน มีฐานะเป็นหุ้นส่วนการทำงานร่วมกับฝ่ายอื่น ๆ มิใช่หน่วยงานกำกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ด้านความยั่งยืนที่ทำงานได้โดยลำพัง

ทั้งนี้ กิจการสามารถขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนในแง่ของการเพิ่มสมรรถนะการปฏิบัติงานได้ใน 3 ขั้นตอน คือ

(1) ผนวกประเด็นความยั่งยืนไว้ในกลยุทธ์แกนหลัก เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างความยั่งยืนกับการเติบโตทางธุรกิจ การประหยัดต้นทุน และนวัตกรรม

(2) ระบุปริมาณและผสมผสานเข้ากับตัวบ่งชี้ทางการเงิน โดยการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงาน ESG และแผนกการเงิน ในการบ่งชี้ถึงผลได้ทางการเงินอันเกิดจากปัจจัยความยั่งยืนที่สามารถขยายผลข้ามสายงาน

(3) วางกรอบในการสื่อความใหม่ ด้วยการปรับสถานะ ESG ให้เป็นวิถีทางสำหรับปรับปรุงผลประกอบการและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน มากกว่าการใช้เป็นกรอบการปฏิบัติเพียงเพื่อให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์

โดยกิจการสามารถออกแบบความร่วมมือและให้ความรู้ด้านความยั่งยืนแก่หน่วยงานในแบบฉบับที่เหมาะสมเฉพาะกลุ่ม (Customize Collaboration) โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ตามหน้าที่ ตัวชี้วัดความสำเร็จ และความท้าทายที่ต้องเผชิญ

ประการต่อมา คือ การระบุแหล่งนวัตกรรมในกิจการ (อาทิ ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายวิจัยและพัฒนา ฝ่ายปฏิบัติการ หรือฝ่ายกลยุทธ์) และการทำงานร่วมกันเพื่อเปิดทางให้เกิดโอกาสในการลดต้นทุนหรือการสร้างรายได้ (Show Me the Money)

นอกจากนี้ กิจการควรปล่อยให้มีการหารือภายในทีมต่อการกำหนดเป้าหมายดำเนินงาน และเห็นชอบให้มีการโยงผลการดำเนินงานความยั่งยืนในแต่ละแผนกเข้ากับการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีให้แก่ระดับผู้บริหาร (Incentivize at all Management Levels)

และที่สำคัญ กิจการควรเสาะแสวงหาข้อแนะนำที่เป็นกลางต่อโครงสร้างการกำกับดูแลที่ท้าทายต่อสถานะภายในดังที่เป็นอยู่เดิม (Revisit Governance Structure) ที่ไม่เพียงช่วยตัดทอนอคติและการทำงานแบบต่างฝ่ายต่างทำ แต่ยังให้เอื้อให้เกิดการผนวกการทำหน้าที่สร้างรายได้ให้แก่กิจการ

ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจยังเติบโตได้เป็นปกติ มีความเชื่อว่า กิจการต้องการยกระดับเรื่องความยั่งยืนจากภาคบังคับ (Mandatory) สู่ภาคสมัครใจ (Voluntary) ด้วยการทำให้มากขึ้นหรือดีกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด ก็เพื่อสร้างความแตกต่างที่โดดเด่นให้ทิ้งห่างผู้เล่นรายอื่นในธุรกิจ

แต่ในปัจจุบัน ด้วยภาวะที่เศรษฐกิจมีการเติบโตต่ำ เราได้เห็นหลายกิจการกำลังแปลงความยั่งยืนในแบบ Compliance ให้เป็นแบบ Competence มิใช่เพราะธุรกิจต้องการทำให้น้อยลงหรือทำเท่าที่เกณฑ์ขั้นต่ำกำหนด แต่เป็นการปรับแนวให้เรื่องความยั่งยืนที่ดำเนินการ (ไม่ว่าจะทำมากขึ้นหรือน้อยลง) สามารถนำไปสู่การลดต้นทุนและการเพิ่มรายได้ให้แก่กิจการ ซึ่งเป็นโจทย์ในบรรทัดสุดท้ายเดียวกันกับการดำเนินธุรกิจนั่นเอง


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, May 31, 2025

ก้าวสู่ปีที่ 11 กับการประมวลทำเนียบหุ้น ESG100

นับตั้งแต่ที่สถาบันไทยพัฒน์บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ และเป็นผู้ริเริ่มการประเมินข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ของบริษัทจดทะเบียนในปี ค.ศ. 2015 ได้ทำการประมวลรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่า กลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ซึ่งถือเป็นการจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจครั้งแรกในประเทศไทย


หน่วยงาน ESG Rating ของสถาบันไทยพัฒน์ ได้ดำเนินการประเมินข้อมูลด้านความยั่งยืนของหลักทรัพย์จดทะเบียนต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 11 ในปีนี้ ด้วยการคัดเลือกจาก 567 หลักทรัพย์ในปีแรก เพิ่มจำนวนมาเป็น 921 หลักทรัพย์ในปีนี้ โดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ESG จาก 6 แหล่ง จำนวนกว่า 17,056 จุดข้อมูล ตามที่บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์เผยแพร่ไว้ต่อสาธารณะ โดยไม่ใช้แบบสำรวจข้อมูลหรือแบบสอบถามใด ๆ เพิ่มเติม นับตั้งแต่ปีแรกเริ่มที่ดำเนินการจวบจนในปัจจุบัน

โดยประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ประการแรก ได้แก่ การที่บริษัทจะได้รับทราบสถานะการดำเนินงานด้าน ESG ในปัจจุบันของกิจการ ด้วยชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และเป็นการประเมินอย่างอิสระโดยหน่วยงานภายนอก โดยใช้เกณฑ์และหลักการที่อ้างอิงตามแนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ประการที่สอง เนื่องจากการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 คำนึงถึงประเด็น ESG ที่มีนัยสำคัญตามบริบทของแต่ละอุตสาหกรรม และต้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กับธุรกิจแกนหลัก (Core Business) ขององค์กร นอกเหนือจากประเด็น ESG พื้นฐาน ทำให้บริษัทสามารถนำผลการประเมินในรูปแบบของรายงานวิเคราะห์เชิงลึก ไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับการวางแผนพัฒนาปรับปรุงเพื่อยกระดับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับ ESG ได้อย่างตรงจุด สอดคล้องกับบริบทเฉพาะองค์กร (Company-specific) และบริบทเฉพาะอุตสาหกรรม (Industry-specific) ควบคู่ไปพร้อมกัน

ประการที่สาม ด้วยเหตุที่การประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ใช้ข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะตามช่องทางที่บริษัทเผยแพร่เป็นปกติ ทำให้ไม่เป็นภาระแก่บริษัทในการจัดเตรียมข้อมูลสำหรับการประเมินเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ก็เป็นการกระตุ้นให้บริษัทพัฒนาการเปิดเผยข้อมูล ESG ต่อสาธารณะ ในรูปแบบรายงานความยั่งยืน หรือในแบบ 56-1 (One Report) เพื่อให้มีข้อมูลที่สมบูรณ์และเพียงพอต่อการประเมิน ESG100 อันจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียอื่นที่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูล ESG ดังกล่าวด้วย

โดยการคัดเลือกหลักทรัพย์เข้าใหม่ในทำเนียบ ESG100 ในปีนี้ พิจารณาจากข้อมูลการดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG ตามที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ และผ่านเกณฑ์คัดกรองเบื้องต้นที่ใช้ในการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ของสถาบันไทยพัฒน์ โดยมีกระบวนการประเมินที่เป็นไปตามหลักการใน ESG Code of Conduct ของสมาคมตลาดทุนระหว่างประเทศ (ICMA)

สำหรับหลักทรัพย์ซึ่งได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นครั้งแรกในปีนี้ มีจำนวน 13 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย AKR BKGI MPJ NAM NEO OKJ PCC PCE PMC PRM PSP TEGH TFM

ในปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ยังได้คัดเลือกและจัดทำรายชื่อหลักทรัพย์ที่มีผลประกอบการพลิกฟื้นกลุ่ม ESG Turnaround เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ด้วยโอกาสการสร้างผลตอบแทนจากหลักทรัพย์ที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวและมีปัจจัย ESG สนับสนุน

สำหรับหลักทรัพย์กลุ่ม ESG Turnaround ประกอบด้วย BAFS BTS BWG CPF EGCO SNC STA TFG TU VGI รวมจำนวน 10 หลักทรัพย์

โดยการพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์ที่มีผลประกอบการพลิกฟื้นกลุ่ม ESG Turnaround ในปีนี้ เป็นปีที่สามของการจัดทำรายชื่อบริษัทที่มี ESG ซึ่งได้ตามเกณฑ์ในรอบปีการประเมิน แต่ยังมีผลประกอบการติดลบหรือต่ำกว่าตลาด โดยมีสัญญาณการพลิกฟื้นและโอกาสในการไต่ระดับขึ้นของราคาหลักทรัพย์ จากการฟื้นตัวของตลาด และศักยภาพในธุรกิจแกนหลัก ของกิจการที่มี ESG เป็นปัจจัยสนับสนุน

ทั้งนี้ หลักทรัพย์กลุ่ม ESG100 ที่ได้รับคัดเลือกในปีนี้ จะใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในการปรับหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของ Thaipat ESG Index ประจำปี สำหรับใช้เป็นดัชนีเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุน และใช้เป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับการลงทุน โดยมี S&P Dow Jones เป็นผู้คำนวณและเผยแพร่ข้อมูลดัชนี ผ่านหน้าจอ Bloomberg และ Reuters ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วโลก

ผู้ลงทุนที่สนใจศึกษาข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี ค.ศ. 2015 - 2024 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://thaipat.esgrating.com


หมายเหตุ: การนำเสนอข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์จดทะเบียน ESG100 รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่สถาบันไทยพัฒน์เป็นผู้ประเมิน เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้เป็นข้อมูลเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นคำแนะนำในการลงทุน หรือการเสนอซื้อเสนอขายใดๆ ทั้งสิ้น


จากบทความ 'ESG Sauce' ใน The Story Thailand External Link [Archived]

Monday, May 19, 2025

จีนกับทางเลือกในกระดานเศรษฐกิจโลก (1)

ผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน ในเรื่องภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) รอบแรก ที่ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าสหรัฐฯ จะลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจากอัตราปัจจุบัน 145% เหลือ 30% และจีนจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ จาก 125% เหลือ 10% เป็นเวลา 90 วัน ได้ทำให้สงครามการค้าระหว่างสองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในโลกคลี่คลายลงเป็นการชั่วคราว


แต่ไม่มีอะไรที่รับประกันว่า การเจรจาในรอบต่อไปของทั้งสองประเทศ ภายในห้วงเวลา 90 วันนี้ จะนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงถาวรร่วมกัน เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดความไม่ลงตัวในผลประโยชน์ที่แต่ละฝ่ายจะได้รับ

สหรัฐฯ ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า การนำนโยบายภาษีต่างตอบแทนมาใช้กีบจีนและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อต้องการลดตัวเลขขาดดุลทางการค้า 1.2 ล้านล้านเหรียญ (ตัวเลขปี ค.ศ. 2024) ตามมาด้วยนโยบายเพิ่มการลงทุนในประเทศด้วยการดึงอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ให้กลับมาตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ (Reshoring)

