แนวคิดของการบริโภคที่ยั่งยืน (Sustainable Consumption) เกิดขึ้นควบคู่กับเรื่องการผลิตที่ยั่งยืน โดยองค์การสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ได้นิยามไว้ในเอกสาร Advancing Sustainable Consumption in Asia : A Guidance Manual ซึ่งเผยแพร่ในปี 2548 ว่าเป็นแนวทางของการบริโภคสินค้าและบริการเพื่อสนองความต้องการที่จำเป็นอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล พร้อมไปกับการลดผลกระทบเชิงลบทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทั้งในยุคปัจจุบันและในอนาคต อันก่อให้เกิดผลเกี่ยวเนื่องสู่สิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด
การส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืนประเทศไทยในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา ได้มีการนำเอากลยุทธ์การตลาดสีเขียว (Green Marketing) มาใช้ในภาคธุรกิจ ทำให้ประเทศไทยเริ่มมีสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือสินค้าสีเขียว (Green Products) ออกสู่ตลาดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเติบโตของตลาดสีเขียวของประเทศไทยยังช้ากว่าประเทศอื่นๆ มาก เนื่องจากผู้บริโภคไทยไม่ค่อยผนวกเอาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมมาเป็นข้อพิจารณาในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ จึงทำให้การตลาดสีเขียวของไทยยังไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าใดนัก การรณรงค์ให้ผู้บริโภคมีความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อมหรือเป็นผู้บริโภคสีเขียว (Green Consumers) อย่างจริงจัง จึงเป็นภารกิจที่ต้องดำเนินการอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
เพื่อให้การขับเคลื่อนการบริโภคที่ยั่งยืนในสังคมไทยเกิดผลในเชิงรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ศูนย์ส่งเสริมธุรกิจเพื่อสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงได้ร่วมกับ สถาบันไทยพัฒน์ และหอการค้าไทย โดยได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) จัดการประชุมโต๊ะกลมว่าด้วยการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ ภายใต้หัวข้อ “สังคมไทยกับแบบแผนการบริโภคที่ยั่งยืน” ในวันพฤหัสบดีที่ 27 มี.ค. 2551 ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 3 อาคาร 60 ปี กรมประชาสงเคราะห์ (บ้านราชวิถี) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมุ่งเน้นที่กลุ่มผู้บริหาร ผู้แทนจากภาคเอกชนและองค์กรธุรกิจต่างๆ มาร่วมระดมความเห็น โดยมีการนำเสนอภาพรวมของการส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืนในประเทศไทย พร้อมกับการอภิปรายสถานการณ์การบริโภคในปัจจุบันที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการระดมสมองเพื่อค้นหาแนวทางปฏิบัติด้าน CSR ในการส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการร่วมกำหนดนโยบาย CSR และร่วมผนึกความรับผิดชอบต่อสังคม ในการส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม... (อ่านรายละเอียดในคอลัมน์ 20CEOs20IDEAs) [Archived]
Tuesday, March 25, 2008
Wednesday, March 05, 2008
จาริกบุญ ณ ศรีลังกา
เป็นความโชคดีในเรื่องเวลาที่ปลอดจากการบรรยายและกิจกรรมในงานวิจัยให้คำปรึกษาต่างๆ จึงทำให้ได้มีโอกาสเดินทางร่วมกับคณะศิษยานุศิษย์ วัดภัททันตะอาสภาราม ในการจาริกบุญ ณ ประเทศศรีลังกา ในระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม 2551
คณะผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้ ประกอบด้วยพระภิกษุ 3 รูปและฆราวาส 12 ท่าน ได้เดินทางกราบนมัสการ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ เมืองอนุราธปุระ อดีตเมืองหลวงเก่าของศรีลังกา ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้ เป็นหน่อที่แยกมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นแรกที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับนั่งบำเพ็ญจนตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ตำบลพุทธคยา ประเทศอินเดีย ซึ่งพระนางสังฆมิตตาเถรี พระภิกษุณี อดีตราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้นำมาประดิษฐานไว้เมื่อราว 2,200 ปีมาแล้ว และกินเนสบุ๊คได้บันทึกไว้ว่าเป็นต้นไม้ที่มีอายุยาวนานที่สุดในโลก
