Saturday, February 25, 2023

6 ทิศทางความยั่งยืน ปี 66

วานนี้ (24 ก.พ.) สถาบันไทยพัฒน์ ได้ทำการแถลงทิศทางความยั่งยืน ปี 2566 สำหรับให้หน่วยงานและองค์กรธุรกิจสามารถนำไปเป็นข้อมูลนำเข้าและใช้พัฒนากลยุทธ์การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ของกิจการให้มีความครอบคลุมอย่างรอบด้าน

ทิศทางความยั่งยืนในปีนี้ ยังคงได้รับอิทธิพลจากกระแส ESG ที่ถูกยกระดับความสำคัญขึ้นอย่างมาก จนเป็นเงื่อนไขหลักสำหรับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ทั้งที่ถูกบรรจุเป็นหลักเกณฑ์ในการขอสินเชื่อของธนาคาร พัฒนาเป็นหลักการลงทุนที่รับผิดชอบของผู้ลงทุนสถาบัน เป็นปัจจัยใหม่ในการตัดสินใจจับจ่ายของลูกค้า และกลายมาเป็นข้อพิจารณาในการสมัครเข้าทำงานของบุคลากร โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ ฯลฯ

ในปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ ได้ประมวลแนวโน้มการขับเคลื่อน ESG ของภาคธุรกิจไทย ไว้เป็น 3 ธีมสำคัญ ได้แก่ LEAN รับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย CLEAN เพื่อสังคมที่มีสุขภาวะ และ GREEN ที่มากกว่าคำมั่นสัญญา พร้อมกับการประเมินทิศทางความยั่งยืน ปี 2566 ใน 6 ทิศทางสำคัญ ประกอบด้วย

1. ESG as an Enabler
From ‘Risk Management’ to ‘Opportunity Identification’
ธุรกิจที่ต้องการสร้างความยั่งยืนให้แก่กิจการ จะนำเรื่อง ESG มาใช้เป็นโจทย์ทางธุรกิจ เพื่อค้นหาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองต่อตลาดตามทิศทางและกระแสโลกที่คำนึงถึงการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเด็นความหลากหลาย ความเสมอภาค และการไม่ปิดกั้น (Diversity, Equity, and Inclusion: DEI) บนพื้นฐานการดำเนินงานที่โปร่งใสและตรวจสอบได้

2. Industry-specific Taxonomy
From ‘ESG in General’ to ‘ESG in Sectoral’
หน่วยงานกำกับดูแลในประเทศไทย จะริเริ่มจัดทำแนวทาง (Guideline) และการแบ่งหมวดหมู่ (Taxonomy) ประเด็นด้าน ESG จำเพาะรายอุตสาหกรรมที่ตนเองกำกับดูแล ทั้งในภาคธนาคาร ภาคตลาดทุน ภาคประกันภัย ภาคพลังงาน ภาคโทรคมนาคม ฯลฯ ตามความพร้อมของหน่วยงาน และแรงผลักดันจากตลาดที่มีความต้องการนำเรื่อง ESG มาขับเคลื่อนในอุตสาหกรรมนั้น ๆ

3. Double Materiality
From ‘Outside-in’ to ‘Inside-out’ Approach
กิจการที่ต้องการภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ต้องแสดงให้เห็นถึงความตระหนักในความคาดหวังของผู้ลงทุนที่มีต่อการสร้างคุณค่ากิจการ ด้วยสารัตถภาพเชิงการเงิน (Financial Materiality) รวมทั้งความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียที่มีต่อการสร้างผลบวกทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยสารัตถภาพเชิงผลกระทบ (Impact Materiality) ควบคู่กัน

4. Climate Action
From ‘Voluntary Practices’ to ‘Mandatory Requirements’
จำนวนของบริษัทไทยที่ทำการประกาศเป้าหมาย Carbon Neutrality และเป้าหมาย Net Zero จะมีจำนวนเพิ่มขึ้น สอดรับกับความเคลื่อนไหวในเรื่องการออกกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จะเปลี่ยนผ่านการดำเนินงานจากภาคสมัครใจมาสู่ภาคบังคับ รวมทั้งการส่งเสริมกลไกทางตลาดในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในรูปของการซื้อขายคาร์บอนเครดิต