นับจนถึงปัจจุบัน (15 พ.ค.) ตัวเลขยอดการลงทุนที่สหรัฐฯ ได้รับคำมั่นจากภาคเอกชนในประเทศต่าง ๆ มีจำนวนรวมแล้วกว่า 10 ล้านล้านเหรียญ กระนั้นก็ตาม ยอดการลงทุนนี้จะต้องใช้เวลาเป็นหลักปีหรือหลายปี (ตั้งแต่การก่อสร้างโรงงาน การเปิดดำเนินงาน จนไปสู่การผลิตสู่ท้องตลาด) กว่าที่จะส่งผลในตัวเลขการจ้างงานและรายได้ในบัญชีประชาชาติ

ในฟากของจีนเอง ได้มีการออกนโยบายทางการเงินเพื่อรับมือกับสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งประกอบด้วย 1) การเพิ่มเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ 2) การลดต้นทุนทางการเงิน และ 3) การเสริมเครื่องมือนโยบายทางการเงินเพื่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศ

ธนาคารกลางจีน ได้ใช้มาตรการด้านปริมาณในการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดเงิน ด้วยการประกาศลดอัตราส่วนการดำรงเงินสดสํารองทางการ (Reserve Requirement Ratio: RRR) ของธนาคารพาณิชย์ ลง 0.5% ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินเติมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจราว 1 ล้านล้านหยวน พร้อมกับการลด RRR ของสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อรถยนต์จาก 5% เหลือ 0% เป็นการชั่วคราว

ในส่วนของการลดต้นทุนทางการเงิน ได้มีการใช้มาตรการด้านราคา ด้วยการ (1) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.1% ซึ่งมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางกู้ยืมจากตลาดเงินด้วยการขายพันธบัตรโดยมีสัญญาซื้อคืน (Reverse Repo) ระยะ 7 วัน ลดจาก 1.5% เหลือ 1.4% เพื่อคงสภาพคล่องไว้ในตลาด และ (2) ลดอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางให้กู้ยืมแก่ธนาคารพาณิชย์ลง 0.25% ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ลงได้ 1.5-2 หมื่นล้านหยวนต่อปี รวมทั้ง (3) ลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อที่อยู่อาศัยส่วนบุคคลลง 0.25% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อสำหรับบ้านหลังแรกในช่วง 5 ปีแรก ลดจาก 2.85% ลงมาอยู่ที่ 2.6% มาตรการนี้จะช่วยให้ประชาชนที่ต้องการที่อยู่อาศัยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยได้มากกว่า 2 หมื่นล้านหยวนต่อปี และยังช่วยพยุงตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้มีเสถียรภาพมากขึ้น

สำหรับเครื่องมือนโยบายทางการเงินที่นำมาใช้เสริมในการปรับโครงสร้าง ประกอบด้วย (1) การลดอัตราดอกเบี้ยให้กู้ยืมโดยธนาคารกลางแก่สถาบันการเงินเพื่อนำไปปล่อยกู้ต่อ (Relending) ลง 0.25% จาก 1.75% เหลือ 1.5% และการลดอัตราดอกเบี้ยให้กู้ยืมโดยธนาคารกลางแก่สถาบันการเงินแบบมีข้อผูกมัด (Pledged Supplementary Lending) จาก 2.25% ลงเหลือ 2% และ (2) การตั้งงบให้กู้ยืมจำนวน 5 แสนล้านหยวน เพื่อกระตุ้นการบริโภคในภาคบริการและยกระดับการดูแลผู้สูงอายุ และ (3) การเพิ่มวงเงินกู้ในภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจาก 5 แสนล้านหยวน เป็น 8 แสนล้านหยวน เพื่อสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้เกิดการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ทันสมัยและเพิ่มการใช้สอยสินค้าเพื่อการบริโภค รวมถึงการเพิ่มวงเงินกู้เพื่อสนับสนุนภาคเกษตรและธุรกิจขนาดเล็กอีกจำนวน 3 แสนล้านหยวน ทำให้วงเงินสินเชื่อที่ให้แก่สถาบันการเงินเพื่อนำไปปล่อยกู้ต่อ มียอดรวมอยู่ที่ 3 ล้านล้านหยวน

นโยบายข้างต้น ยังไม่นับรวมการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดทุน และการผ่อนคลายกฎระเบียบการซื้อหุ้นคืนและการเพิ่มการถือครองหุ้นของบริษัทจดทะเบียน เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพในตลาดหุ้น ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีนแผ่นดินใหญ่ (A-share) ส่วนใหญ่ที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้มีการปรับตัวรับมือตั้งแต่การขึ้นภาษีการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ในสมัยแรก ทำให้ปัจจุบัน 91% ของบริษัทจีนในตลาด A-share มียอดส่งออกไปสหรัฐฯ รวมกันแล้วน้อยกว่า 10% ของยอดรายได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ดี ชุดนโยบายที่จีนประกาศออกมา ยังออกไปในทางรับมือกับสถานการณ์ มากกว่าที่จะเป็นการตอบโต้ในเชิงรุก เพราะจีนทราบดีว่า นอกจากปัจจัยภายนอกที่มาจากประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ จีนยังคงเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจในประเทศที่สำคัญ ตั้งแต่วิกฤตการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ฟื้นตัว ปัญหาการระบายอุปทานส่วนเกินในภาคผลิต การว่างงานของแรงงานจบใหม่ และการบริโภคที่หดตัว

การกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ จึงเป็นวาระสำคัญที่ต้องดำเนินการ โดยในปีที่ผ่านมา (ค.ศ. 2024) จีนได้ลงทุนเป็นจำนวน 2.9 ล้านล้านหยวน ไปกับการฟื้นฟูเมือง (Urban Renewal) กว่า 6 หมื่นโครงการ และในปีนี้ กระทรวงการคลังจีน ได้ตั้งงบประมาณในการฟื้นฟู 20 เมืองใหญ่ โดยในพื้นที่ภาคตะวันตกจะได้รับเงินอุดหนุน 1.2 พันล้านหยวนต่อแห่ง ภาคกลางจะได้รับ 1 พันล้านหยวนต่อแห่ง และในภาคตะวันออกจะได้รับ 800 ล้านหยวนต่อแห่ง