เมืองที่ตั้งชื่อตามกลุ่มของดวงดาวอนุราธ ซึ่งหมายถึง ความมั่นคง ความสมบูรณ์พูนสุข และเป็นเมืองหลวงมายาวนานถึง 1,500 ปี แห่งนี้ ยังเป็นที่ตั้งของวัดอิสุรุมุณิยะ (Isurumuniya Vihara) ที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 3 ซึ่งเชื่อกันว่าพระมหินท์อรหันต์ ราชโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้เคยมาจำพรรษาแรกที่วัดแห่งนี้ และพระมหาเจดีย์รุวันเวลิสายะ (Ruwanweliseya) หรือที่เรียกว่าพระเจดีย์สุวรรณมาลิก ที่ใหญ่และงดงาม เป็นต้นแบบพระเจดีย์ทรงโอคว่ำที่ถูกสร้างขึ้นในยุคหลัง เช่น พระปฐมเจดีย์ ในไทย รวมถึงวัดถูปาราม ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมธาตุพระรากขวัญเบื้องขวา (กระดูกไหปลาร้าของพระพุทธเจ้า)
ณ เมืองโปโลนารุวะ ได้กราบนมัสการพระอวุกนะ (Avukana) ที่มีความหมายว่า Sun eating เป็นพระยืนปางประทานพร ขนาดสูง 13 เมตร อายุกว่า 1,000 ปี เป็นพระพุทธรูปที่มีสภาพสมบูรณ์ประทับยืนที่หน้าผา สร้างโดยพระเจ้าธาตุเสนะ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11 จากนั้น ได้เยี่ยมชมถ้ำดัมบูลา ณ เมืองดัมบูลา ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี และเคยเป็นที่พำนักของกษัตริย์ Walagamba ถึง 14 ปี ภายในถ้ำจะประกอบไปด้วยพระเจดีย์ พระพุทธรูปแกะสลักหินปางสมาธิ และภาพวาดพระพุทธรูปสีสันงดงามตามผนังถ้ำที่มีอยู่ถึง 5 ห้องด้วยกัน
ณ เมืองสิกิริยา ได้เดินทางขึ้นเขาสิกิริยา (Sigiriya Rock Fortress) ที่อดีตเคยเป็นป้อมปราการระฟ้า (Fortress in the sky) อันเลื่องชื่อ ในระหว่างทางขึ้นยอดเขา ยังพบภาพวาดสีเฟรสโก้รูปหญิงสาวชาวสิงหล ที่มีอายุกว่า 1,000 ปี ปรากฏให้เห็นร่องรอยตามผนังภูผา
ณ เมืองแคนดี้ ได้กราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ที่วัดพระทันตธาตุ (Sacred Tooth Relic Temple) โดยพระทันตธาตุเขี้ยวแก้วองค์นี้ เป็นส่วนพระทนต์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐานอยู่ในสถูปทองแวววาวซ้อนกันถึง 7 ชั้น ตามตำนานเชื่อกันว่ามีทั้งสิ้น 4 องค์ โดยพระอินทร์เก็บรักษาไว้บนสวรรค์ชั้นฟ้าองค์หนึ่ง พญานาคาเก็บไว้ในบาดาลองค์หนึ่ง ส่วนองค์ที่ 3 อยู่ที่แค้วนคันธาระในอัฟกานิสถาน ซึ่งต่อมา หลวงจีนฟาเหียนอันเชิญมาไว้ที่นานกิง ในประเทศจีน ก่อนที่จะไปประดิษฐานที่วัดหลิงกวง ชานกรุงปักกิ่ง และองค์ที่ 4 อยู่ที่กรุงแคนดี้ อดีตราชธานีของศรีลังกา มาตราบจนปัจจุบัน ชาวศรีลังกาถือว่าพระธาตุเขี้ยวแก้ว คือศูนย์รวมดวงใจและเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธาสูงส่งในพระพุทธศาสนา
ณ กรุงโคลัมโบ ได้กราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุและพระเจดีย์ ที่วัดกัลยาณีราชมหาวิหาร วัดนิกายสยามวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโคลัมโบ ซึ่งชาวศรีลังกาเชื่อว่า เมื่อกว่า 2,500 ปี มาแล้ว พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมาประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์ทองคำที่วัดแห่งนี้ และพระพุทธเจ้าได้ทรงเทศน์โปรดชาวสิงหลเป็นครั้งแรกยังสถานที่นี้ ในวัดแห่งนี้ ยังมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 13 หน่อที่แยกมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่อนุราธปุระด้วย
ในระหว่างตลอดเส้นทางการเดินทาง คณะได้ร่วมกันบริจาคทำบุญในสถานที่สำคัญต่างๆ ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจกันถ้วนหน้า ในโอกาสนี้ ผมก็ขอส่งกุศลผลบุญที่เกิดขึ้นจากการจาริกบุญในครั้งนี้ และที่มีมาก่อนหน้า ให้แก่ผู้อ่านทุกๆ ท่านโดยทั่วกัน
คณะผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้ ประกอบด้วยพระภิกษุ 3 รูปและฆราวาส 12 ท่าน ได้เดินทางกราบนมัสการ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ เมืองอนุราธปุระ อดีตเมืองหลวงเก่าของศรีลังกา ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้ เป็นหน่อที่แยกมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นแรกที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับนั่งบำเพ็ญจนตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ตำบลพุทธคยา ประเทศอินเดีย ซึ่งพระนางสังฆมิตตาเถรี พระภิกษุณี อดีตราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้นำมาประดิษฐานไว้เมื่อราว 2,200 ปีมาแล้ว และกินเนสบุ๊คได้บันทึกไว้ว่าเป็นต้นไม้ที่มีอายุยาวนานที่สุดในโลก
เมืองที่ตั้งชื่อตามกลุ่มของดวงดาวอนุราธ ซึ่งหมายถึง ความมั่นคง ความสมบูรณ์พูนสุข และเป็นเมืองหลวงมายาวนานถึง 1,500 ปี แห่งนี้ ยังเป็นที่ตั้งของวัดอิสุรุมุณิยะ (Isurumuniya Vihara) ที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 3 ซึ่งเชื่อกันว่าพระมหินท์อรหันต์ ราชโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้เคยมาจำพรรษาแรกที่วัดแห่งนี้ และพระมหาเจดีย์รุวันเวลิสายะ (Ruwanweliseya) หรือที่เรียกว่าพระเจดีย์สุวรรณมาลิก ที่ใหญ่และงดงาม เป็นต้นแบบพระเจดีย์ทรงโอคว่ำที่ถูกสร้างขึ้นในยุคหลัง เช่น พระปฐมเจดีย์ ในไทย รวมถึงวัดถูปาราม ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมธาตุพระรากขวัญเบื้องขวา (กระดูกไหปลาร้าของพระพุทธเจ้า)
ณ เมืองโปโลนารุวะ ได้กราบนมัสการพระอวุกนะ (Avukana) ที่มีความหมายว่า Sun eating เป็นพระยืนปางประทานพร ขนาดสูง 13 เมตร อายุกว่า 1,000 ปี เป็นพระพุทธรูปที่มีสภาพสมบูรณ์ประทับยืนที่หน้าผา สร้างโดยพระเจ้าธาตุเสนะ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11 จากนั้น ได้เยี่ยมชมถ้ำดัมบูลา ณ เมืองดัมบูลา ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี และเคยเป็นที่พำนักของกษัตริย์ Walagamba ถึง 14 ปี ภายในถ้ำจะประกอบไปด้วยพระเจดีย์ พระพุทธรูปแกะสลักหินปางสมาธิ และภาพวาดพระพุทธรูปสีสันงดงามตามผนังถ้ำที่มีอยู่ถึง 5 ห้องด้วยกัน
ณ เมืองสิกิริยา ได้เดินทางขึ้นเขาสิกิริยา (Sigiriya Rock Fortress) ที่อดีตเคยเป็นป้อมปราการระฟ้า (Fortress in the sky) อันเลื่องชื่อ ในระหว่างทางขึ้นยอดเขา ยังพบภาพวาดสีเฟรสโก้รูปหญิงสาวชาวสิงหล ที่มีอายุกว่า 1,000 ปี ปรากฏให้เห็นร่องรอยตามผนังภูผา
ณ เมืองแคนดี้ ได้กราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ที่วัดพระทันตธาตุ (Sacred Tooth Relic Temple) โดยพระทันตธาตุเขี้ยวแก้วองค์นี้ เป็นส่วนพระทนต์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐานอยู่ในสถูปทองแวววาวซ้อนกันถึง 7 ชั้น ตามตำนานเชื่อกันว่ามีทั้งสิ้น 4 องค์ โดยพระอินทร์เก็บรักษาไว้บนสวรรค์ชั้นฟ้าองค์หนึ่ง พญานาคาเก็บไว้ในบาดาลองค์หนึ่ง ส่วนองค์ที่ 3 อยู่ที่แค้วนคันธาระในอัฟกานิสถาน ซึ่งต่อมา หลวงจีนฟาเหียนอันเชิญมาไว้ที่นานกิง ในประเทศจีน ก่อนที่จะไปประดิษฐานที่วัดหลิงกวง ชานกรุงปักกิ่ง และองค์ที่ 4 อยู่ที่กรุงแคนดี้ อดีตราชธานีของศรีลังกา มาตราบจนปัจจุบัน ชาวศรีลังกาถือว่าพระธาตุเขี้ยวแก้ว คือศูนย์รวมดวงใจและเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธาสูงส่งในพระพุทธศาสนา
ณ กรุงโคลัมโบ ได้กราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุและพระเจดีย์ ที่วัดกัลยาณีราชมหาวิหาร วัดนิกายสยามวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโคลัมโบ ซึ่งชาวศรีลังกาเชื่อว่า เมื่อกว่า 2,500 ปี มาแล้ว พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมาประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์ทองคำที่วัดแห่งนี้ และพระพุทธเจ้าได้ทรงเทศน์โปรดชาวสิงหลเป็นครั้งแรกยังสถานที่นี้ ในวัดแห่งนี้ ยังมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 13 หน่อที่แยกมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่อนุราธปุระด้วย
ในระหว่างตลอดเส้นทางการเดินทาง คณะได้ร่วมกันบริจาคทำบุญในสถานที่สำคัญต่างๆ ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจกันถ้วนหน้า ในโอกาสนี้ ผมก็ขอส่งกุศลผลบุญที่เกิดขึ้นจากการจาริกบุญในครั้งนี้ และที่มีมาก่อนหน้า ให้แก่ผู้อ่านทุกๆ ท่านโดยทั่วกัน
Subscribe to:
Posts (Atom)