Saturday, February 08, 2025

ข้อมูลความยั่งยืน มีสองเวอร์ชัน

องค์กรที่มีความคุ้นเคยกับการประเมินสาระสองนัย หรือทวิสารัตถภาพอยู่แล้ว จะนิยมใช้มาตรฐาน IFRS ควบคู่กับมาตรฐาน GRI เพื่อให้ข้อมูลความยั่งยืนในทั้งสองเวอร์ชัน

ก่อนที่จะเข้าใจเรื่องความแตกต่างของข้อมูลความยั่งยืนที่ภาคธุรกิจมีการเปิดเผยกันอยู่ในเวลานี้ เราในฐานะผู้ใช้ข้อมูลความยั่งยืนดังกล่าว ควรต้องทราบความแตกต่างระหว่างรายงานทางการเงิน (Financial Statement) รายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน (Sustainability-related Financial Disclosure) และรายงานความยั่งยืน (Sustainability Report) เป็นพื้นฐานก่อน

รายงานทางการเงิน หรืองบการเงิน เป็นการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ หนี้สิน ทุน รายรับ และรายจ่ายของกิจการ ในรอบระยะเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินกิจการที่ผ่านมาแล้วในอดีต

รายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน เป็นการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่อยู่นอกเหนือข้อมูลที่ปรากฏในงบการเงิน ซึ่งช่วยให้ผู้มีส่วนได้เสียเห็นภาพรวมของปัจจัยความยั่งยืนอันส่งผลทางการเงิน (Financial Effect) ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยปัจจัยดังกล่าวเป็นได้ทั้งความเสี่ยงและโอกาสของกิจการ (เป็นข้อมูลความยั่งยืนฝั่งขาเข้า หรือ Outside-in)

รายงานความยั่งยืน เป็นการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลกระทบอันเกิดจากการดำเนินงานของกิจการ ที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (เป็นข้อมูลความยั่งยืนฝั่งขาออก หรือ Inside-out)

สารัตถภาพหรือความเป็นสาระสำคัญ (Materiality) ของข้อมูลในงบการเงิน และในรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ต่างกันตรงที่ ประการแรก หากกิจการเห็นว่ามีความเสี่ยงและโอกาสที่สามารถส่งผลทางการเงิน จะถือว่าข้อมูลนั้นมีสาระสำคัญที่ต้องเปิดเผยในรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ขณะที่ข้อมูลชุดเดียวกันนั้น ยังไม่ถือว่าเข้าเกณฑ์สาระสำคัญที่ต้องเปิดเผยในงบการเงิน (เพราะเหตุการณ์นั้น ๆ ยังไม่ได้เกิดขึ้น)

ความแตกต่างประการที่สอง คือ ความเสี่ยงและโอกาสที่สามารถส่งผลทางการเงินต่อกิจการ อาจเกิดขึ้นโดยความสัมพันธ์ทางธุรกิจ เช่น จากคู่ค้าในห่วงโซ่คุณค่าทั้งฝั่งต้นน้ำและฝั่งปลายน้ำ ที่ยังคงนับว่าข้อมูลนั้นมีสาระสำคัญที่ต้องเปิดเผยในรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ขณะที่ข้อมูลชุดเดียวกันนั้น ไม่ถือว่าเข้าเกณฑ์สาระสำคัญที่ต้องเปิดเผยในงบการเงิน (เพราะไม่ใช่ข้อมูลที่เกี่ยวกับกิจการ)

ข้อมูลความเสี่ยงและโอกาสที่สามารถส่งผลทางการเงินต่อกิจการ และมีสาระสำคัญที่ต้องเปิดเผยในรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน รวมเรียกว่า ข้อมูลที่มี “สารัตถภาพเชิงการเงิน” (Financial Materiality)

ส่วนข้อมูลซึ่งเกี่ยวข้องกับผลกระทบที่เกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของกิจการ ทั้งจากสถานประกอบการที่กิจการเป็นเจ้าของหรือมีอำนาจควบคุม จากห่วงโซ่คุณค่าทั้งฝั่งต้นน้ำและฝั่งปลายน้ำ จากผลิตภัณฑ์และบริการ ตลอดถึงจากความสัมพันธ์ทางธุรกิจ จะถือว่ามีสาระสำคัญเมื่อพิจารณาจากเกณฑ์ความรุนแรง (Severity) ที่ส่งผลต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม โดยที่มีกิจการเป็นต้นเหตุ (Caused) มีส่วนสนับสนุน (Contribute) หรือเกี่ยวโยงโดยตรง (Directly linked)

