Saturday, July 27, 2024

การพัฒนาความยั่งยืนจาก 'องค์กร' สู่ 'องค์รวม'

การวางเส้นทางความยั่งยืนขององค์กร เป็นการเดินทางใน ‘โลกคู่ผสม’ ที่ความยั่งยืนของกิจการกับความยั่งยืนของส่วนรวม สามารถขับเคลื่อนสอดประสานไปด้วยกัน

เวลาที่เราพูดเรื่องความยั่งยืนในบริบทของการทำธุรกิจ ประเด็นที่มักถกเถียงกันโดยไม่มีข้อยุติ คือ การดำเนินธุรกิจควรเป็นไปเพื่อความยั่งยืนของใคร จะเป็นความยั่งยืนของกิจการ หรือความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวม

คำตอบแรกในใจของผู้บริหาร เชื่อว่า ความยั่งยืนของกิจการต้องมาก่อน ส่วนความยั่งยืนอื่นใด จะพิจารณาเป็นลำดับถัดไป ซึ่งมักจะตรงข้ามกับสิ่งที่ผู้บริหารแถลงกับสาธารณะ ในทางที่สร้างภาพลักษณ์ว่า กิจการที่ตนดูแลประกอบธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนของส่วนรวม ก่อนความยั่งยืนของกิจการ

แน่นอนว่า หากผู้บริหารยึดประโยชน์โดยใช้เกณฑ์วัดที่เป็นผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น กรณีแรกนี้ การดำเนินงานจะมุ่งที่ความยั่งยืนของกิจการเป็นหลัก แต่หากผู้บริหารใช้เกณฑ์วัดที่เป็นผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสีย กรณีหลังนี้ การดำเนินงานจะมุ่งที่ความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ

ที่ผ่านมา การดำเนินงานหรือการตัดสินใจทางธุรกิจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มักต้องเลือกระหว่างผลตอบแทนหรือผลกระทบ ทำให้เส้นทางความยั่งยืนที่องค์กรวางไว้ จึงเป็นเหมือนการเดินทางใน ‘โลกคู่ขนาน’ ที่ความยั่งยืนของกิจการ กับความยั่งยืนของส่วนรวม ไม่อาจมาบรรจบกันได้

ความพยายามที่จะให้ธุรกิจดำเนินงานโดยคำนึงถึงความยั่งยืนในทั้งสองทาง ได้มาถึงจุดที่มีการพัฒนาเครื่องมือหนึ่ง ที่เรียกว่า การประเมินทวิสารัตถภาพ (Double Materiality) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นประเด็นความยั่งยืนทั้งในแง่ที่เป็นผลกระทบ (Impacts) ความเสี่ยง (Risks) และโอกาส (Opportunities) รวมเรียกว่า ชุดประเด็น IROs ที่สำคัญกับกิจการ

ตั้งต้นจากการพิจารณาการดำเนินงานของกิจการที่มีผลกระทบสู่ภายนอก (Inside-out) เช่น ประเด็นมลอากาศ ของเสีย หรือความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในการจัดทำกลยุทธ์องค์กร การปรับปรุงตัวแบบทางธุรกิจ รวมทั้งการตัดสินใจของฝ่ายจัดการ (และในการลงทุน) ตลอดจนใช้ในการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้เสียผ่านการรายงานความยั่งยืน

ถัดมาเป็นการพิจารณาผลกระทบภายนอกที่มีต่อตัวกิจการ (Outside-in) เช่น ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภูมิรัฐศาสตร์ หรือเงินเฟ้อ เพื่อใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในการระบุความเสี่ยงและโอกาสต่อการดำเนินงานทางธุรกิจ สำหรับวางแผนจัดการความเสี่ยง หรือแผนพัฒนาธุรกิจใหม่ เป็นต้น

ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดจากกิจการในแบบ Inside-out ซึ่งมีนัยสำคัญและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจและการดำเนินงานของฝ่ายจัดการโดยคำนึงถึงผลกระทบเหล่านั้น อาจส่งผลย้อนกลับหรือถูกยกขึ้นเป็นความเสี่ยงและโอกาสที่สำคัญในแบบ Outside-in ได้ด้วย

โดยความเกี่ยวโยงระหว่างการดำเนินงานของกิจการที่มีผลกระทบสู่ภายนอก กับความเสี่ยงและโอกาสที่มีต่อตัวกิจการ ในตัวอย่างประเด็นมลอากาศ ได้แก่ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะช่วยลดความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และอาจช่วยเพิ่มโอกาสทางรายได้ใหม่จากการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต

ในตัวอย่างประเด็นของเสีย ได้แก่ การนำของเสียมาแปรสภาพใช้ใหม่ มาใช้ผลิตใหม่ หรือนำกลับมาใช้ซ้ำ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือในตัวอย่างประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น กรณีการระบาดของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำ เป็นความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงานที่มีผลกระทบสูงต่อระบบนิเวศ ซึ่งสามารถย้อนกลับมาเป็นภาระรับผิดชอบที่กิจการต้องดำเนินการป้องกัน แก้ไข และเยียวยาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเกิดข้อผิดพลาด

ดังนั้น การประเมินทวิสารัตถภาพ โดยมีจุดตั้งต้นจากการวิเคราะห์ผลกระทบความยั่งยืน (Sustainability Impact) เพื่อให้ได้มาซึ่งชุดประเด็น IROs ที่สำคัญกับกิจการ จึงมีความจำเป็นยิ่งต่อการพัฒนากลยุทธ์การดำเนินงานขององค์กรให้สามารถตอบโจทย์ความยั่งยืนได้ในทั้งสองทาง

และจะทำให้การวางเส้นทางความยั่งยืนขององค์กร เป็นการเดินทางใน ‘โลกคู่ผสม’ ที่ความยั่งยืนของกิจการกับความยั่งยืนของส่วนรวม สามารถขับเคลื่อนสอดประสานไปด้วยกัน ภายใต้ชุดประเด็น IROs ที่กิจการคัดเลือกมาดำเนินการ ด้วยเห็นว่ามีความเกี่ยวเนื่อง มีนัยสำคัญสูง สอดคล้องกับบริบทความยั่งยืนขององค์กร และที่สำคัญ สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียได้อย่างรอบด้าน

