เป้าหมาย 120 วันในการเปิดประเทศ ได้ถูกประกาศโดย พล อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันพุธ (16 มิ.ย.) ที่ผ่านมา จากความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ที่ต้องเปิดเมืองให้พี่น้องประชาชนสามารถกลับออกมาทำมาหากินกันได้อีกครั้ง โดยไม่สามารถรอให้ทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสกันถ้วนหน้าก่อน แล้วจึงค่อยเปิดประเทศ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สถานการณ์ในปัจจุบัน มาถึงจุดที่ประชาชนคนไทยต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิดให้ได้เหมือนกับโรคภัยอื่นๆ โดยหวังพึ่งมาตรการจัดการให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ เพราะทั่วโลกรวมทั้งไทย จะต้องอยู่กับไวรัสนี้ต่อไปอีก โดยยังไม่มีท่าทีว่าจะหมดสิ้นไปในเร็ววัน
แม้ความน่าจะเป็นของการเปิดประเทศภายใต้เป้าหมายดังกล่าว จะไม่เต็มร้อย เนื่องด้วยข้อจำกัดของอัตราการกระจายวัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีนเอง และธรรมชาติของการแพร่ระบาดที่ควบคุมได้ยาก แต่ก็ถือเป็นหลักไมล์ที่ทุกภาคส่วนต้องการบรรลุ มิฉะนั้น ไทยก็จะอาจจะตกขบวนเศรษฐกิจโลก ที่หลายชาติขณะนี้ เริ่มกำหนดแผนในการเปิดประเทศแล้วเช่นกัน
สิ่งที่ภาคธุรกิจต้องเตรียมการในห้วงเวลา 120 วัน เริ่มจากการสำรวจหน้าตักของตนเอง ว่ามีวัตถุดิบ มีทุน มีทรัพยากรเหลือพอ ที่พร้อมรองรับการกลับมาดำเนินธุรกิจอีกครั้งหรือไม่ เพียงใด และหากมีไม่เพียงพอ จะมีช่องทางในการเสาะหาทุนที่ขาดเหล่านั้น เข้ามาเติมได้อย่างไร
ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก จะมีความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งทุน หรือมีความสามารถในการเติมทุนที่จำกัด สิ่งที่ทำได้ในทางปฏิบัติ คือ การแสวงหาหุ้นส่วนร่วมดำเนินงานจาก 3 แหล่ง ได้แก่
แหล่งแรก คือ หุ้นส่วนความร่วมมือในห่วงโซ่คุณค่า เป็นการแสวงหาความร่วมมือระหว่างคู่ค้าภายในห่วงโซ่คุณค่า เพื่อเติมทักษะ เทคโนโลยี แพลตฟอร์มออนไลน์ และทรัพยากรอื่นๆ ที่จำเป็น สำหรับนำไปสู่การกลับมาดำเนินธุรกิจในตลาดได้อีกครั้งหนึ่ง
แหล่งที่สอง คือ โครงการความร่วมมือในอุตสาหกรรม ที่ริเริ่มขึ้นโดยสมาคมการค้าในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม การรวมซื้อวัตถุดิบเพื่อให้ได้ต้นทุนต่ำ ระบบโลจิสติกส์ร่วม การจัดหาแหล่งสินเชื่อเร่งด่วน ดอกเบี้ยต่ำ การซื้อขายลูกหนี้ทางการค้า (Factoring) ฯลฯ สำหรับเป็นตัวช่วยในการฟันฝ่าอุปสรรคความท้าทายที่มีร่วมกัน
แหล่งที่สาม คือ หุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้เสียหลายฝ่าย ที่ซึ่งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมทั้งสถาบันการเงิน ร่วมกันเสริมแรงในการฟื้นคืนปัจจัยทางเศรษฐกิจ ด้วยการทำงานแบบข้ามภาคส่วน ในลักษณะที่เป็นเครือข่ายความร่วมมือ (Cluster) เพื่อให้ได้ระบบนิเวศที่กลับมาใช้บริการได้ดังเดิม
ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งมีทรัพยากรและสายป่านยาว ควรลุกขึ้นมาดำรงบทบาทเป็นองค์กรนำ ทำหน้าที่ประสานและรวบรวมองค์กรขนาดเล็ก ให้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือ โดยใช้ประโยชน์จากขีดความสามารถหลักที่ตนเองมีอยู่ แยกโครงการที่ทำออกจากประเด็นทางการเมือง วางโครงสร้างการกำกับดูแลที่ชัดเจน สร้างกรอบการติดตามงานเดียว มุ่งเน้นที่ผลกระทบและประโยชน์ที่จะตกกับภาคีความร่วมมือเป็นสำคัญ
เป้าหมาย 120 วัน จะเป็นบทพิสูจน์การทำงานของทุกภาคส่วนที่ต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นประโยชน์เพื่อบ้านเมืองของผู้คนทุกกลุ่ม
หากเรายังมีทัศนคติในแบบที่ต่างคนต่างเดิน หรือต่างคนต่างเอาตัวรอด เราจะไม่มี 120 วัน รอบใหม่ สำหรับเปิดประเทศในคำรบสอง
จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ [Archived]
Saturday, June 19, 2021
Saturday, June 05, 2021
จะ ‘หยุด’ หรือ ‘อยู่’ กับโควิด
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในประเทศไทย ดูจะยังไม่มีแนวโน้มในทางที่ลดลงในเร็ววัน การติดเชื้อในคลัสเตอร์ใหม่ๆ โดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรม ได้สร้างความกังวลในทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เพราะจะส่งผลกระทบเป็นทอดๆ ในห่วงโซ่ธุรกิจ ตั้งแต่การหยุดหรือย้ายสายการผลิต ความชะงักงันในสายอุปทาน ความล่าช้าในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการส่งออก
แผนหลักที่ทุกฝ่ายกำลังทำงานหนักในเวลานี้ คือ การระดมฉีดวัคซีนให้กว้างขวางที่สุด เพื่อที่จะระงับการระบาด และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว
อย่างไรก็ดี การวางแผนที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการคาดการณ์ฉากทัศน์ (Scenario) ทั้งในด้านที่เป็นไปตามแผน และที่อาจไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
การตั้งโจทย์ที่แตกต่างออกไป จะทำให้เห็นทางออกหรือทางแก้ปัญหาใหม่ๆ ที่ครอบคลุมรอบด้าน รวมทั้งใช้เป็นแผนสำรองในกรณีที่การดำเนินงานตามแผนหลักไม่เป็นผล
มาตรการที่เรากำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ เป็นไปเพื่อตอบโจทย์ 'จะหยุดโควิดได้อย่างไร' ขณะเดียวกัน ทีมงานผู้จัดทำแผน ก็ควรจะต้องคำนึงถึงโจทย์ที่ว่า 'จะอยู่กับโควิดได้อย่างไร' เพื่อรองรับฉากทัศน์ในด้านที่ไม่เป็นไปตามแผนหลัก
มาตรการ 'หยุด' เชื้อ คือ การใช้วิธีกำจัดหรือยับยั้งมิให้เชื้อแพร่กระจาย โดยมีเครื่องมือที่จำเป็น คือ การใช้วัคซีน การล็อกดาวน์พื้นที่ เป็นต้น
ในความเป็นจริง เราอาจไม่สามารถขจัดเชื้อให้หมดไปจนเป็นศูนย์ ทำให้ต้อง 'อยู่' กับโควิด ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในกรณีนี้ เครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ จะแตกต่างจากกรณีการหยุดเชื้อมิให้ระบาด เช่น การจัดเขต (Zoning) การจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพ การกำหนดกะการทำงาน (สำหรับบุคลากรหรืองานที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค) การสร้างวัฒนธรรมสุขภาพ ฯลฯ
ในภาคธุรกิจ การอยู่กับโควิด มีสิ่งที่องค์กรต้องพิจารณาดำเนินการใน 4 ระดับที่เชื่อมโยงกับกระบวนงาน-โครงสร้าง-ความสัมพันธ์-โมเดลทางธุรกิจ ตามลำดับ
