Saturday, October 23, 2021

หลักการ ESG ในภาคการเงิน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาคการเงินในฐานะที่เป็นตัวกลางในการจัดสรรเงินทุนในระบบเศรษฐกิจ เป็นหนึ่งในภาคส่วนสำคัญที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมโลก หน่วยงานในภาคการเงินในแต่ละประเทศได้นำแนวทางการดำเนินงานที่คำนึงถึงประเด็น ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) มาผนวกในกระบวนการตัดสินใจลงทุน การพิจารณาให้สินเชื่อ การออกผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และการประกันภัย ฯลฯ

ในประเทศไทย หน่วยงานทางการเงินทั้งในภาครัฐและในภาคเอกชน ได้ขานรับเอาแนวทาง ESG ดังกล่าว มาใช้เป็นกรอบการดำเนินงาน ในอันที่จะตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมโลก ควบคู่ไปกับการพัฒนาความยั่งยืนขององค์กร ให้สามารถปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงและคงไว้ซึ่งขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว

นอกจากที่หน่วยงานในภาคการเงินไทยจะได้นำเอาแนวทางการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนที่ออกโดยหน่วยงานกำกับดูแลในภาคการเงินไทย มาใช้ขับเคลื่อนเพื่อสร้างให้เกิดความยั่งยืนต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในบริบทของประเทศแล้ว ก็ควรที่จะนำหลักการในภาคการเงินที่เป็นสากล มาใช้เป็นกรอบการดำเนินงานเพื่อยกระดับการพัฒนาสู่ความยั่งยืนที่ทัดเทียมกับนานาประเทศ

โดยหลักการสำคัญที่เกี่ยวกับ ESG ในภาคการเงินซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ประกอบด้วย

หลักการลงทุนที่รับผิดชอบ (Principles for Responsible Investment: PRI) ที่ได้รับการผลักดันโดยอดีตเลขาธิการสหประชาชาติ โคฟี อันนัน เมื่อปี ค.ศ.2006 โดยมีหน่วยงานในสังกัดสหประชาชาติสองแห่ง คือ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยข้อริเริ่มด้านการเงิน (United Nations Environmental Program Finance Initiative: UNEP-FI) และข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact: UNGC) ให้การสนับสนุน ประกอบด้วย หลัก 6 ประการ ได้แก่ 1) การผนวกประเด็น ESG เข้าไว้ในการวิเคราะห์และกระบวนการตัดสินใจลงทุน 2) การใช้สิทธ์ออกเสียงในฐานะผู้ถือครองหลักทรัพย์ และผนวกประเด็น ESG เข้าไว้ในนโยบายและข้อปฏิบัติในการถือครองหลักทรัพย์ 3) การเสาะหารายการเปิดเผยข้อมูลในประเด็น ESG อย่างเหมาะสมจากกิจการที่เข้าไปลงทุน 4) การส่งเสริมให้เกิดการรับและนำหลักการลงทุนที่รับผิดชอบไปใช้ในแวดวงการลงทุน 5) การทำงานร่วมกันเพื่อขยายประสิทธิผลของการนำหลักการลงทุนที่รับผิดชอบไปปฏิบัติ 6) การรายงานกิจกรรมและความก้าวหน้าในการนำหลักการลงทุนที่รับผิดชอบไปปฏิบัติในรายกิจการ

ปัจจุบัน มีหน่วยงานในภาคการเงินที่รับหลักการลงทุนที่รับผิดชอบ ไปใช้แล้วจำนวนกว่า 4,000 แห่ง โดยมีขนาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) รวมกันราว 121 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (PRI, ก.ค. 64)