สถาบันไทยพัฒน์ องค์กรที่มุ่งเน้นงานส่งเสริมความยั่งยืนของกิจการ และขับเคลื่อนประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ร่วมกับภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี เล็งเห็นถึงความสำคัญในการปูพื้นความเข้าใจเรื่องทวิสารัตถภาพ จึงได้พัฒนา Double Materiality Course ที่สอดคล้องกับแนวทางการนำไปปฏิบัติตามมาตรฐาน ESRS ขึ้นเพื่อจัดอบรมในเดือนสิงหาคมนี้ องค์กรที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ thaipat.org


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, July 13, 2024

10 ปี การเดินทางของหุ้น ESG100

นับตั้งแต่ที่สถาบันไทยพัฒน์บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ และเป็นผู้ริเริ่มการประเมินข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ของบริษัทจดทะเบียนในปี พ.ศ. 2558 ได้ทำการประกาศรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่า กลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ซึ่งถือเป็นการจัดอันดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจครั้งแรกในประเทศไทย


ปัจจุบัน หน่วยงาน ESG Rating ของสถาบันไทยพัฒน์ ได้ดำเนินการประเมินข้อมูลด้านความยั่งยืนของหลักทรัพย์จดทะเบียนต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบในปีนี้ ด้วยการคัดเลือกจาก 567 หลักทรัพย์ในปีแรก เพิ่มจำนวนมาเป็น 920 หลักทรัพย์ในปี 2567 โดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ESG จาก 6 แหล่ง จำนวนกว่า 17,037 จุดข้อมูล ตามที่บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์เผยแพร่ไว้ต่อสาธารณะ

เกณฑ์ในการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ESG ผนวกเข้ากับข้อมูลทางการเงิน ที่เรียกว่า Integrated ESG Assessment เพื่อประเมินตัวเลขผลประกอบการหรือผลการดำเนินงานที่สัมพันธ์กับประเด็นด้าน ESG ของบริษัท สำหรับตอบโจทย์ผู้ลงทุนในมิติของการลงทุนที่ยั่งยืนว่า บริษัทที่มี ESG ดี จะสามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีด้วย

โดยในปี พ.ศ. 2561 หลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลการประเมินมาสามปี ได้ขยายผลมาสู่การจัดทำดัชนีอีเอสจี ไทยพัฒน์ โดยมี S&P Dow Jones เป็นผู้คำนวณและเผยแพร่ข้อมูลดัชนี ผ่านหน้าจอ Bloomberg และ Reuters ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วโลก

Thaipat ESG Index เป็นดัชนีอีเอสจีแรกในประเทศไทย ที่ใช้การคำนวณดัชนีด้วยวิธีถ่วงน้ำหนักหลักทรัพย์เท่ากัน (Equal Weighed Index) คือ ให้ความสำคัญกับหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของดัชนีเท่ากันทุกหลักทรัพย์ โดยไม่ขึ้นกับขนาดของหลักทรัพย์ ทำให้ดัชนีสามารถสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ได้อย่างเท่าเทียมกันในทุกหลักทรัพย์ และเปิดโอกาสให้หลักทรัพย์คุณภาพขนาดเล็กที่ผ่านเกณฑ์ด้าน ESG สามารถส่งผลต่อค่าของดัชนีได้ ในสัดส่วนที่เท่ากับหลักทรัพย์ขนาดใหญ่

ดัชนีอีเอสจี ไทยพัฒน์ ในรอบเดือน ก.พ.-ก.ค 67 ประกอบด้วยหลักทรัพย์จำนวน 48 หลักทรัพย์ โดย 10 อันดับหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี ได้แก่ BEM BH CKP CPALL CPF DELTA KTB RCL SCGP TFG คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24.3 ของดัชนี (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิ.ย. 67)

ประโยชน์ของการจัดทำดัชนีในฝั่งของผู้ลงทุน (Investors) จะช่วยให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และผู้ลงทุนสถาบัน สามารถใช้ทำเนียบหุ้น ESG100 และดัชนีอีเอสจี ไทยพัฒน์ เป็นดัชนีอ้างอิงและเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนตามหลักธรรมาภิบาลการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนสถาบัน (Investment Governance Code) ในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยยังได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

ตัวเลขผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนีผลตอบแทนรวม Thaipat ESG Index TR ตั้งแต่จัดทำดัชนี (30 มิ.ย. 58) อยู่ที่ 1.88% ต่อปี โดยยังมีผลตอบแทนเป็นบวก และชนะดัชนีผลตอบแทนรวม SET TRI ซึ่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 1.74% ต่อปี ในช่วงเวลาเดียวกัน (ข้อมูล ณ วันที่ 11 ก.ค. 67)

ส่วนในฝั่งของบริษัทที่ได้รับการลงทุน (Investees) ประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ประการแรก ได้แก่ การที่บริษัทจะได้รับทราบสถานะการดำเนินงานด้าน ESG ในปัจจุบันของกิจการ ด้วยชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และเป็นการประเมินอย่างอิสระโดยหน่วยงานภายนอก โดยใช้เกณฑ์และหลักการที่อ้างอิงตามแนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานสากล อาทิ WFE, GRI, ISSB, UN PRI

ประการที่สอง เนื่องจากการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 คำนึงถึงประเด็น ESG ที่มีนัยสำคัญตามบริบทของแต่ละอุตสาหกรรม และต้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กับธุรกิจแกนหลัก (Core Business) ขององค์กร นอกเหนือจากประเด็น ESG พื้นฐาน ทำให้บริษัทสามารถนำผลการประเมินในรูปแบบของรายงานวิเคราะห์เชิงลึก ไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับการวางแผนพัฒนาปรับปรุงเพื่อยกระดับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับ ESG ได้อย่างตรงจุด สอดคล้องกับบริบทเฉพาะองค์กร (Company-specific) และบริบทเฉพาะอุตสาหกรรม (Industry-specific) ควบคู่ไปพร้อมกัน