ระดับที่หนึ่ง เริ่มจากการที่ธุรกิจ ดำเนินการพิจารณาทบทวนกระบวนงานของกิจการ ในทางที่เอื้อให้เกิดความต่อเนื่องทางธุรกิจ การลดผลกระทบทางลบที่เกิดขึ้นจากการคงอยู่ของโควิด เป็นการจัดกระบวนงานในธุรกิจ (Business Process) ใหม่ ให้ตอบสนองต่อสถานการณ์และให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้
ระดับที่สอง เป็นการนำเอาประเด็นด้านสุขภาพที่ต้องเฝ้าระวังจากโควิด มาใช้เป็นแนวในการกำหนดเป้าประสงค์ และกลยุทธ์เชิงรุก เพื่อพัฒนาความริเริ่มใหม่ ๆ ในอันที่จะสร้างคุณค่าร่วม หรือสร้างผลกระทบทางบวกแก่ธุรกิจ เป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจ (Business Structure) ให้ตอบสนองต่อสถานการณ์และสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ
ระดับสาม เป็นการขยายการทำงานร่วมกันกับผู้มีส่วนได้เสียหลายฝ่าย หรือเป็นการพัฒนาหุ้นส่วนร่วมดำเนินงานรัฐ-เอกชน เพื่อเพิ่มผลลัพธ์หรือผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง เป็นการสานสัมพันธ์ทางธุรกิจ (Business Engagement) ในการขยายบทบาทหรืออิทธิพลไปสู่หน่วยงานที่อยู่รายรอบ ให้ตอบสนองต่อสถานการณ์และขยายผลสู่วงกว้าง
ระดับที่สี่ เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบทางธุรกิจ ที่ส่งผลต่อตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการในปัจจุบัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ธุรกิจมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่สอดคล้องกับการคงอยู่ของโควิด เป็นการพัฒนาโมเดลทางธุรกิจ (Business Model) ใหม่ ให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ในระยะยาว
การขับเคลื่อนของภาคธุรกิจเพื่อตอบสนองต่อการคงอยู่ของโควิด มิได้จำกัดอยู่เพียงการดำเนินงานที่จะดูแลผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้น แต่ยังรวมถึงการแสวงหาโอกาสที่จะสร้างให้เกิดผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมโดยรวม นอกจากองค์กรตนเอง ด้วยการปรับเปลี่ยนกระบวนงาน-โครงสร้าง-ความสัมพันธ์-โมเดลทางธุรกิจข้างต้น
จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ [Archived]
แผนหลักที่ทุกฝ่ายกำลังทำงานหนักในเวลานี้ คือ การระดมฉีดวัคซีนให้กว้างขวางที่สุด เพื่อที่จะระงับการระบาด และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว
อย่างไรก็ดี การวางแผนที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการคาดการณ์ฉากทัศน์ (Scenario) ทั้งในด้านที่เป็นไปตามแผน และที่อาจไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
การตั้งโจทย์ที่แตกต่างออกไป จะทำให้เห็นทางออกหรือทางแก้ปัญหาใหม่ๆ ที่ครอบคลุมรอบด้าน รวมทั้งใช้เป็นแผนสำรองในกรณีที่การดำเนินงานตามแผนหลักไม่เป็นผล
มาตรการที่เรากำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ เป็นไปเพื่อตอบโจทย์ 'จะหยุดโควิดได้อย่างไร' ขณะเดียวกัน ทีมงานผู้จัดทำแผน ก็ควรจะต้องคำนึงถึงโจทย์ที่ว่า 'จะอยู่กับโควิดได้อย่างไร' เพื่อรองรับฉากทัศน์ในด้านที่ไม่เป็นไปตามแผนหลัก