5. Lean Operation
From ‘Doing more with best’ to ‘Doing more with less’
ธุรกิจที่เดิมยึดหลัก “Doing more with best” ด้วยการแสวงหาความเป็นเลิศในทุกด้าน จะหันมาเตรียมรับภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นสูงในปีนี้ พร้อมกับประเมินความเสี่ยงต่อการถูกดิสรัปชันจากเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ด้วยการกระชับต้นทุนและขนาดของกิจการ สู่การเป็น Lean Operation ภายใต้หลัก “Doing more with less” ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรอีกทางหนึ่ง

6. Proof of Governance
From ‘Responsibility at the Workplace’ to ‘Accountability at the Board Level’
ธุรกิจที่ประกาศแนวทางการดำเนินงานโดยยึดกรอบ ESG นอกจากการแสดงความรับผิดชอบต่อการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมแล้ว ยังต้องมีการพิสูจน์ธรรมาภิบาล (Proof of Governance) ด้วยการแสดงให้เห็นถึงภาระรับผิดชอบในระดับคณะกรรมการ ที่เหนือกว่าความรับผิดชอบในระดับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ตามบทบาทฐานะของผู้นำหรือผู้รับผิดชอบสูงสุดขององค์กร

หน่วยงานหรือองค์กรธุรกิจที่สนใจข้อมูลแต่ละทิศทางในรายละเอียด สามารถดาวน์โหลดรายงาน "6 ทิศทาง CSR ปี 2566: LEAN • CLEAN • GREEN" ฉบับเต็ม ได้ที่เว็บไซต์ thaipat.org ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, February 11, 2023

จะขับเคลื่อน ESG แบบ ‘ห่วงเรา’ หรือ ‘ห่วงโลก’

ไม่ต้องเป็นที่ถกเถียงกันแล้วว่า ภาคธุรกิจจะต้องมีการขับเคลื่อนดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ในกระบวนการทางธุรกิจหรือไม่ เพราะในปี พ.ศ. นี้ หน่วยงานกำกับดูแลต่างออกกฎเกณฑ์และแนวทางให้กิจการที่อยู่ในกำกับ ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานด้าน ESG ตามข้อกำหนด ที่มิใช่ภาคสมัครใจอีกต่อไป


แต่ประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงในวงกว้าง คือ การขับเคลื่อน ESG ของภาคธุรกิจนั้น ควรจะต้องตอบโจทย์ที่เป็นความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวม หรือเป็นความยั่งยืนของกำไรและองค์กรกันแน่

เราคงเคยได้ยินวลีที่ว่า “ธุรกิจไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ ในสังคมที่ล้มเหลว” ซึ่งสื่อความถึง หากธุรกิจประกอบการโดยไม่คำนึงถึงการร่วมดูแลสังคมจนปล่อยให้สังคมที่ตนเองประกอบการอยู่ล่มสลาย แม้ธุรกิจจะมีความสามารถในการประกอบการเพียงใด ก็ไม่มีทางจะประสบผลสำเร็จได้ลำพังโดยที่ผู้คนและสิ่งแวดล้อมรอบข้างเดือดร้อนเสียหาย

แน่นอนว่า ในกรณีนี้ ภาคธุรกิจ จำต้องขับเคลื่อนประเด็นด้าน ESG โดยคำนึงถึงความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวม

ทั้งนี้ เรายังคงต้องไม่ละเลยวลีที่ว่า “ธุรกิจไม่สามารถอยู่รอดได้ หากไม่มีกำไร” ซึ่งสื่อความถึง หากธุรกิจยังอ่อนแอหรือไม่เข้มแข็งพอในตัวเอง ก็ไม่สามารถที่จะไปช่วยเหลือผู้อื่นหรือสังคมรอบข้างได้ แม้ธุรกิจจะมีความประสงค์อย่างแรงกล้าในการร่วมดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ตนเองประกอบการอยู่ก็ตาม