ประการที่สาม ด้วยเหตุที่การประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ใช้ข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะตามช่องทางที่บริษัทเผยแพร่เป็นปกติ ทำให้ไม่เป็นภาระแก่บริษัทในการจัดเตรียมข้อมูลสำหรับการประเมินเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ก็เป็นการกระตุ้นให้บริษัทพัฒนาการเปิดเผยข้อมูล ESG ต่อสาธารณะ ในรูปแบบรายงานความยั่งยืน หรือในแบบ 56-1 (One Report) เพื่อให้มีข้อมูลที่สมบูรณ์และเพียงพอต่อการประเมิน ESG100 อันจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียอื่นที่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูล ESG ดังกล่าวด้วย

สำหรับการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2567 ที่ได้แล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม ประกอบด้วยหลักทรัพย์เข้าใหม่ (กลุ่ม ESG Emerging) ซึ่งได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นครั้งแรก จำนวน 19 หลักทรัพย์ ได้แก่ ADVICE BBGI COCOCO CPNREIT GFC HUMAN KCG LHHOTEL LPF NSL Q-CON SAFE SECURE SHR TPBI TTA UP WHAUP WPH

โดยจะถูกนำไปใช้ทบทวนรายการหลักทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณดัชนี อีเอสจี ไทยพัฒน์ หรือ Thaipat ESG Index สำหรับรอบการปรับหลักทรัพย์ (Rebalance) ในเดือนกรกฎาคม ปี 67 โดยมีผลในวันทำการแรกของเดือนถัดไป


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, June 29, 2024

AI กับการรายงานข้อมูลความยั่งยืน

กระแสเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในแวดวงความยั่งยืน เป็นหนึ่งในประเด็นร้อนแรงที่องค์กรในภาคเอกชนต่างเริ่มเห็นความสำคัญและจำเป็นต้องพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วนสำหรับเตรียมพร้อมปรับตัวเพื่อรับกับแนวโน้มที่เกิดขึ้น


S&P Global คาดการณ์ว่า ภาคธุรกิจจะยกระดับการวัดและจัดการประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญ เช่น ปริมาณการใช้พลาสติกตลอดห่วงโซ่คุณค่า ภายใต้มาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นข้อบังคับในบางประเทศ ขณะที่การประเมินผลกระทบในห่วงโซ่คุณค่ามีความซับซ้อน ทำให้มีความจำเป็นที่ต้องมีระเบียบวิธีที่โปร่งใสและการรวบรวมข้อมูลที่มีคุณภาพ

ประเด็นเรื่องการพึ่งพิงเทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น การเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้ไปเพิ่มแรงกดดันที่ต้องมีระบบกำกับดูแลที่เข้มแข็งเพื่อเป็นหลักประกันในการจัดการกับโอกาสและความเสี่ยงต่อการมีอยู่ของปัญญาประดิษฐ์

จากแนวโน้มที่ภาคธุรกิจเริ่มจับตาการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในรอบล่าสุด สิ่งที่ทั้งภาคธุรกิจรวมถึงภาครัฐต่างต้องเผชิญในระยะเวลาอันใกล้นี้ คือ แรงกดดันที่จะต้องทำให้แน่ใจว่าได้มีการกำกับดูแลอย่างเข้มแข็งในการจัดการกับโอกาสและความเสี่ยงที่มากับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์

การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สามารถใช้ช่วยสนับสนุนเป้าหมายความยั่งยืนและนำไปสู่ประสิทธิภาพการดำเนินงานแบบใหม่ อาทิ การค้นพบวิธีใหม่ ๆ ในการติดตามและทำความเข้าใจกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จากความสามารถของเทคโนโลยีในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ และสามารถลดกำแพงต้นทุนที่ใช้ติดตามและรายงานประเด็น ESG ให้ต่ำลงได้

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สถาบันไทยพัฒน์ ได้จัดสัมมนาในรูปแบบ Webinar หัวข้อ “Innovating Sustainability: the Generative AI Revolution” ให้แก่องค์กรสมาชิกในประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน (SDC) ที่ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 160 องค์กร

ในการสัมมนาครั้งนี้ ได้มีการแนะนำร่าง GRI Sustainability Taxonomy ที่พัฒนาขึ้นโดยองค์การแห่งความริเริ่มว่าด้วยการรายงานสากล (Global Reporting Initiative) เพื่อใช้สำหรับการจัดทำรายงานดิจิทัล หรือ Digital Reporting โดยใช้ภาษา XBRL (eXtensible Business Reporting Language) สำหรับการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน รองรับมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของ IFRS (International Financial Reporting Standards) และบทบัญญัติการรายงานข้อมูลความยั่งยืนของกิจการ (CSRD) ของสหภาพยุโรป

การเข้าถึงข้อมูลความยั่งยืนดังกล่าว จะเอื้อให้เกิดการใช้ประโยชน์จาก Generative AI ในการร่างรายงานความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยองค์กรผู้จัดทำรายงานลดภาระและเวลาในการจัดทำรายงาน รวมทั้งช่วยให้องค์กรมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาคุณภาพของข้อมูลที่เปิดเผย ตลอดจนเพิ่มผลิตภาพของการรายงานจากการมีระบบข้อมูลที่แข็งแกร่ง แม่นยำ และครบถ้วน

อย่างไรก็ดี การรับเอาปัญญาประดิษฐ์มาใช้อย่างกว้างขวาง อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการชะงักงันด้านแรงงาน การละเมิดลิขสิทธ์หรือความเป็นส่วนตัว ทำให้การมีข้อปฏิบิติทางจริยธรรมและการกำกับดูแลที่มีประสิทธิผลจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด

กฎหมายและกฎระเบียบว่าด้วยการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ โดยสหภาพยุโรปได้อนุมัติกฎหมายว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI Act) เป็นฉบับแรกของโลก เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2567 โดยกฎหมายฉบับนี้จะช่วยส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรม และปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานในเวลาเดียวกัน

กฎหมายว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์ของสหภาพยุโรป แบ่งหมวดหมู่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ตามระดับความเสี่ยง ได้แก่ 1) AI ที่ไม่สามารถยอมรับได้ (Unacceptable AI) ห้ามใช้งานในสหภาพยุโรป เช่น การใช้ AI ในการให้คะแนนบุคคล (social scoring) โดยหน่วยงานรัฐ 2) AI ที่มีความเสี่ยงสูง (High-risk AI) ผู้ให้บริการจะต้องนำระบบ AI ขึ้นทะเบียนและเข้ารับการตรวจสอบรับรองก่อนนำออกสู่ตลาด เช่น เครื่องจักร ของเล่น อุปกรณ์วิทยุ และ 3) AI ที่มีความเสี่ยงต่ำ (Limited-risk AI) หรือไม่มีความเสี่ยง (No-risk AI) สามารถใช้ได้โดยไม่มีเงื่อนไข เช่น แอปพลิเคชันมือถือ วีดีโอเกม ระบบกรองสแปม เป็นต้น

