Saturday, November 21, 2020

หุ้น DJSI ยั่งยืนจริงหรือ?

ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ถูกริเริ่มทำขึ้นในปี 2542 สำหรับใช้เป็นดัชนีเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุน และใช้เป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับการลงทุนที่สะท้อนผลตอบแทนของหลักทรัพย์ที่มีความโดดเด่นด้านความยั่งยืนทั่วโลก

ในปี 2563 มีบริษัทที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประเมินทั้งสิ้น 3,538 แห่ง มีบริษัทที่ตอบแบบสอบถามรวม 1,386 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 39 และมีบริษัทไทยที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประเมินในปีนี้ จำนวน 36 แห่ง


ที่มา: Finch & Beak

ผลการประเมินเพื่อคัดเลือกบริษัทที่โดดเด่นด้านความยั่งยืนให้เข้าอยู่ในดัชนี DJSI ประจำปี 2563 พบว่า มี 21 บริษัทจดทะเบียนไทย (ไม่รวมบริษัทนอกตลาดฯ) ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าอยู่ในดัชนี DJSI ได้แก่ ADVANC, AOT, BANPU, BTS, CPALL, CPF, CPN, EGCO, HMPRO, IRPC, IVL, KBANK, MINT, PTT, PTTEP, PTTGC, SCB, SCC, TOP, TRUE และ TU

หากย้อนกลับไปดูสถิติในอดีต พบว่า มีบริษัทไทยได้รับเชิญให้เข้าร่วมรับการประเมินและได้รับคัดเลือกให้เข้าอยู่ในดัชนี DJSI ครั้งแรกเมื่อปี 2544 และมีจำนวนเพิ่มขึ้นโดยลำดับ

ในมุมของบริษัทที่ลงทุน (Investees) ถือเป็นพัฒนาการในช่วง 19 ปีที่ผ่านมา นับจากปี 2544 ที่มีบริษัทจดทะเบียนได้รับคัดเลือกให้เข้าอยู่ในดัชนี DJSI จาก 1 บริษัท เพิ่มขึ้นมาเป็น 21 บริษัท ในปี 2563

สถิติที่สำคัญ
ปี 63 ได้รับเชิญ 36 บริษัท, ได้รับคัดเลือก 21 บริษัท (เพิ่ม EGCO)
ปี 62 ได้รับเชิญ 36 บริษัท, ได้รับคัดเลือก 20 บริษัท (ADVANC เข้า)
ปี 61 ได้รับเชิญ 32 บริษัท, ได้รับคัดเลือก 19 บริษัท (เพิ่ม BTS SCB)
ปี 60 ได้รับเชิญ 37 บริษัท, ได้รับคัดเลือก 17 บริษัท (เพิ่ม CPALL IVL HMPRO TRUE) (ADVANC ออก)
ปี 59 ได้รับเชิญ 33 บริษัท, ได้รับคัดเลือก 14 บริษัท (เพิ่ม KBANK)
ปี 58 ได้รับเชิญ 34 บริษัท, ได้รับคัดเลือก 13 บริษัท (เพิ่ม ADVANC AOT CPF)
ปี 57 ได้รับเชิญ 30 บริษัท ได้รับคัดเลือก 10 บริษัท (เพิ่ม BANPU CPN IRPC MINT PTTEP TU)
ปี 56 ได้รับเชิญ 34 บริษัท ได้รับคัดเลือก 4 บริษัท (เพิ่ม PTTGC TOP)
ปี 55 ได้รับเชิญ 22 บริษัท ได้รับคัดเลือก 2 บริษัท (เพิ่ม PTT)
ปี 47-54 คงมีบริษัทเดียวที่ได้รับคัดเลือก
ปี 44 มีบริษัทไทยที่ได้รับคัดเลือก (คือ SCC)
ปี 42 เริ่มมีดัชนี DJSI

ในมุมของผู้ลงทุน (Investors) การลงทุนในหุ้นที่ถือว่ามีความโดดเด่นด้านความยั่งยืนตามการประเมินดังกล่าว ยังไม่อาจตอบโจทย์การลงทุนที่ยั่งยืน เพราะเมื่อพิจารณาผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 63 จนถึงปัจจุบัน (YTD) ของหุ้น DJSI ทั้ง 21 ตัว (Equal-weighted) พบว่า มีอัตราผลตอบแทนติดลบอยู่ที่ -20.71% ขณะที่ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ลดลง -14.56% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ขณะที่ในช่วงเดือนกันยายน 2563 ผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 ESG มีตัวเลขที่ชนะดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 2.5% สอดคล้องกับตัวเลขผลประกอบการของกองทุน ESG ที่มีความผันผวนน้อยกว่ากองทุนทั่วไป ในช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา

เมื่อเทียบกับดัชนี Thaipat ESG Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบขึ้นจากหลักทรัพย์ที่มีความโดดเด่นด้าน ESG ที่ทำการประเมินโดยสถาบันไทยพัฒน์ พบว่า มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีที่ลดลงในระดับที่ต่ำกว่า คือ -11.28% (ข้อมูล ณ 17 พ.ย. 63) หรือคิดเป็นส่วนต่างของผลตอบแทน 9.43% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนหุ้นไทยที่อยู่ในดัชนี DJSI

ทั้งนี้ ข้อมูลที่ใช้ในการประเมินทั้งในส่วนของหุ้นไทยในดัชนี DJSI และหลักทรัพย์ในดัชนี Thaipat ESG ใช้ข้อมูลการดำเนินงานของบริษัทในรอบปี 2562