เครื่องยนต์เศรษฐกิจจีน ทั้งการใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนของเอกชนในภาคผลิต ยังคงทำงานได้ตามศักยภาพ แต่เครื่องยนต์ที่เป็นการบริโภคของประชาชน และการรักษามูลค่าการส่งออก จะเป็นโจทย์ใหญ่ของจีนในกระดานเศรษฐกิจโลกที่ต้องใช้การเดินเกมรุกมากกว่าการตั้งรับ ซึ่งจะขอยกไปนำเสนอเป็นตอนต่อไป


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Monday, May 05, 2025

สหรัฐฯ กำลังวางหมากปรับสมดุลเศรษฐกิจโลก

จะเห็นว่า แนวทางที่สหรัฐฯ ใช้ในการจำกัดการขาดดุลการค้า การเลือกอุตสาหกรรมที่จะลงทุน และการลดการพึ่งพาจากภายนอกประเทศนั้น ไปสอดรับกับปรัชญาของความพอเพียง

ผ่านไป 100 วัน ภายใต้การบริหารของรัฐบาลทรัมป์ ทำให้โลกได้เห็นทั้งทิศทางและท่าทีที่สหรัฐฯ ยังต้องการกุมความเป็นผู้นำโลก ผ่านนโยบายสำคัญทางเศรษฐกิจหลายชุด เริ่มจากนโยบายควบคุมรายจ่าย ด้วยการปรับลดงบประมาณภาครัฐในส่วนที่ขาดประสิทธิภาพ ที่ไม่ตอบโจทย์การดำเนินงานของรัฐบาลกลาง (เช่น เรื่องโลกร้อน) และที่ไปอุดหนุนกิจกรรมนอกประเทศโดยไม่เกิดประโยชน์ต่อชาวอเมริกันโดยรวม


ในส่วนของนโยบายหารายได้ ที่ทำให้นานาประเทศสะเทือนกันถ้วนหน้า คือ การเก็บภาษีการค้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ตั้งแต่อัตรา 10% - 145% เพื่อต้องการลดตัวเลขขาดดุลการค้าจำนวน 1.2 ล้านล้านเหรียญ โดยได้มีการเปิดโต๊ะเจรจากับประเทศคู่ค้าเป้าหมายกลุ่มแรกแล้ว จำนวน 17 ประเทศ

ตามมาด้วยนโยบายเพิ่มการลงทุนในประเทศ ที่เพิ่งมีการแถลงตัวเลขยอดรวมการลงทุนไปเมื่อวันพุธ (30 เม.ย.) ในจำนวน 8 ล้านล้านเหรียญ ที่ภาคเอกชนรับปากว่าจะดำเนินการ นำโดย SoftBank (ร่วมกับ Oracle และ OpenAI) ที่ 7 แสนล้านเหรียญ NVIDIA ที่ 5 แสนล้านเหรียญ และ Apple ที่ 5 แสนล้านเหรียญ

และที่จะผลักดันให้สภาเห็นชอบในเดือนกรกฎาคมนี้ คือ นโยบายเพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชน ด้วยการลดภาษีเงินได้ รวมทั้งการยกเว้นภาษีเงินล่วงเวลา (Overtime) เงินพิเศษ (Tip) และเงินสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ ที่รัฐบาลทรัมป์เปิดเผยว่า จะช่วยเพิ่มมูลค่าที่แท้จริงของค่าจ้าง (อำนาจการซื้อที่เพิ่มขึ้น) ได้สูงสุด 3,300 เหรียญต่อปี และช่วยเพิ่มค่าจ้างสุทธิ (หลังหักภาษีเงินสะสมหรือรายการอื่นตามกฎหมาย) ได้สูงสุด 5,000 เหรียญต่อปี ซึ่งมีผลให้มูลค่าจีดีพีตามราคาคงที่ (Real GDP) ในระยะสั้นจะเพิ่มขึ้น 3.3-3.8% และในระยะยาวจะเพิ่มขึ้น 2.6-3.2%

นโยบายทั้งหลายที่ผลักดันออกมานั้น เป็นไปเพื่อการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ต้องรักษาอำนาจซื้อของภาคครัวเรือน (C) เพิ่มยอดการลงทุนภาคเอกชน (I) กำกับดูแลรายจ่ายภาครัฐ (G) ที่มียอดหนี้สะสมอยู่ราว 36 ล้านล้านเหรียญ และลดตัวเลขขาดดุลการค้า (X-M)

ทั้งนี้ หากมองไปที่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จำเป็นต้องดำเนินการ และเป็นแนวทางเดียวกันกับที่รัฐบาลทรัมป์กำลังดำเนินการ คือ ความพยายามที่จะเพิ่มปริมาณการผลิต ให้ทันหรือมากกว่าปริมาณการบริโภค (ซึ่งหากไม่สำเร็จ ก็จำเป็นต้องทำในทางตรงข้าม คือ ลดปริมาณการบริโภค ให้ไม่เกินกว่าปริมาณที่ผลิตได้) ถ้าจะว่าไปแล้ว เทียบได้กับการมีความพอประมาณในการผลิตและการบริโภค ด้วยการทำให้มีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน

ขณะที่ ความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ในการย้ายฐานการผลิตกลับมาอยู่ในประเทศ ด้วยเหตุผลของความมั่นคงทางเศรษฐกิจว่าเป็นความมั่นคงของประเทศด้วย ก็เป็นเพราะเห็นความเสี่ยงของการที่สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาห่วงโซ่การผลิตโลก (โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์) ที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งการดำเนินการในลักษณะนี้ คือ การสร้างภาวะคุ้มกันในตัวทั้งในทางเศรษฐกิจและในทางความมั่นคงของประเทศ ด้วยการพึ่งพาผู้ผลิตในประเทศ (หรือบริโภคในสิ่งที่ผลิตได้เอง) ให้มากขึ้น

ส่วนการคัดเลือกอุตสาหกรรมเป้าหมายสำหรับผลิตในประเทศ อาทิ กลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง กลุ่มเภสัชภัณฑ์ กลุ่มยานยนต์ ฯลฯ ที่ต้องสอดคล้องกับทักษะด้านแรงงาน การสร้างมูลค่าเพิ่ม และขีดความสามารถทางการแข่งขัน ชี้ให้เห็นถึงการพิจารณาทางเลือกของรัฐบาลทรัมป์ต่อการเชิญชวนภาคเอกชนให้เข้ามาลงทุนตั้งหรือขยายฐานการผลิตเฉพาะในบางอุตสาหกรรมอย่างมีเหตุผล ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีโรงเรือนและเครื่องจักรอุปกรณ์ การใช้นโยบายพลังงานราคาต่ำ การให้สิทธิในการผลิตพลังงานไฟฟ้าใช้เอง รวมถึงการผ่อนปรนกฎระเบียบ และการออกใบอนุญาตแบบรวดเร็ว เป็นต้น

หลักการที่รัฐบาลทรัมป์ใช้ดำเนินการ เพื่อต้องการปรับสมดุลระหว่างกิจกรรมการผลิตและการบริโภค โดยมุ่งหมายให้เกิดความยั่งยืนทางเศรษฐกิจของโลกโดยรวม เพราะเล็งเห็นแล้วว่า สหรัฐฯ ได้กลายเป็นประเทศผู้บริโภครายใหญ่สุดของโลก ด้วยยอดการนำเข้าสินค้าที่สูงถึง 3.36 ล้านล้านเหรียญต่อปี (ขาดดุลอยู่ 1.2 ล้านล้านเหรียญ) ขณะที่จีน ได้กลายเป็นประเทศผู้ผลิตเพื่อส่งออกที่ใหญ่สุดในโลก ด้วยยอดการส่งออกสินค้าที่สูงถึง 3.58 ล้านล้านเหรียญต่อปี (เกินดุลอยู่ 9.92 แสนล้านเหรียญ) ซึ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เศรษฐกิจโลกจะไร้ความยั่งยืน และอาจล่มสลายได้ในที่สุด (เมื่อผู้บริโภคซื้อต่อไปเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ผู้ผลิตก็ขายต่อไปเหมือนเดิมไม่ได้เช่นกัน)

ฉะนั้น การแก้ปัญหาในทางตัวเลขดุลการค้า สหรัฐฯ ในฐานะผู้บริโภครายใหญ่ จึงต้องลดการขาดดุล (ด้วยการผลิตเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น) ขณะที่ จีน ในฐานะผู้ผลิตรายใหญ่ จำต้องลดการเกินดุล (ด้วยการนำเข้าเพื่อบริโภคเพิ่มขึ้น) จึงจะทำให้เกิดความสมดุลทางการค้าโลกอย่างที่ควรจะเป็น

โดยสรุป ขั้นตอนที่รัฐบาลทรัมป์กำลังทำอยู่ในเวลานี้ สำหรับเรื่องภาษีการค้า หลัก ๆ คือ การจำกัดยอดการส่งออกของจีนมายังสหรัฐฯ ส่วนรายรับที่ได้จากการเก็บภาษีนำเข้า (ทั้งจากจีนและประเทศอื่น) จะนำมาชดเชยรายได้รัฐในส่วนที่หายไปจากการลดและยกเว้นภาษีให้คนในประเทศ ตามมาตรการปฏิรูปภาษีเพื่อเพิ่มอำนาจซื้อในภาคครัวเรือน

สำหรับเรื่องการส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน จะทำในรายอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมาย โดยใช้นโยบายการผ่อนคลายกฎระเบียบ การลดรายจ่ายการลงทุน (เช่น การลดหย่อนภาษีสิ่งปลูกสร้างได้ 100%) รวมถึงรายจ่ายดำเนินงานในบางรายการ (เช่น แผนการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลอัตราเดียวจาก 21% เหลือ 15%) ก็เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มยอดการส่งออก (และลดพึ่งพาการนำเข้าเพื่อบริโภค)

จะเห็นว่า แนวทางที่สหรัฐฯ ใช้ในการจำกัดการขาดดุลการค้า การเลือกอุตสาหกรรมที่จะลงทุน และการลดการพึ่งพาจากภายนอกประเทศนั้น ไปสอดรับกับปรัชญาของความพอเพียง ทั้งในแง่ของความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ซึ่งได้สะท้อนอยู่ในสถานการณ์อันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อทางเศรษฐกิจที่โลกกำลังเผชิญอยู่

การปรับสมดุลเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ จะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อจีน เห็นปัญหาอย่างเดียวกัน และตกลงที่จะร่วมมือดำเนินการ แม้จะอยู่คนละฟากของกระดานก็ตาม


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, April 19, 2025

อ่านทาง ทีมนโยบายเศรษฐกิจ 'ทรัมป์'

จากสัญญาณที่ทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งนำโดย สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ฮาวเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สื่อสารออกมาให้เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปนั้น นโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ ประกอบด้วยเรื่อง พิกัดอัตราภาษี (Tariffs) การปฏิรูปภาษี (Tax Cuts) และการลดกฎเกณฑ์ (Deregulation) เพื่อจุดหมายในการลดหนี้ที่มีอยู่ราว 36 ล้านล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 123% ของจีดีพี