ข้อมูลผลกระทบที่เกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของกิจการ และมีสาระสำคัญที่ต้องเปิดเผยในรายงานความยั่งยืน เรียกว่า ข้อมูลที่มี “สารัตถภาพเชิงผลกระทบ” (Impact Materiality)

ผลกระทบที่เกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของกิจการ ยังสามารถเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงและโอกาสของกิจการที่มีสาระสำคัญซึ่งสามารถส่งผลกระทบทางการเงินได้อีกทอดหนึ่ง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น กิจการจะต้องเปิดเผยความเสี่ยงและโอกาสที่เกิดจากผลกระทบดังกล่าวในรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนด้วย

การวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยง (Risks) และโอกาส (Opportunities) ที่สามารถส่งผลทางการเงินต่อกิจการ ควบคู่กับข้อมูลผลกระทบ (Impacts) ที่เกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของกิจการ เพื่อประเมินความเป็นสาระสำคัญของข้อมูลสำหรับการรายงาน เรียกว่า สาระสำคัญสองนัย (Double Materiality) หรือใช้ในอีกชื่อหนึ่งว่า “ทวิสารัตถภาพ”

ทวิสารัตถภาพ เป็นหลักการที่ถูกบรรจุอยู่ในมาตรฐานระหว่างประเทศ อาทิ มาตรฐาน ESRS (European Sustainability Reporting Standards) ที่กำหนดให้กิจการซึ่งอยู่ในข่าย ต้องดำเนินการประเมินประเด็นที่เป็นสาระสำคัญทั้งนัยทางการเงินและนัยของผลกระทบ โดยไม่ต้องการให้จำกัดเฉพาะการประเมินสารัตถภาพที่คำนึงถึงแต่ตัวกิจการเพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้ เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งความยั่งยืนของกิจการผ่านตัวชี้วัดที่ส่งผลทางการเงิน และความยั่งยืนของส่วนรวมผ่านตัวชี้วัดที่ส่งผลกระทบสู่ภายนอก ควบคู่ไปพร้อมกัน


ภูมิทัศน์ของการรายงานที่มุ่งเน้นผู้ลงทุน กับการรายงานที่มุ่งเน้นผู้มีส่วนได้เสีย

สำหรับองค์กรที่มีความคุ้นเคยกับการประเมินสาระสองนัย หรือทวิสารัตถภาพอยู่แล้ว จะนิยมใช้มาตรฐาน IFRS (International Financial Reporting Standards) สำหรับอ้างอิงการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนที่เป็นความเสี่ยงและโอกาสทางการเงินในรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน และใช้มาตรฐาน GRI (Global Reporting Initiative) สำหรับอ้างอิงการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนที่เป็นผลกระทบจากการดำเนินงานของกิจการในรายงานความยั่งยืน


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, January 25, 2025

แก้ไขโลกรวน อย่าให้เป็นเรื่องจวนตัว

เป็นที่ทราบกันดีว่า ประชาคมโลกได้เห็นพ้องร่วมกันตามความตกลงปารีส ที่จะรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิค่าเฉลี่ยโลกให้ต่ำกว่า 1.5 °C (เทียบกับระดับอุณหภูมิยุคก่อนอุตสาหกรรม) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

จากข้อมูลสภาพภูมิอากาศซึ่งเก็บจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ 6 แหล่ง พบว่า ปี ค.ศ. 2024 อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกได้เพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ 1.55 °C (± 0.13 °C) เกินกว่าระดับอุณหภูมิยุคก่อนอุตสาหกรรมเป็นปีแรก และเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

แม้การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่สูงกว่า 1.5 °C ในปี ค.ศ. 2024 ยังมิใช่เครื่องชี้ว่า เป้าหมายตามความตกลงปารีสได้ถูกทำลายลง เพราะเป้าหมาย 1.5 °C หมายถึง อุณหภูมิค่าเฉลี่ยโลกในระยะ 20 ปี แต่ก็นับเป็นสัญญาณอันตราย หากยังปล่อยให้มีการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในระดับนี้ต่อไป

งานวิจัยจากข้อมูลเชิงประจักษ์ของสถาบันพ็อทซ์ดัมเพื่อการวิจัยผลกระทบทางภูมิอากาศ (PIK) ซึ่งได้เผยแพร่เมื่อปี ค.ศ. 2024 ระบุว่า เศรษฐกิจโลกจะมีการลดลงของรายได้ 19% ในอีก 25 ปีข้างหน้า จากผลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ได้เกิดขึ้นแล้ว แม้จะหยุดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดนับจากวันนี้ก็ตาม โดยตัวเลขความเสียหายจากผลกระทบทางภูมิอากาศมีมูลค่าอยู่ที่ 38 ล้านล้านเหรียญต่อปีโดยประมาณ ซึ่งมากกว่าเม็ดเงินที่จำเป็นต้องใช้ในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิให้ต่ำกว่า 2 °C อยู่ถึง 6 เท่า