แน่นอนว่า ในกรณีนี้ ภาคธุรกิจ จำต้องดำเนินงานให้อยู่รอด โดยคำนึงถึงความยั่งยืนของกำไรและองค์กรก่อน โดยอาจจะมีหรือไม่มีการขับเคลื่อนประเด็นด้าน ESG (แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเป็นขั้นพื้นฐาน)

นั่นหมายความว่า หากกิจการใด สามารถดำเนินงานจนอยู่รอดและมีความเข้มแข็งในระดับหนึ่งแล้ว ควรจะต้องมีการขับเคลื่อนประเด็นด้าน ESG โดยคำนึงถึงความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวมบ้างไม่มากก็น้อย

เหตุผลของการขับเคลื่อน ESG ในวันนี้ จึงไม่ใช่เพียงเพื่อทำให้กิจการของเรามีความยั่งยืน (หรือห่วงเฉพาะเรา) แต่เป็นการทำให้สังคม (ซึ่งรวมกิจการในฐานะสมาชิกหนึ่งในสังคม) และสิ่งแวดล้อมมีความยั่งยืนไปพร้อมกัน (ห่วงทั้งผู้คนและผืนโลก) ซึ่งการขับเคลื่อน ESG แบบหลังนี้ จะมีวิธีที่แตกต่างกับแบบแรก

ตัวอย่างเช่น โรงไฟฟ้าที่มุ่งความยั่งยืนเฉพาะตน อาจเลือกใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง เพราะเหตุผลเรื่องเสถียรภาพและราคา แต่สำหรับโรงไฟฟ้าที่พิจารณาความยั่งยืนองค์รวม จะเลือกใช้พลังงานทดแทนหรือที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

บริษัทส่งออกแห่งหนึ่ง จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการส่งออกสินค้า เนื่องจากมาตรการเก็บภาษีก๊าซเรือนกระจกก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของประเทศผู้นำเข้า ที่ก่อให้เกิดภาระต้นทุนและกระทบกับขีดความสามารถทางการแข่งขัน ซึ่งจะส่งผลต่อความยั่งยืนของกำไรและองค์กรในระยะยาว

ขณะที่บริษัทส่งออกอีกแห่งหนึ่ง มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตตามเป้าหมายการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อช่วยจำกัดมิให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งส่งผลต่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมโดยรวม อีกทั้งยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตซึ่งเป็นผลพลอยได้จากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ด้วย

บริษัทที่มีการดูแลบุคลากรโดยมุ่งความยั่งยืนขององค์กร จะคำนึงถึงประสิทธิภาพและต้นทุนการจ้างพนักงานในแต่ละตำแหน่งงาน ตามนโยบายด้าน HR ที่มองบุคลากรในฐานะที่เป็นทรัพยากรหนึ่งของกิจการ

ขณะที่บริษัทที่มีการดูแลบุคลากรโดยมุ่งความยั่งยืนของสังคม (พนักงาน) โดยรวม จะคำนึงถึงประเด็นความหลากหลาย ความเสมอภาค และการไม่ปิดกั้น (Diversity, Equity, and Inclusion: DEI) ที่ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งได้กลายเป็นกลุ่มคนทำงานที่มีสัดส่วนมากที่สุดในโลก อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นปัจจัยจูงใจและรักษาบุคลากรที่มีฝีมือและเป็นที่ต้องการให้เข้ามาร่วมงานและอยู่กับองค์กรได้นาน

หวังว่าบทความนี้ จะช่วยให้ภาคธุรกิจเข้าใจภาพการขับเคลื่อน ESG โดยเฉพาะกิจการขนาดใหญ่ที่มีความเข้มแข็งและสามารถสร้างกำไรอย่างสม่ำเสมอแล้ว จะไม่มัวแต่ให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืนที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ ในแบบ ‘ห่วงเรา’ เรื่อยไป แต่ควรต้องให้น้ำหนักกับการดำเนินงานทางธุรกิจที่มีผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในแบบ ‘ห่วงโลก’ อย่างจริงจัง เพราะ เราไม่มีโลกสำรอง สำหรับใช้แผนสำรอง (There is no Planet B for our Plan B)


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]