ในแผนระยะที่หนึ่งซึ่งรัฐบาลทรัมป์ ได้ดำเนินการแล้ว คือ การวางแนวทางเพิ่มรายได้จากการเก็บภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) และการทยอยลดรายจ่ายในภาครัฐด้วยการยุบหน่วยงาน ลดบุคลากร ตัดงบประมาณ ฯลฯ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลบวกต่อภาวะเงินเฟ้อ และไม่ไปกระทบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการลดภาษีในแผนระยะที่สอง จะช่วยให้ประชาชนมีเงินเหลือในการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการผ่อนคลายกฎระเบียบในแผนระยะที่สาม จะช่วยเร่งการเติบโตในภาคการผลิต ซึ่งไปเพิ่มโอกาสการจ้างงานของภาคเอกชน (ที่ช่วยชดเชยการเลิกจ้างในภาครัฐด้วย)

แม้นโยบายการเก็บภาษีต่างตอบแทน จะถูกมองเป็นสัญญาณลบต่อเศรษฐกิจโลก และผลักให้นานาประเทศอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเจรจา ทีมเศรษฐกิจทรัมป์ ประเมินแล้วว่า ประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ จะไม่กล้าผลีผลามเพิกเฉยข้อเสนอเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยตามข่าวระบุว่า ไทยก็อยู่ในกลุ่ม 14 ประเทศแรกที่สหรัฐฯ หวังว่าจะบรรลุข้อตกลงระหว่างกันได้ในกรอบระยะเวลา 90 วัน ที่มาตรการภาษีดังกล่าวถูกพักการบังคับใช้ชั่วคราว

เป็นที่รับรู้กันว่า หัวข้อการค้าหลักที่อยู่หน้าโต๊ะเจรจา คือ 1) เพิ่มยอดซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพื่อลดตัวเลขขาดดุล และ 2) เพิ่มการลงทุนตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ เพื่อไม่ให้ถูกเรียกเก็บภาษี (และยังจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีการลงทุนเพิ่มตามแผนระยะที่สอง) ขณะที่หนึ่งในข้อเรียกร้องที่น่าจะอยู่หลังโต๊ะเจรจา คือ มาตรการจำกัดวงล้อมจีนในทางเศรษฐกิจ โดยไม่ให้จีนส่งออกสินค้าผ่านประเทศคู่ค้าซึ่งต้องการบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ที่จะได้รับยกเว้นภาษีต่างตอบแทน

เรียกว่า สหรัฐฯ ใช้วิธียืมมือประเทศคู่ค้าตีกรอบล้อม (Contain) จีน มิให้ใช้ประเทศที่สามเป็นทางผ่านส่งออกสินค้ามายังตลาดสหรัฐฯ เพื่อให้กำแพงภาษีที่มีต่อจีน ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ (ส่วนสินค้าจีนจะทะลักสู่ตลาดของประเทศคู่ค้าหรือไม่นั้น ไม่ใช่ปัญหาของสหรัฐฯ)

ในแง่ของตลาดสินค้าในสหรัฐฯ แน่นอนว่า นโยบายการเก็บภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้านำเข้าที่วางจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯ ทำให้ผู้บริโภคต้องแบกรับราคาที่เพิ่มขึ้น (หรือไม่ก็จำต้องบริโภคน้อยลงหรือหยุดการบริโภคสินค้านั้น ๆ เลย) และยังทำให้มีตัวเลือกสินค้าในตลาดลดลง (เพราะผู้นำเข้า ไม่นำเข้าสินค้า ด้วยกังวลว่าจะขายไม่ได้) รวมทั้งมีโอกาสที่ทำให้สินค้าเดียวกันที่ผลิตในประเทศขึ้นราคาโดยผู้ขายที่ฉวยประโยชน์แบบกินเปล่า (Freeloader)

ในแง่ตลาดเงิน หากนานาประเทศเริ่มขาดความไว้เนื้อเชื่อใจต่อสหรัฐฯ จะทยอยลดการถือครองสกุลเงินดอลลาร์ เพื่อลดความเสี่ยง ผลที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้น คือ การเทขายสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ไปกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า ซึ่งก็ตรงตามเป้าหมายของทีมเศรษฐกิจทรัมป์ที่ต้องการให้สินค้าส่งออกของสหรัฐฯ ในตลาดโลก มีราคาที่ถูกลง และสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น โดยหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมาแข็งแกร่งจากการผลิตที่ทำรายได้เข้าประเทศ (ไม่ใช่เติบโตด้วยการบริโภคและก่อหนี้) ในระยะยาว ประเทศต่าง ๆ ยังคงต้องรักษาการถือครองสกุลเงินดอลลาร์เป็นทุนสำรองอยู่เหมือนเดิม

ในแง่ตลาดตราสารหนี้ ทีมเศรษฐกิจทรัมป์ เชื่อว่า ไม่มีประเทศใดที่ต้องการทำลายเสถียรภาพในตลาดพันธบัตร ซึ่งเป็นที่พักพิง (Safe Haven) หรือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ปลอดภัยของผู้ลงทุน เพียงเพื่อหวังผลทางการเมือง แม้กระทั่งชาติมหาอำนาจที่เป็นคู่แข่งสำคัญอย่างประเทศจีน เพราะการเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ ทิ้ง เท่ากับว่าจีนได้เงินสกุลดอลลาร์เพิ่ม ซึ่งหากไม่อยากถือเงินดอลลาร์ไว้ จีนก็ต้องขายดอลลาร์และถือเป็นเงินสกุลหยวน ก็ยิ่งทำให้เงินหยวนแข็งค่า ซึ่งไปสวนทางกับนโยบายที่จีนต้องการ จึงไม่เห็นว่าการที่จีนจะเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ ทิ้งในเวลานี้ จะมีประโยชน์ใด ๆ ในทางเศรษฐกิจต่อจีนเอง