มาตรการ 'หยุด' เชื้อ คือ การใช้วิธีกำจัดหรือยับยั้งมิให้เชื้อแพร่กระจาย โดยมีเครื่องมือที่จำเป็น คือ การใช้วัคซีน การล็อกดาวน์พื้นที่ เป็นต้น
ในความเป็นจริง เราอาจไม่สามารถขจัดเชื้อให้หมดไปจนเป็นศูนย์ ทำให้ต้อง 'อยู่' กับโควิด ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในกรณีนี้ เครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ จะแตกต่างจากกรณีการหยุดเชื้อมิให้ระบาด เช่น การจัดเขต (Zoning) การจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพ การกำหนดกะการทำงาน (สำหรับบุคลากรหรืองานที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค) การสร้างวัฒนธรรมสุขภาพ ฯลฯ
ในภาคธุรกิจ การอยู่กับโควิด มีสิ่งที่องค์กรต้องพิจารณาดำเนินการใน 4 ระดับที่เชื่อมโยงกับกระบวนงาน-โครงสร้าง-ความสัมพันธ์-โมเดลทางธุรกิจ ตามลำดับ
ระดับที่หนึ่ง เริ่มจากการที่ธุรกิจ ดำเนินการพิจารณาทบทวนกระบวนงานของกิจการ ในทางที่เอื้อให้เกิดความต่อเนื่องทางธุรกิจ การลดผลกระทบทางลบที่เกิดขึ้นจากการคงอยู่ของโควิด เป็นการจัดกระบวนงานในธุรกิจ (Business Process) ใหม่ ให้ตอบสนองต่อสถานการณ์และให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้
ระดับที่สอง เป็นการนำเอาประเด็นด้านสุขภาพที่ต้องเฝ้าระวังจากโควิด มาใช้เป็นแนวในการกำหนดเป้าประสงค์ และกลยุทธ์เชิงรุก เพื่อพัฒนาความริเริ่มใหม่ ๆ ในอันที่จะสร้างคุณค่าร่วม หรือสร้างผลกระทบทางบวกแก่ธุรกิจ เป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจ (Business Structure) ให้ตอบสนองต่อสถานการณ์และสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ
ระดับสาม เป็นการขยายการทำงานร่วมกันกับผู้มีส่วนได้เสียหลายฝ่าย หรือเป็นการพัฒนาหุ้นส่วนร่วมดำเนินงานรัฐ-เอกชน เพื่อเพิ่มผลลัพธ์หรือผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง เป็นการสานสัมพันธ์ทางธุรกิจ (Business Engagement) ในการขยายบทบาทหรืออิทธิพลไปสู่หน่วยงานที่อยู่รายรอบ ให้ตอบสนองต่อสถานการณ์และขยายผลสู่วงกว้าง
ระดับที่สี่ เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบทางธุรกิจ ที่ส่งผลต่อตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการในปัจจุบัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ธุรกิจมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่สอดคล้องกับการคงอยู่ของโควิด เป็นการพัฒนาโมเดลทางธุรกิจ (Business Model) ใหม่ ให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ในระยะยาว
การขับเคลื่อนของภาคธุรกิจเพื่อตอบสนองต่อการคงอยู่ของโควิด มิได้จำกัดอยู่เพียงการดำเนินงานที่จะดูแลผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้น แต่ยังรวมถึงการแสวงหาโอกาสที่จะสร้างให้เกิดผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมโดยรวม นอกจากองค์กรตนเอง ด้วยการปรับเปลี่ยนกระบวนงาน-โครงสร้าง-ความสัมพันธ์-โมเดลทางธุรกิจข้างต้น
จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ [Archived]
Subscribe to:
Posts (Atom)