ในภาคธุรกิจ กิจกรรมที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก จำแนกออกได้เป็น 3 ขอบข่าย คือ กิจกรรมที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานขององค์กร (ขอบข่ายที่ 1) กิจกรรมที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงาน (ขอบข่ายที่ 2) และกิจกรรมที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่คุณค่า (ขอบข่ายที่ 3)

จากรายงาน Scope 3 Upstream Report ของ CDP (Carbon Disclosure Project) เมื่อปี ค.ศ. 2024 ระบุว่า ปริมาณการปล่อยมลอากาศที่มีสัดส่วนมากสุดเกิดขึ้นในขอบข่ายที่ 3 จากกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทาน โดยมีตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่ 26 เท่าของปริมาณการปล่อยมลอากาศในขอบข่ายที่ 1 และขอบข่ายที่ 2 รวมกัน

ฉะนั้น การที่องค์กรจะวางแผนจัดการเฉพาะมลอากาศจากการดำเนินงานและจากการใช้พลังงาน เพื่อนำไปสู่การบรรลุ Net Zero Emission หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย หากปราศจากการวางแผนบริหารมลอากาศในห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งครองสัดส่วนปริมาณมลอากาศที่มากสุดในบรรดากิจกรรมทางธุรกิจทั้งหมดที่เกิดขึ้น

จึงเป็นเหตุให้ในมาตรฐาน Corporate Net Zero ของ SBTi ที่ประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 2024 กำหนดให้กิจการที่มีสัดส่วนมลอากาศในขอบข่ายที่ 3 เกินกว่า 40% ของปริมาณมลอากาศที่ปล่อยทั้งหมด จะต้องตั้งเป้าหมายระยะใกล้ (5-10 ปี) สำหรับการลดมลอากาศลงให้ได้สองในสาม (67%) ของปริมาณมลอากาศที่ปล่อยในขอบข่ายที่ 3 และสอดคล้องกับกรอบเพดานอุณหภูมิไม่เกิน 2 °C เป็นอย่างน้อย ขณะที่การตั้งเป้าหมายระยะยาว (ปี ค.ศ. 2050) ต้องครอบคลุมการลดมลอากาศที่ปล่อยในขอบข่ายที่ 3 ให้ได้ 90% และสอดคล้องกับกรอบเพดานอุณหภูมิไม่เกิน 1.5 °C

แม้จะมีความไม่ลงรอยในเป้าหมายด้านภูมิอากาศระหว่างประเทศ อันเป็นผลของการแทรกแซงจากการเมืองภายในประเทศ และการรักษาผลประโยชน์ของรัฐเป็นที่ตั้ง ซึ่งมีฐานความเชื่อในเรื่องโลกร้อนที่แตกต่างกัน กระทั่งทำให้เกิดฝ่ายที่ไม่ต้องการดำเนินการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เพราะเชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ กับฝ่ายที่เห็นควรให้มีการดำเนินการกับผลกระทบทางภูมิอากาศที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์อย่างเร่งด่วน เกิดเป็นความต่างขั้วทางภูมิอากาศ (Climate Polarization)

ผู้เขียนมีความเห็นว่าการร่วมแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคนละไม้คนละมือ ตามวิสัยที่ตนดำเนินการได้ในกิจกรรมซึ่งส่งผลบวกต่อภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ ย่อมดีกว่าการรอเวลาให้ธรรมชาติเป็นเครื่องพิสูจน์โดยที่ไม่ดำเนินการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ซึ่งอาจสายเกินไปเมื่อเวลานั้นมาถึง


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, January 11, 2025

ตั้งศูนย์อุณหภิบาล หนุนธุรกิจรับมือโลกรวน

จากรายงานของ CDP (Carbon Disclosure Project) เผยแพร่เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ได้ทำการสำรวจกิจการทั่วโลกกว่า 23,000 แห่ง ผ่านการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ระบุว่า ตัวเลขค่าใช้จ่ายประมาณการที่บริษัทต้องใช้เผชิญกับความเสี่ยงเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศในห่วงโซ่อุปทานมียอดรวมอยู่ที่ 1.62 แสนล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 2.9 เท่า เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายจำนวน 5.6 หมื่นล้านเหรียญ ที่บริษัทใช้ในการจัดการหรือป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว

แสดงให้เห็นว่า หากบริษัทมีกลยุทธ์เพื่อจัดการหรือป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ จะประหยัดงบประมาณได้มากกว่าจำนวนที่ต้องใช้จ่ายเพื่อเผชิญกับความเสี่ยงเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศในห่วงโซ่อุปทาน