สำหรับตลาดตราสารทุน ทีมเศรษฐกิจทรัมป์นั้น ให้ความสำคัญกับ Mainstreet (ที่เป็นภาคเศรษฐกิจจริง) มาก่อน Wallstreet (ที่เป็นภาคการเงิน) เพราะเชื่อว่า ในระยะยาว หากภาคเศรษฐกิจหรือภาคการผลิตจริงมีความแข็งแกร่ง ย่อมจะส่งผลสู่ภาคการเงินในทิศทางเดียวกัน แม้ในระยะสั้น ตลาดทุนอาจจะมีความผันผวนสูง จากผลสะท้อนของมาตรการต่าง ๆ ที่ทีมเศรษฐกิจทรัมป์ นำมาใช้ในแต่ละช่วง

อันที่จริง ทีมเศรษฐกิจทรัมป์ อาจมีความต้องการที่เลยไปถึงการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยี (Tech Sector) ที่ได้อานิสงส์จากค่าแรงต่ำและชิ้นส่วนราคาถูกจากนอกประเทศมาเป็นเวลานาน ทำให้บริษัทเหล่านี้ได้กำไรจากส่วนต่างเป็นจำนวนมหาศาล จนสามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นและผู้บริหารอย่างเป็นกอบเป็นกำ

การดึงบริษัทเหล่านี้กลับมาตั้งฐานการผลิตในประเทศ (Reshoring) จะช่วยให้เกิดการปรับการกระจายรายได้ (Redistribution of Income) กลับไปสู่ผู้ส่งมอบและแรงงานภายในประเทศ จากการจ้างงานและการซื้อในห่วงโซ่อุปทานที่ผู้ประกอบการและพลเมืองสหรัฐฯ ได้ประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการปรับโครงสร้างดังกล่าว

อย่างไรก็ดี การปรับโครงสร้างธุรกิจในแนวทางนี้ มิใช่เรื่องง่าย เพราะจะเจอแรงเสียดทานทั้งจากบริษัทที่ไม่ต้องการมีต้นทุนเพิ่มหรือมีการจัดสรรรายได้ในทางที่ทำให้กำไรของกิจการลดลง และจากผู้ลงทุนที่ต้องการตัวเลขผลตอบแทนสูง ๆ รวมทั้งจากผู้บริโภคที่ไม่ต้องการให้สินค้าเดิมที่เคยซื้อมีราคาแพงขึ้น

ต้องติดตามว่า ระหว่างเวลาที่รอให้นโยบายเศรษฐกิจส่งผล กับเวลาที่รัฐบาลทรัมป์มีเหลือในการทำงาน อันแรกจะเกิดขึ้นก่อนหรืออันหลังจะหมดก่อน


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, April 05, 2025

รู้ทันนโยบายภาษีทรัมป์ ?

การลงนามคำสั่งของฝ่ายบริหารโดยประธานาธิบดีทรัมป์ ต่อการใช้นโยบายภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) เพื่อหวังจะลดการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐอเมริกาจำนวน 1.2 ล้านล้านเหรียญ (ตัวเลขปี ค.ศ. 2024) ได้สร้างความกังวลให้กับประเทศคู่ค้าที่มีตัวเลขการค้าเกินดุล รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งมีตัวเลขการค้าเกินดุลอยู่ในอันดับ 8 ที่จำนวน 4.56 หมื่นล้านเหรียญ (คิดเป็น 3.8% ของยอดขาดดุลรวมของสหรัฐฯ)


สำหรับประเทศไทย สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทนไว้ที่ 36% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 เป็นต้นไป

ตัวเลขดังกล่าวมาจาก การนำยอดขาดดุลการค้ากับไทย (4.56 หมื่นล้านเหรียญ) หารด้วยยอดนำเข้าสินค้าจากไทยทั้งหมด (6.33 หมื่นล้านเหรียญ) ซึ่งเท่ากับ 72% และ สหรัฐฯ เรียกเก็บครึ่งเดียว จึงเท่ากับ 36%

ตามข่าว มีการประเมินว่า ไทยจะมีมูลค่าความเสียหายอยู่ราว 8 แสนล้านบาท (ซึ่งไม่ใช่ตัวเลขจริง) ตัวเลขนี้น่าจะมาจากการนำยอดส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ (6.33 หมื่นล้านเหรียญ) คูณกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทนที่สหรัฐฯ จะจัดเก็บ (ในอัตรา 36%)

ในความเป็นจริง อัตราภาษี 36% เป็นภาษีนำเข้า เรียกเก็บจากผู้นำเข้าสินค้าจากไทย (ซึ่งอยู่ในสหรัฐฯ) มิได้เก็บจากผู้ประกอบการไทยที่เป็นผู้ส่งออก หมายความว่า เดิมสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ มีราคา 100 บาท ภายใต้นโยบายภาษีต่างตอบแทนนี้ รัฐบาลทรัมป์จะได้ค่าภาษี 36 บาท เพื่อชดเชยการขาดดุล ขณะที่ผู้นำเข้าจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 36 บาท และจะผลักต้นทุนนี้ไปยังผู้ซื้อหรือผู้บริโภค ทำให้สินค้าไทยที่จำหน่ายในสหรัฐฯ มีราคาแพงขึ้น (ซึ่งก็เป็นเป้าหมายของรัฐบาลทรัมป์ ที่ต้องการให้สินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ มีราคาที่สามารถแข่งขันได้เมื่อเทียบกับสินค้านำเข้า)