โดยข้อบังคับทางกฎหมาย จะครอบคลุมการใช้งานและการควบคุมระบบ AI ในประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกสหภาพยุโรปหลายมิติ อาทิ 1) ห้ามส่งออกระบบ AI เพื่อการกระทำต้องห้ามตามร่างกฎหมายฯ 2) บังคับใช้ข้อกำหนดต่าง ๆ โดยไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ให้บริการระบบ AI 3) ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการสร้างผลงานจาก AI ที่จะนำเข้ามาใช้ในเขตสหภาพยุโรป และ 4) หากระบบ AI ที่มีผู้ดำเนินการอยู่นอกเขตมีแนวโน้มกระทบต่อบุคคลในเขตสหภาพยุโรป จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเช่นเดียวกัน

ในอนาคตอันใกล้ การใช้ประโยชน์ GenAI ในการพัฒนาความยั่งยืนของกิจการผ่านการดำเนินการทางข้อมูลในรูปของรายงานดิจิทัล จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของบุคลากรในแวดวงความยั่งยืนที่ไม่พร้อมปรับตัวนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ประโยชน์ จนอาจเกิดการทดแทนตำแหน่งงานทางวิชาชีพด้านความยั่งยืนไม่มากก็น้อย


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, June 15, 2024

เทคโนโลยี ในฐานะปัจจัยคู่ของความยั่งยืน

เทคโนโลยี ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน หมายถึง วิทยาการที่นำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติ เช่น ใช้ในอุตสาหกรรม

ในบริบทความยั่งยืนระดับองค์กร เทคโนโลยีมีบทบาทที่เป็นได้ทั้งปัจจัยความยั่งยืนโดยตัวเอง และเป็นปัจจัยที่สร้างให้เกิดความยั่งยืนของกิจการ จึงเรียกว่าเป็นปัจจัยคู่ของความยั่งยืน หรือ Twin Factor of Sustainability

เทคโนโลยีในฐานะที่เป็นปัจจัยความยั่งยืนในตัวเอง หมายถึง การได้มาและมีอยู่ของเทคโนโลยี จะมีผลกระทบทางตรงต่อสังคมและ/หรือสิ่งแวดล้อม ที่สามารถคำนวณเป็นฟุตพรินต์ปริมาณก๊าซเรือนกระจก ฟุตพรินต์ปริมาณการใช้น้ำ หรือฟุตพรินต์ปริมาณการใช้พลาสติก ฯลฯ โดยองค์กรสามารถใช้ประเมินและจัดระดับว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีความยั่งยืน (Technology as Sustainability) มากน้อยเพียงใด

ข้อมูลตัวอย่างจากกระทรวงพลังงานสหรัฐ ระบุว่า ศูนย์ข้อมูล (Data Center) มีการใช้พลังงานไฟฟ้ามากถึง 10-50 เท่าของการใช้ไฟฟ้าต่อพื้นที่ใช้สอยเมื่อเทียบกับอาคารพาณิชย์ทั่วไป ขณะที่การใช้น้ำในการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล พบว่า ปริมาณการใช้น้ำสำหรับศูนย์ข้อมูลของกูเกิล ที่เปิดเผยเมื่อปลายปี ค.ศ. 2022 มีปริมาณสูงถึง 1.7 ล้านลิตรต่อวัน เป็นต้น

ตามข้อเสนอแนะในภาคการกำหนดมาตรฐานโทรคมนาคมของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU-T L.1480) นิยามให้ฟุตพรินต์ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการได้มาและมีอยู่ของเทคโนโลยี คือ ผลอันดับแรก (First Order Effect) ที่จัดเป็นผลกระทบทางตรง

สำหรับเทคโนโลยีในฐานะปัจจัยที่สร้างให้เกิดความยั่งยืนของกิจการ หมายถึง การใช้งานเทคโนโลยีที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมในองค์กร ในทางที่เกิดเป็นผลกระทบเชิงบวกหรือผลกระทบเชิงลบ อันส่งผลต่อความยั่งยืนของกิจการโดยรวม โดยองค์กรสามารถใช้ตัดสินใจว่าเป็นเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Technology for Sustainability) มากน้อยเพียงใด

การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นผลอันเกิดจากการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าว อาจก่อให้เกิดการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (จากกิจกรรมเดิมที่ยุติหรือลดลง) หรือไปเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจก (จากกิจกรรมใหม่ที่เพิ่มขึ้น หรือจากกิจกรรมเดิมที่แก้ไขเพิ่มเติม) โดยพิจารณาผลที่เกิดขึ้นจริง หรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งคือ ผลอันดับสอง (Second Order Effect) ที่จัดเป็นผลกระทบทางอ้อม

ตัวอย่างการใช้งานอีคอมเมิร์ซโซลูชัน จะก่อให้เกิดผลอันดับสองที่เป็นบวกจากปริมาณการเดินทางที่ลดลงของลูกค้ามายังร้านค้า แต่ก็ไปเพิ่มผลอันดับสองที่เป็นลบจากปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้นเพื่อส่งมอบสินค้าไปยังลูกค้า รวมถึงไปเพิ่มภาระด้านบรรจุภัณฑ์และการบำบัดของเสีย เป็นต้น

นอกเหนือจากต้นทุนทางเทคโนโลยีที่องค์กรต้องคำนึงถึงและส่งผลต่อบรรทัดสุดท้ายที่เป็นกำไรสุทธิ (Net Profit) แล้ว การพิจารณาถึงผลรวมของ First Order และ Second Order Effect จะช่วยให้องค์กรหยั่งรู้ถึงมูลค่าเชิงบวกสุทธิ (Net Positive) ซึ่งเป็นมูลค่าแฝงเพิ่มเติมจากกำไรสุทธิ ที่นำไปใช้ประเมินความคุ้มค่าของการตัดสินใจลงทุนในเทคโนโลยีดังกล่าวได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