หลักการประกันภัยที่ยั่งยืน (Principles for Sustainable Insurance: PSI) ที่จัดทำโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยข้อริเริ่มด้านการเงิน (UNEP-FI) เมื่อปี ค.ศ.2012 ประกอบด้วย 4 หลักการสำคัญ ได้แก่ 1) การผนวกประเด็นทางสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจประกันภัย เข้าไว้ในกระบวนการตัดสินใจ 2) การทำงานร่วมกับลูกค้าและหุ้นส่วนทางธุรกิจ ในการยกระดับการรับรู้ที่มีต่อประเด็นทางสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล การจัดการความเสี่ยงภัย และการพัฒนาแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกัน 3) การทำงานร่วมกับหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และผู้มีส่วนได้เสียหลักอื่นๆ ในการส่งเสริมการดำเนินงานในประเด็นทางสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล อย่างกว้างขวาง 4) การแสดงให้เห็นถึงความสำนึกรับผิดชอบและความโปร่งใสในการเปิดเผยความคืบหน้าของการนำหลักการประกันภัยที่ยั่งยืน ไปปฏิบัติแก่สาธารณะอย่างสม่ำเสมอ

ปัจจุบัน มีหน่วยงานในภาคการเงินที่รับหลักการประกันภัยที่ยั่งยืน ไปใช้แล้วจำนวนกว่า 180 แห่ง รวมผู้รับประกันภัยที่ถือสัดส่วนเบี้ยประกันภัยอยู่เป็นจำนวนร้อยละ 25 ของเบี้ยประกันภัยรวมทั่วโลก และมีขนาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) รวมกันราว 14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (PSI, ก.ค. 64)

หลักการธนาคารที่รับผิดชอบ (Principles for Responsible Banking: PRB) ที่จัดทำโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยข้อริเริ่มด้านการเงิน (UNEP-FI) เมื่อปี ค.ศ.2019 ประกอบด้วย 6 หลักการสำคัญที่ครอบคลุมในด้าน 1) การปรับแนวทาง (Alignment) 2) ผลกระทบและการกำหนดเป้าหมาย (Impact & Target Setting) 3) ลูกค้าประจำและผู้ใช้บริการ (Clients & Customers) 4) ผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) 5) ธรรมาภิบาลและการปลูกฝังวัฒนธรรม (Governance & Culture) 6) ความโปร่งใสและการตรวจสอบได้ (Transparency & Accountability)

ปัจจุบัน มีสถาบันการเงินที่รับหลักการธนาคารที่รับผิดชอบ ไปใช้แล้วจำนวนกว่า 250 แห่ง โดยมีขนาดสินทรัพย์รวมกันราว 65 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 40 ของสินทรัพย์ในภาคธนาคารทั่วโลก (PRB, ก.ย. 64)

และเป็นที่น่ายินดีว่า ปัจจุบันมีสถาบันการเงินของไทย ได้เข้าร่วมรับหลักการดังกล่าวข้างต้น ไปใช้ดำเนินงานแล้ว อาทิ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารออมสิน และเนื่องจากการพัฒนาสู่ความยั่งยืน ได้กลายเป็นทางหลักของการพัฒนาในยุคนี้ มิใช่เป็นทางเลือกสำหรับภาคการเงินอีกต่อไป เราคงจะได้เห็นธนาคารพาณิชย์ไทยอื่น ๆ เข้าร่วมขบวนมากขึ้นนับจากนี้


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, October 09, 2021

"4 มิติ" ที่ธุรกิจต้องปรับตัว (ไปแล้ว)

วันนี้ ! หลายธุรกิจประเมินว่าสถานการณ์โควิดในประเทศไทยได้ผ่านพ้นจุดที่วิกฤติสูงสุดไปแล้ว และกำลังเตรียมสรรพกำลังและทรัพยากรในการเดินหน้า หลังจากที่ชะลอคันเร่งมาร่วม 18 เดือนก่อนหน้านี้