ด้วยเหตุที่การประเมินซึ่งมุ่งไปที่การพิจารณาประเด็นด้าน ESG ของบริษัทที่มีความโดดเด่นในมิติเดียว ทำให้เกิดข้อจำกัดที่ผู้ลงทุนอาจต้องแลก (Trade-off) ระหว่างการลงทุนในบริษัทที่มี ESG ดี แต่ผลประกอบการไม่เป็นที่น่าพอใจ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ไม่ตอบโจทย์ผู้ลงทุนในมิติของการลงทุนที่ยั่งยืนว่า การลงทุนในบริษัทที่มี ESG ดี จะช่วยลดความผันผวนด้านราคาของหลักทรัพย์ และช่วยสร้างผลตอบแทนที่แข็งแกร่งให้แก่ผู้ลงทุนในระยะยาว

ผู้ลงทุน พึงวิเคราะห์ข้อมูล ESG ควบคู่กับข้อมูลทางการเงินในลักษณะบูรณาการ เพื่อให้สะท้อนผลตอบแทนที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับผลประกอบการจากการดำเนินงานด้าน ESG ของบริษัท โดยสามารถตอบโจทย์การลงทุนที่ยั่งยืน ในทางที่สร้างคุณค่าที่ตอบสนองต่อผู้ลงทุนและสังคมโดยรวมไปพร้อมกัน


ปรับปรุง: พ.ย. 64

จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, November 07, 2020

ชนะการลงทุนช่วงโควิด ด้วย ESG

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การลงทุนในตลาดทุนทั่วโลก นับตั้งแต่ต้นปี 63 ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 กันอย่างถ้วนทั่ว มูลค่าสินทรัพย์ของบรรดาผู้ลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนกระจายอยู่ในหลักทรัพย์ที่เป็นตราสารทุน ล้วนมีมูลค่าที่ลดลงอย่างน่าใจหาย

แต่ปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น คือ สำหรับผู้ลงทุนที่ใช้นโยบายการลงทุนโดยคำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในระดับที่ต่ำกว่า ซึ่งทำให้กระแสเรื่อง ESG ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเพิ่มเติมจากเดิม

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบราคาดัชนี MSCI ระหว่างดัชนีทั่วไปกับดัชนีที่คำนึงถึง ESG ตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ในรายงาน OECD Business and Finance Outlook 2020 ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยใช้ดัชนี ACWI เป็นฐานในการเปรียบเทียบ (กำหนดค่าดัชนีฐานที่ 100 จุด)

ACWI (All Country World Index) เป็นดัชนีที่จัดทำโดยบริษัท มอร์แกน สแตนเลย์ แคปปิตอล อินเตอร์เนชั่นแนล (MSCI) ประกอบด้วยหลักทรัพย์ในตลาดทุนทั่วโลกราว 3,000 หลักทรัพย์ ทั้งจากประเทศที่พัฒนาแล้ว 23 แห่ง และจากตลาดเกิดใหม่ (emerging markets) 26 แห่ง สำหรับใช้เป็นดัชนีเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุน (Benchmark Index) และใช้เป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับการลงทุน (Investable Index) ที่สะท้อนผลตอบแทนของตลาดทุนโลก

ผลการวิเคราะห์ พบว่า ดัชนี MSCI ที่คำนึงถึง ESG ทุกดัชนี มีผลตอบแทนที่ลดลง ในอัตราที่ต่ำกว่าดัชนีมาตรฐาน ACWI

มีเพียงดัชนี ACWI Minimum Volatility ที่สามารถชนะดัชนี ESG อยู่จนถึงช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งก็เป็นเพราะผู้ลงทุนใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงการลงทุน (Hedge) ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนในผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ขยายวงจากสถานการณ์โควิด-19

ข้อมูลนี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า การลงทุนโดยคำนึงถึง ESG ในสภาวะที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง จะมีความผันผวนต่ำกว่าความผันผวนของตลาดโดยรวม ซึ่งก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันสำหรับตลาดทุนไทย

โดยผลกระทบที่มีต่อตลาดทุนไทย เมื่อพิจารณาด้วยดัชนีผลตอบแทนรวม SET TRI ซึ่งเป็นดัชนีสะท้อนภาพรวมของตลาดทุนไทย สถานการณ์โควิด-19 ได้ทำให้อัตราผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 63 จนถึงปัจจุบัน (YTD) ติดลบอยู่ที่ -18.3% ขณะที่ดัชนีผลตอบแทนรวม Thaipat ESG Index TR ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบขึ้นจากหลักทรัพย์ที่มีความโดดเด่นด้าน ESG ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในระดับที่ต่ำกว่า คือ -11.48% (ข้อมูล ณ 5 พ.ย. 63) หรือมีความผันผวนที่ต่างกันอยู่ 6.82%

แต่หากดูผลตอบแทนระยะยาวของดัชนีผลตอบแทนรวม Thaipat ESG Index TR พบว่า ตัวเลขผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี จะอยู่ที่ 4.02% คือ ยังมีผลตอบแทนที่เป็นบวก แม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เมื่อตอนต้นปี 63

จะเห็นว่า การลงทุนโดยคำนึงถึง ESG ในสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูง นอกจากจะช่วยลดความผันผวนด้านราคา (Beta) ของหลักทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนแล้ว ยังช่วยสร้างผลตอบแทน (Alpha) ที่แข็งแกร่งให้แก่ผู้ลงทุนในระยะยาวด้วย


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]