ตัวอย่างโครงการเทคโนโลยีที่หากบริษัทมีการลงทุน จะมียอดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน First Order Effect เพิ่มขึ้น 41 tCO2e ขณะที่ยอดการลดก๊าซเรือนกระจกใน Second Order Effect จากกิจกรรมที่ลดลง มีจำนวน 426 tCO2e คิดเป็นผลรวมของ First Order และ Second Order Effect สุทธิที่ลดลงได้ 385 tCO2e เมื่อใช้ราคาคาร์บอนอ้างอิงของตลาดคาร์บอนภาคบังคับในสหภาพยุโรปที่ 66 ยูโร/ tCO2e หรือคิดเป็น 2,600 บาท/ tCO2e กิจการจะมีมูลค่าเชิงบวกสุทธิเพิ่มจากกำไรสุทธิอีก 1 ล้านบาท

นอกจากนี้ หากมีการพิจารณา ผลอันดับขั้นสูง (Higher Order Effect) ซึ่งเป็นผลกระทบทางอ้อมระยะยาวของผลอันดับสอง ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการบริโภค รูปแบบการดำเนินชีวิต และระบบค่านิยมร่วมด้วย เช่น ความนิยมในการบริโภคสินค้าสีเขียวเพิ่มขึ้น จะเปิดโอกาสให้องค์กรเติบโตจากอุปสงค์หรือขนาดตลาดที่เพิ่มขึ้น โดยคำนวณเป็นตัวเลขมูลค่าศักย์เชิงบวกสุทธิ (Net Positive Potential) ที่ชี้ได้ว่าโครงการเทคโนโลยีดังกล่าวควรค่าแก่การลงทุนจริงมากน้อยเพียงใด

ตัวอย่างร้านอาหารเก่าแก่ที่หันมาใช้แอปพลิเคชันสั่งอาหารออนไลน์และระบบเดลิเวอรี ก่อให้เกิดผลซึ่งไม่เพียงช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเดินทางของลูกค้าแต่ละรายมายังร้านอาหาร (Second Order Effect) แล้ว ยังส่งผลให้สามารถขยายตลาดและรับลูกค้าในระบบเดลิเวอรีได้เพิ่มขึ้นจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมสั่งอาหารออนไลน์เติบโตขึ้น (Higher Order Effect) ทำให้ร้านมียอดขายและกำไรเพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องขยายหน้าร้านหรือเสียค่าเช่าพื้นที่เพิ่มจากเดิม

จะเห็นว่า การพิจารณาผลกระทบทางตรงที่เป็น First Order Effect โดยมุ่งลดฟุตพรินต์ปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการได้มาและมีอยู่ของเทคโนโลยี มิใช่คำตอบสุดท้ายของเรื่องความยั่งยืน แต่เป็นการใช้ข้อมูล Second Order และ Higher Order Effect จากการใช้งานเทคโนโลยีที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมในองค์กรและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคในทางที่เกิดเป็นผลบวกสุทธิ (Net Positive) ต่างหาก ที่จะตอบโจทย์ความยั่งยืนได้อย่างครบถ้วน


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, June 01, 2024

ทำเนียบบริษัทกลุ่ม ESG Emerging ปี 2567

ปัจจุบัน กิจการที่หวังจะให้การดำเนินธุรกิจของตนได้รับการยอมรับจากสังคม และมีหลักทรัพย์ที่ได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุน หนีไม่พ้นที่จะต้องได้รับการประเมินเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) จากหน่วยงานประเมินภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือและมีความเป็นกลางในการประเมิน ปลอดจากการแทรกแซงโดยกิจการที่ถูกประเมิน


จากผลการสำรวจหน่วยงานผู้ประเมินและจัดระดับด้าน ESG ทั่วโลก พบว่า มีอยู่มากกว่า 600 แห่ง และมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามการเติบโตของตลาด (SustainAbility, 2020)

โดยที่แต่ละสำนักผู้ประเมิน ต่างก็มีระเบียบวิธีและเกณฑ์ที่ใช้ประเมินแตกต่างกัน จึงมีความหลากหลายในผลประเมินที่ทั้งองค์กรผู้เป็นเจ้าของข้อมูลที่ถูกประเมิน และผู้ลงทุน รวมทั้งบุคคลทั่วไปที่สนใจ จะนำไปใช้ประโยชน์จากผลประเมินที่ได้รับ

จากผลสำรวจของ Institutional Shareholder Services ที่เผยแพร่ผ่านเอกสาร ESG Corporate Rating Survey เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ระบุว่า ผู้ลงทุนใช้ประโยชน์จากการประเมิน ESG ของกิจการ สูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ การใช้เพื่อประเมินความเสี่ยงด้าน ESG (83%) การใช้เพื่อจัดทำรายงาน (79%) และการใช้เพื่อพิจารณาผลกระทบด้านความยั่งยืน (77%) ตามลำดับ

ขณะที่ผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มที่มิใช่ผู้ลงทุนใช้ประโยชน์จากการประเมิน ESG ของกิจการ สูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ การใช้เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะการดำเนินงาน หรือ Benchmarking (71%) การใช้เพื่อจัดการความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่น (63%) และการใช้เพื่อรับทราบประเด็นสำคัญสำหรับการรายงานความยั่งยืน (62%) ตามลำดับ

สถาบันไทยพัฒน์ โดยหน่วยงาน ESG Rating ซึ่งเป็นผู้พัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย และเป็นผู้จัดทำข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ได้จัดทำรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2567 ด้วยการคัดเลือกจาก 920 บริษัท/กองทุน/ทรัสต์เพื่อการลงทุน ทำการประเมินโดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ESG จาก 6 แหล่ง จำนวนกว่า 17,037 จุดข้อมูล

สำหรับการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนกลุ่ม ESG Emerging ในปีนี้ นับเป็นปีที่ 5 ของการประเมิน โดยพิจารณาจากข้อมูลการดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG ตามที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ และผ่านเกณฑ์คัดกรองเบื้องต้นที่ใช้ในการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ตามหลักการ CORE Framework เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแก่ผู้ลงทุน