ทั้งนี้ ความเสี่ยงเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ที่มีผลกระทบทางการเงินสูง ได้แก่ กฎระเบียบด้านภูมิอากาศที่ออกใหม่ ส่วนปัจจัยความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญทางการเงิน ได้แก่ กลไกราคาคาร์บอน (29%) พฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป (22%) ข้อบังคับและกฎเกณฑ์ในตัวผลิตภัณฑ์และบริการที่จำหน่าย (22%)

ขณะที่ ตัวเลขยอดลงทุนของกิจการที่ถูกสำรวจจำนวน 1.97 หมื่นล้านเหรียญ สามารถสร้างให้เกิดโอกาสเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศในห่วงโซ่อุปทานที่มูลค่าประมาณ 1.65 แสนล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 8.4 เท่า เมื่อเทียบกับยอดเงินที่ลงทุนไป

นอกจากนี้ ในบรรดากิจการที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศกับ CDP มีกิจการจำนวน 56% ที่ระบุถึงความริเริ่มในการลดมลอากาศของกิจการ ซึ่งมียอดเงินรวมที่ประหยัดได้ราว 3.22 หมื่นล้านเหรียญ ขณะที่มีกิจการจำนวน 15% ที่ระบุเจาะจงถึงการลดมลอากาศในห่วงโซ่คุณค่า แต่ยอดเงินรวมที่ประหยัดได้กลับมีสูงถึง 1.36 หมื่นล้านเหรียญ

แสดงให้เห็นว่า โครงการลดมลอากาศในขอบข่ายที่ 3 ตามข้อมูลที่กิจการรายงาน สามารถช่วยลดรายจ่ายในอัตราที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับยอดเงินรวมที่ประหยัดได้จากความริเริ่มทั้งหมด

ผลการสำรวจข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า การบริหารมลอากาศในห่วงโซ่คุณค่า จะช่วยให้กิจการประหยัดงบประมาณได้มากกว่าจำนวนที่ต้องใช้จ่ายเพื่อเผชิญกับความเสี่ยงเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ เช่น กฎระเบียบด้านภูมิอากาศที่ออกใหม่ อีกทั้งยังสามารถสร้างให้เกิดโอกาสเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศที่เกี่ยวโยงกับห่วงโซ่การผลิตโลก เช่น การเข้าถึงตลาดใหม่จากความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป

สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะหน่วยงานที่มุ่งเน้นงานส่งเสริมความยั่งยืนของกิจการ และขับเคลื่อนประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ร่วมกับภาคธุรกิจมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี เล็งเห็นความจำเป็นในการพัฒนาองค์ความรู้และเครื่องมือเพื่อช่วยองค์กรธุรกิจในการปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ท่ามกลางกฎระเบียบ มาตรฐานและกรอบการดำเนินงานที่เป็นทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ โดยเน้นที่การกำกับดูแลให้กิจการสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ยุคคาร์บอนต่ำ ด้วยต้นทุนที่ต่ำ และมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่า

ในปี พ.ศ. 2568 นี้ สถาบันจึงได้มีการจัดตั้ง ศูนย์อุณหภิบาล หรือ Climate-Aligned Governance Center (CAG Center) ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ภาคธุรกิจในการรวบรวมข้อมูลมลอากาศในขอบข่ายที่ 3 เพื่อนำไปสู่การบริหารมลอากาศในห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งเป็นความท้าทายของกิจการส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่คุณค่า เกี่ยวพันกับคู่ค้าที่ซึ่งกิจการไม่มีอำนาจควบคุมหรือไม่มีความเป็นเจ้าของในการสั่งการ อีกทั้งต้นทุนในการรวบรวมข้อมูลมลอากาศในขอบข่ายที่ 3 อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการดำเนินกิจกรรมการลดมลอากาศของตัวกิจการเอง

สำหรับกิจการที่มีความริเริ่มหรือโครงการลดมลอากาศในขอบข่ายที่ 3 ก้าวหน้าระดับหนึ่งแล้ว ศูนย์อุณหภิบาล จะเน้นเพิ่มศักยภาพการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นผลกระทบจากการดำเนินงานเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ครอบคลุมทั้งในมิติสังคมและมิติสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนที่เป็นสากล

องค์กรธุรกิจที่ต้องการพัฒนาขีดความสามารถด้านการบริหารมลอากาศในขอบข่ายที่ 3 และเพิ่มศักยภาพการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศตามมาตรฐานสากล สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและเข้าเป็น "แนวร่วมอุณหภิบาล" กับสถาบันไทยพัฒน์ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]