มิใช่ว่า การระบาดของโควิดจะหมดไป แต่ภาคธุรกิจประเมินว่า ยังไงก็ตาม จะไม่มีการล็อกดาวน์หรือปิดประเทศอีกต่อไป เพราะเศรษฐกิจจำเป็นต้องมีการเคลื่อนตัว ในขณะที่การสู้รบกับโควิดก็ยังต้องดำเนินต่อไป เป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่วิถีปกติใหม่ของการดำเนินธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การปรับตัวของภาคธุรกิจต่อการดำเนินงานในวิถีปกติใหม่ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ หรือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มีอยู่ 4 มิติสำคัญ ได้แก่ การดูแลสุขภาพองค์กร ความต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทาน การตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

มิติการดูแลสุขภาพองค์กร ซึ่งประกอบด้วย บุคลากรและระบบงาน สถานการณ์โควิด ได้ทำให้กิจการต้องหยิบยกประเด็นด้านสุขภาพขึ้นมาให้น้ำหนักความสำคัญเป็นอันดับแรก มีการนำมาตรการดูแลพนักงาน ทั้งในเชิงป้องกันการติดเชื้อและสัมผัสโรค และในเชิงคัดกรองและแยกผู้ติดเชื้อออกจากสถานประกอบการ มีการทบทวนและปรับระบบงานทางธุรกิจให้สอดรับกับสถานการณ์ เช่น การดูแลกระแสเงินสดในกิจการให้มีเพียงพอต่อการดำเนินงานในช่วงสถานการณ์ การปรับรูปแบบการทำงานแบบผสมผสานระหว่างการทำงานในสำนักงานและการทำงานนอกสถานที่ตั้ง การเพิ่มช่องทางติดต่อสื่อสารระยะไกลในแบบที่ไม่จำเป็นต้องพบปะซึ่งหน้า ฯลฯ

มิติความต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทาน สถานการณ์โควิด ได้ก่อให้เกิดความชะงักงันในสายอุปทาน การขาดแคลนวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิต และเกิดความล่าช้าในการส่งมอบ เนื่องมาจากผู้ส่งมอบและผู้ขนส่งไม่สามารถดำเนินงานได้ตามปกติ ทำให้กิจการต้องมีการปรับแผนการผลิตและวางแผนการบริหารจัดการด้านอุปทานใหม่ มีการปรับปรุงข้อตกลงหรือทุเลาบางข้อสัญญากับผู้ส่งมอบ การเพิ่มทางเลือกในการสรรหาวัตถุดิบทดแทน การทบทวนแผนการบริหารสินค้าคงคลังให้มีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ฯลฯ

มิติการตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม สถานการณ์โควิด ได้สร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้กิจการต้องเรียนรู้รูปแบบหรือพฤติกรรมการดำรงชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงจากวิถีปกติเดิม และปรับช่องทางการเข้าถึงลูกค้า การขาย การบริการ และการตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น การเพิ่มช่องทางทำธุรกรรมระยะไกลกับลูกค้า การให้บริการสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ การให้บริการจัดส่งสินค้าแบบหน้าประตูถึงหน้าประตู (Door-to-Door Delivery) ฯลฯ

มิติความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สถานการณ์โควิด ได้กลายเป็นตัวเร่งเร้าให้ภาคธุรกิจ ต้องหันมาใช้เครื่องมือดิจิทัล เป็นช่องทางในการติดต่อ ทำธุรกรรม เป็นช่องทางหลักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในแง่ของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรภายในด้วยกันเอง ระหว่างกิจการกับลูกค้าและคู่ค้าภายนอก หรือแม้กระทั่งกับหน่วยงานภาครัฐหรือผู้กำกับดูแล ต่างก็หันมาใช้เครื่องมือดิจิทัลเป็นช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน วิถีปกติใหม่ บีบรัดให้กิจการจำต้องพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) เพื่อให้สามารถรองรับการทำงานโดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐาน

ทั้ง 4 มิติสำคัญข้างต้น มิใช่เป็นทางเลือกสำหรับให้ธุรกิจพิจารณา แต่เป็นทางรอดของทุกธุรกิจที่ต้องผันตัวเองเข้าสู่วิถีปกติใหม่ และควรต้องดำเนินการไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน !


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]