โดยหลักทรัพย์ที่ติดกลุ่ม ESG Emerging ปี 2567 ซึ่งได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นครั้งแรก มีจำนวน 19 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย ADVICE BBGI COCOCO CPNREIT GFC HUMAN KCG LHHOTEL LPF NSL Q-CON SAFE SECURE SHR TPBI TTA UP WHAUP WPH

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจ สามารถเข้าลงทุนในหลักทรัพย์ที่คัดเลือกจากยูนิเวิร์สของกลุ่ม ESG Emerging ปี พ.ศ. 2563-2567 จำนวน 44 หลักทรัพย์ ในรูปแบบกองทุนส่วนบุคคล Thaipat ESG Emerging Private Fund ซึ่งเป็นการลงทุนในแบบ Passive Strategy ที่ให้น้ำหนักการลงทุนในหลักทรัพย์ขนาดกลางและขนาดเล็ก (Small-Mid Cap) เท่าเทียมกับหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ (Large Cap) โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงในช่วงราคาที่กว้างของหลักทรัพย์ขนาดกลางและขนาดเล็ก และการปรับสัดส่วนการลงทุน (Rebalance) ทุก 3 เดือน เพื่อการสร้างโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิงพื้นฐาน

ในปี 2567 นี้ นอกจากการคัดเลือกหลักทรัพย์กลุ่ม ESG Emerging แล้ว ยังได้ทำการคัดเลือกและจัดทำรายชื่อหลักทรัพย์ที่มีผลประกอบการพลิกฟื้นกลุ่ม ESG Turnaround เป็นปีที่ 2 เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ด้วยโอกาสการสร้างผลตอบแทนจากหลักทรัพย์ที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวและมีปัจจัย ESG สนับสนุน

โดยหลักทรัพย์ในกลุ่ม ESG Turnaround ปี 2567 ประกอบด้วย AOT BA BAFS CPF DUSIT ERW MALEE SEAFCO SPA THRE รวมจำนวน 10 หลักทรัพย์

ทั้งนี้ หลักทรัพย์กลุ่ม ESG100 ที่ได้รับคัดเลือกในปี 2567 จะใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในการปรับหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของ Thaipat ESG Index ประจำปี สำหรับใช้เป็นดัชนีเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุน (Benchmark Index) และใช้เป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับการลงทุนแก่บริษัทจัดการลงทุนที่มีการให้บริการผลิตภัณฑ์การลงทุนในธีม ESG โดยผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ S&P Dow Jones' Custom Indices

สำหรับรายชื่อหลักทรัพย์กลุ่ม ESG100 ที่ได้รับคัดเลือกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558-2566 ได้ทำการเปิดเผยผ่านเว็บไซต์ https://thaipat.esgrating.com ให้แก่ผู้ลงทุนและผู้สนใจทั่วไป โดยไม่มีค่าใช้จ่าย


หมายเหตุ: การนำเสนอข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่สถาบันไทยพัฒน์เป็นผู้ประเมิน เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้เป็นข้อมูลเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นคำแนะนำในการลงทุน หรือการเสนอซื้อเสนอขายใดๆ ทั้งสิ้น


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, May 18, 2024

ก.ล.ต. ยุโรป ออกกฎตีตรากองทุน ESG

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ความต้องการของผู้ลงทุนที่มีต่อกองทุนซึ่งนำปัจจัยด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) มาผนวกในการตัดสินใจลงทุน ได้มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดและมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่องในอนาคต ความต้องการนี้ได้สร้างแรงจูงใจให้ผู้จัดการสินทรัพย์และบริษัทจัดการลงทุนเพิ่มเติมชื่อกองทุนให้เกี่ยวข้องกับ ESG หรือความยั่งยืน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุน จนเข้าข่ายเป็นการฟอกเขียว (Greenwashing) เนื่องจากคุณสมบัติของหลักทรัพย์ที่อยู่ในกองทุนมิได้เป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐานด้านความยั่งยืนอย่างเพียงพอ


สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของยุโรป (ESMA) ได้แสดงความกังวลต่อเรื่องดังกล่าว และได้นำไปสู่การหารือ (Consultation Paper) ถึงแนวทางสำหรับกองทุนที่ใช้ชื่อที่เกี่ยวข้องกับ ESG หรือความยั่งยืน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2022 และได้มีถ้อยแถลง (Public Statement) ต่อเรื่องนี้เมื่อเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2023 จนนำมาสู่การออกเป็นรายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2024

โดยเนื้อหาสำคัญในแนวทางสำหรับกองทุนที่ใช้ชื่อที่เกี่ยวข้องกับ ESG หรือความยั่งยืน ที่กำลังจะประกาศใช้ ประกอบด้วย

เกณฑ์ขีดแบ่ง (Threshold) ขั้นต่ำ
ในเอกสารแนวทางการใช้ชื่อกองทุนที่เกี่ยวข้องกับ ESG หรือความยั่งยืน กำหนดให้ผู้จัดการสินทรัพย์และบริษัทจัดการลงทุน ที่ออกกองทุนที่เกี่ยวข้องกับ ESG หรือความยั่งยืน ต้องมีการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและ/หรือสังคม หรือเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการลงทุนที่ยั่งยืนตามข้อบังคับว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลการเงินที่ยั่งยืน (SFDR) ไม่น้อยกว่า 80% ในกองทุนดังกล่าว

เกณฑ์ปกป้อง (Safeguard) ขั้นต่ำ
กองทุนสามารถเพิ่มคำว่า Transition หรือ Social และ Governance ในชื่อกองทุน โดยต้องไม่มีการลงทุนในหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์คัดออกของดัชนี Climate Transition Benchmarks (CTB) โดยเกณฑ์ในการคัดหลักทรัพย์ออกที่ระบุใน CTB ประกอบด้วย 1) บริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าอาวุธต้องห้าม (Controversial Weapons) ตามที่ระบุในอนุสัญญาออสโล 2) บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกและผลิตยาสูบ 3) บริษัทซึ่งผู้ดูแลดัชนีที่ใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark Administrators) พบว่ามีการละเมิดหลักการในข้อตกลงสากลแห่งสหประชาชาติ (UNGC) หรือแนวทางขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) สำหรับบรรษัทข้ามชาติ