แต่ในหลักเศรษฐศาสตร์ เรื่องอุปสงค์-อุปทาน ความต้องการซื้อสินค้า มิได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านราคาอย่างเดียว ยังมีปัจจัยอื่นที่ใช้ตัดสินใจซื้อ อาทิ คุณภาพ ความชอบ หรือตราสินค้า ดังนั้น การเก็บภาษีต่างตอบแทน มิได้เป็นปัจจัยที่ทำให้สินค้านำเข้าขายไม่ได้เลย และที่สำคัญผู้ซื้อหรือผู้บริโภคในสหรัฐฯ ต่างหากที่เป็นผู้จ่ายภาษีดังกล่าวให้รัฐบาลตนเอง (กรณีนี้ ผู้ประกอบการไทยยังส่งออกสินค้าได้ไม่ต่างจากเดิม เพราะอุปสงค์ยังคงอยู่)

ยิ่งถ้าเป็นสินค้าขั้นกลางหรือเป็นวัสดุชิ้นส่วนเพื่อใช้ประกอบการผลิต ที่มิใช่สินค้าสำเร็จรูป (finished goods) ยังมีปัจจัยเพิ่มเติมเรื่องสายการผลิตและการปรับแต่งกรรมวิธีการผลิต หากต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้ส่งมอบที่มิใช่ผู้นำเข้าสินค้ารายเดิม

ผลที่ตามมาอีกเรื่องหนึ่ง หากสินค้าโดยรวม ยกแผงกันขยับราคาขึ้น (โดยผู้ผลิตในสหรัฐฯ ร่วมวงขึ้นด้วย เพราะธุรกิจย่อมแสวงหากำไรเพิ่มเท่าที่ทำได้) ในขณะที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเท่าเดิม จะกดดันให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น แม้จะมิได้มีการพิมพ์เงินใหม่เติมเข้าในระบบเศรษฐกิจก็ตาม

ใช่ว่ารัฐบาลทรัมป์จะไม่ทราบข้อเท็จจริงนี้ จึงมีผู้วิเคราะห์ว่า การประกาศใช้นโยบายภาษีต่างตอบแทน จุดประสงค์ที่แท้จริง คือ ต้องการให้แต่ละประเทศคู่ค้าเข้ามาเจรจาเพื่อปรับสมดุลทางการค้าระหว่างกัน โดย 1) เสนอซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มเติมให้เท่าหรือใกล้เคียงกับยอดที่สหรัฐฯ ขาดดุลอยู่ และ 2) เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการไม่ถูกเรียกเก็บภาษีต่างตอบแทนดังกล่าว (รัฐบาลทรัมป์เองก็ไม่อยากให้พลเมืองของตนเป็นผู้จ่าย)

ทั้งการซื้อเพิ่มและการลงทุนใหม่จากประเทศคู่ค้า เป็นกลวิธีที่สหรัฐฯ ใช้ลดการขาดดุลการค้าของจริง มิใช่ภาษีต่างตอบแทน ที่สหรัฐฯ นำมาใช้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับเปิดการเจรจา (ซึ่งสหรัฐฯ เชื่อว่า จะมีหลายประเทศ ยอมดำเนินตาม)

นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังมีอีกหนึ่งแนวคิดที่สอดรับกับการใช้นโยบายภาษีต่างตอบแทน คือ การจัดตั้งหน่วยงานสรรพากรเพื่อจัดเก็บรายได้จากนอกประเทศ (External Revenue Service: ERS) ซึ่งมาจากจุดที่ว่า ไม่เพียงแต่ขนาดจีดีพีของประเทศที่ 29 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งใหญ่สุดในโลก สหรัฐฯ ยังมีมูลค่าการบริโภคสูงถึง 20 ล้านล้านเหรียญต่อปี เป็นผู้ซื้อใหญ่สุดในโลก ฉะนั้น ประเทศใดที่ต้องการขายสินค้าให้สหรัฐฯ จากนี้ไป ต้องสมัครเป็นประเทศสมาชิกคู่ค้า และมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสมาชิก (membership fee) โดยจะมอบหมายให้หน่วยงาน ERS เป็นผู้จัดเก็บ

วิธีนี้ เป็นการลบข้อจำกัดของนโยบายภาษีต่างตอบแทนที่โดยโครงสร้างแล้ว ผู้ซื้อในประเทศเป็นผู้จ่ายภาษี แต่เมื่อเป็นค่าธรรมเนียมสมาชิก ตามการออกแบบ ผู้ขายนอกประเทศจะเป็นผู้จ่ายค่าธรรมเนียม ซึ่งโดยหลักการ (ที่คาดว่าจะให้รัฐบาลประเทศสมาชิกเป็นผู้จ่าย) จะไม่ทำให้ต้นทุนสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้น เหมือนในกรณีของภาษีต่างตอบแทน

แต่ในทางปฏิบัติ รัฐบาลของแต่ละประเทศจะต้องเรียกเก็บค่าสมาชิกจากกลุ่มผู้ส่งออกสินค้า เพราะไม่ต้องการนำภาษีประชาชนมาอุดหนุนธุรกิจเฉพาะกลุ่ม ทำให้ท้ายที่สุด ผู้ส่งออกต้องบวกค่าธรรมเนียมสมาชิกเข้าเป็นต้นทุนค่าสินค้าที่ส่งออกอยู่ดี

โดยหากแนวคิดนี้ ถูกนำมาใช้เป็นนโยบายจริง เราจะได้เห็นการรวมกลุ่มการค้าที่จะมีขนาดใหญ่สุดของโลก จากนานาประเทศที่ไม่ต้องการพึ่งพาค้าขายกับสหรัฐฯ ที่แม้จะเป็นประเทศผู้ซื้อใหญ่สุดในโลกก็จริง แต่ก็มีขนาดเพียง 1 ใน 4 ของมูลค่าการบริโภคทั้งโลกต่อปี เมื่อคำนวณจากขนาดจีดีพีโลกที่ 110 ล้านล้านเหรียญ


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]