ประเภท (Category) กองทุนที่ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับ Transition
กองทุนประเภทนี้ สามารถใช้คำที่แสดงถึงการลงทุนเพื่อการปรับเปลี่ยน (Transition) เช่น คำว่า improving, progress/ion, evolution, transformation ในชื่อกองทุน เพื่อเปิดโอกาสให้สามารถลงทุนในบริษัทที่มีส่วนของรายได้มาจากเชื้อเพลงฟอสซิล และมีกลยุทธ์ที่ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยกองทุนยังคงต้องดำรงสัดส่วน 80% ตามเกณฑ์ขีดแบ่ง และเกณฑ์ปกป้องขั้นต่ำตาม CTB

เกณฑ์สำหรับจำแนกกองทุน “E” ออกจาก “S” และ “G”
กองทุนที่ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับ Social (S) และ Governance (G) ถือว่าอยู่ในประเภทกองทุนเดียวกันกับกองทุน Transition ที่สอดคล้องกับเกณฑ์ปกป้องขั้นต่ำตาม CTB แต่สำหรับกองทุนที่ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับ Environmental (E) รวมทั้งคำว่า ESG และ SRI จะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ของดัชนี Paris-aligned Benchmarks (PAB) ที่กำหนดให้ระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมของดัชนีเป็นไปตามความตกลงปารีส (มีเป้าหมายที่จะรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ให้ต่ำกว่า 2°C เหนืออุณหภูมิในช่วงก่อนการพัฒนาอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเกิน 1.5°C)

เนื่องจากกองทุนที่ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับ Social หรือ Governance ในชื่อกองทุน เพื่อส่งเสริมคุณลักษณะเฉพาะด้านหรือมีวัตถุประสงค์ทางสังคม (หรือมุ่งเน้นเรื่องธรรมาภิบาล) อาจมีตัวเลือกที่จำกัดเกินไป หากคัดหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิลออกจากกรอบการลงทุน (Investment Universe) ขณะที่กองทุนที่ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับ Environment ในชื่อกองทุน สมควรที่จะใช้ PAB เป็นเกณฑ์ในการคัดหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิลออก เนื่องจากผู้ลงทุนคาดหวังที่จะมิให้กองทุนมีการลงทุนในกลุ่มดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ

ในกรณีที่กองทุนมีการใช้คำที่เกี่ยวข้องกับ Environment ร่วมกับคำที่เกี่ยวข้องกับ Transition เพื่อส่งเสริมกลยุทธ์การปรับเปลี่ยน กองทุนสามารถใช้ CTB เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกหลักทรัพย์ แต่หากกองทุนมีการใช้คำที่เกี่ยวข้องกับ Sustainable ที่บ่งชี้ถึงความยั่งยืน กองทุนจะต้องใช้ PAB เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์

การวัดผลได้ (Measurability) ของกองทุนที่สื่อถึง Impact และ Transition
กรณีที่กองทุนมีการใช้คำที่เกี่ยวข้องกับ Impact ผู้จัดการกองทุนควรให้แน่ใจว่าภายใต้สัดส่วนการลงทุนตามเกณฑ์ขีดแบ่งขั้นต่ำมีความประสงค์ที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่วัดผลได้ ควบคู่กับผลตอบแทนทางการเงิน ส่วนกองทุนที่มีการใช้คำที่เกี่ยวข้องกับ Transition ผู้จัดการกองทุนควรแสดงให้เห็นว่าการลงทุนเป็นไปตามแนวทางการปรับเปลี่ยนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจนและวัดผลได้

ระยะเวลาก่อนมีผลบังคับ
สำหรับกองทุนที่ดำเนินการอยู่แล้ว จะมีระยะเวลาในการเตรียมการ 6 เดือน โดยจะเริ่มบังคับใช้ในอีก 3 เดือน หลังจากการประกาศแนวทางฉบับแปลสำหรับแต่ละประเทศในสหภาพยุโรป ทำให้มีระยะเวลาสำหรับผู้จัดการกองทุนที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวทางฉบับที่จะประกาศใช้ ไม่น้อยกว่า 9 เดือน ส่วนกองทุนที่ตั้งใหม่ ให้มีผลบังคับใช้ทันทีหลังวันประกาศใช้


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, May 04, 2024

Double Materiality: หลักการชี้แนะสำหรับการรายงานความยั่งยืน

ความคาดหวังของสังคมต่อประเด็นความยั่งยืนในรอบทศวรรษที่ผ่านมาได้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนเป็นผลให้เกิดแรงผลักอย่างกว้างขวางไปยังบริษัทให้ต้องพิจารณาและเปิดเผยผลกระทบที่มีต่อผู้คนและผืนโลก ไม่น้อยไปกว่าผลกระทบจากประเด็นความยั่งยืนที่มีต่อธุรกิจหรือผลกำไรที่เป็นบรรทัดสุดท้ายของกิจการ

สหภาพยุโรปได้ขานรับแนวคิดเรื่อง Double Materiality (ทวิสารัตถภาพ) ที่เป็นการพิจารณาประเด็นสาระสำคัญด้านความยั่งยืนซึ่งส่งผลกระทบต่อตัวกิจการเอง และผลกระทบจากกิจกรรมขององค์กรที่มีต่อโลกภายนอก โดยกำหนดให้กิจการต้องจัดทำรายงานที่มีการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบทั้งสองด้าน

ประกอบด้วย ด้านการรายงานผลกระทบจากการดำเนินงานของกิจการที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน และด้านการรายงานผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนซึ่งมีนัยต่อผลประกอบการทางการเงิน

จากผลสำรวจ 2023 Annual Global Benchmark Policy Survey โดย Institutional Shareholder Services (ISS) พบว่า เมื่อถามถึงวิธีการกำหนดสารัตถภาพ ร้อยละ 75 ของผู้ลงทุนเห็นว่า การประเมินสารัตถภาพควรครอบคลุมถึงผลกระทบภายนอกที่เกิดจากกิจการ และมีเพียงร้อยละ 6 ของผู้ลงทุนที่ระบุว่า การประเมินสารัตถภาพควรจำกัดเฉพาะปัจจัยที่ส่งผลกระทบทางการเงินโดยตรงต่อตัวกิจการ

ทั้งนี้ การรายงานผลกระทบมีความเกี่ยวเนื่องอย่างใกล้ชิดกับผู้มีส่วนได้เสียหลายฝ่ายในแง่ที่เป็นกิจกรรมซึ่งสาธารณชนให้ความสนใจ และเป็นเหตุให้มีความสำคัญกับกิจการต่อการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว แม้กิจการหรือผู้ลงทุนในตัวกิจการจะมิได้พิจารณาว่ามีนัยสำคัญทางการเงินในปัจจุบันหรือในอนาคตก็ตาม

และด้วยเหตุที่กิจการไม่สามารถได้รับการยอมรับว่าการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนบรรลุผลสำเร็จ ด้วยการ “คิดเอง เออเอง” โดยปราศจากการมีส่วนร่วมกับภาคีภายนอก การแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนขององค์กร จึงจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง ทั้งในกระบวนการวางแผน การดำเนินการ การเก็บรวบรวมและการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงาน

ผู้มีส่วนได้เสีย ในที่นี้ จำแนกออกได้เป็นสองกลุ่มตามบริบทของทวิสารัตถภาพ ได้แก่ ผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบ (สำหรับการประเมินสารัตถภาพเชิงผลกระทบ) และผู้ใช้รายงานแห่งความยั่งยืน (สำหรับการประเมินสารัตถภาพเชิงการเงิน)

ในการสานสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบ เป็นไปเพื่อการแสวงหาข้อมูลนำเข้าและเสียงสะท้อนเพื่อทำความเข้าใจในข้อกังวล ตามมาด้วยหลักฐานแสดงผลกระทบที่เกิดขึ้นหรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับผู้คนและสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวโยงกับกิจการที่ซึ่งผู้มีส่วนได้เสียเหล่านั้นเป็นผู้ได้รับผลกระทบ

การปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบ และนำเอามุมมองเหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการประเมินสารัตถภาพจะช่วยยืนยันถึงการกำหนดประเด็นความยั่งยืนว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบ อาทิ ประเด็นด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่มาจากการสานสัมพันธ์กับพนักงานหรือตัวแทนพนักงาน รวมทั้งการรับฟังเสียงสะท้อนจากผู้มีส่วนได้เสียในการสานสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอตามธรรมเนียมปฏิบัติทางธุรกิจ

การเก็บรวบรวมและการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสารัตถภาพเชิงผลกระทบ ควรมุ่งเน้นที่การสานสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบในขั้นตอนที่เป็นการระบุผลกระทบที่เกี่ยวกับประเด็นความยั่งยืนที่เกิดขึ้นและที่คาดว่าจะเกิดขึ้น หรือในขั้นตอนที่เป็นการประเมินและกำหนดผลกระทบที่เกี่ยวกับประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญ

ขณะที่การเก็บรวบรวมและการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสารัตถภาพเชิงการเงินของประเด็นความยั่งยืน ผู้ใช้รายงานแห่งความยั่งยืนจะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการช่วยกิจการประเมินสารัตถภาพเชิงการเงินตามหลักฐานที่นำมาสนับสนุน อาทิ ความเห็นและความสนใจของผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับวิธีปฏิบัติในกระบวนการพิจารณาสาระสำคัญในรายงานทางการเงินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยที่มีการปรับปรุงหมายเหตุประกอบงบการเงินและเอกสารนำเสนอนักลงทุนอย่างสม่ำเสมอเพื่อสะท้อนประเด็นเกิดใหม่และประเด็นอื่น ๆ ที่นักลงทุนสนใจ ซึ่งในกรณีนี้ กิจการสามารถใช้ประโยชน์จากกลไกการสานเสวนาที่มีอยู่กับผู้ถือหุ้น ผู้ลงทุนอื่น และเจ้าหนี้ สำหรับสนับสนุนกระบวนการประเมินสารัตถภาพเชิงการเงิน

สำหรับแนวการสานเสวนากับผู้มีส่วนได้เสียที่อาจมีความสนใจต่อข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวกับความยั่งยืนโดยทั่วไป ที่มิได้จำกัดหรือจำเพาะเจาะจงเหมือนกลุ่มผู้ลงทุน บริษัทสามารถใช้ประโยชน์ในข้อมูลดังกล่าวสำหรับการประเมินวิธีจัดการกับผลกระทบที่เป็นสาระสำคัญ เช่น ชุมชนที่ได้รับผลกระทบอาจสนใจว่าบริษัทมีข้อกำหนดในการฟื้นฟูแหล่งดำเนินงานที่ปล่อยมลภาวะอย่างเพียงพอที่จะครอบคลุมกิจกรรมฟื้นฟูที่จำเป็น หรือพนักงานปัจจุบันและที่รอการบรรจุอาจต้องการรับทราบเกี่ยวกับผลทางการเงินที่คาดหมายที่สามารถกระทบต่อโอกาสที่มีในองค์กร (เช่น บำนาญ หรือการฝึกอบรม)

ในสถานการณ์ที่การปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสียทำได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้ (เช่น ทำแล้วเกิดความเสี่ยง) กิจการอาจพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม อาทิ การปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญอิสระที่เชื่อถือได้ องค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ซึ่งเป็นตัวแทนชุมชนที่ได้รับผลกระทบที่สามารถให้เสียงสะท้อนที่มีคุณค่า หรือการใช้รายงานและบทความทางวิทยาศาสตร์อ้างอิงสำหรับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม

ที่สำคัญ ในกระบวนการเก็บและเปิดเผยข้อมูลเพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนขององค์กร กิจการต้องดำเนินการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบอย่างโปร่งใส ด้วยการเปิดเผยวิธีการสานสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสียทั้งในขั้นตอนการระบุและประเมินผลกระทบทางลบที่เกิดขึ้นและที่คาดว่าจะเกิดขึ้น


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, April 20, 2024

การขับเคลื่อน ESG สำหรับบริษัทนอกตลาด

ด้วยเหตุที่บรรษัทขนาดใหญ่หรือบริษัทมหาชนที่มีหุ้นจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ต้องมีการดำเนินการเรื่องความยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เนื่องเพราะแรงขับดันจากการที่กิจการเหล่านั้นมีผู้ถือหุ้นมากรายที่มีส่วนเป็นเจ้าขององค์กร จึงจำเป็นที่ต้องมีการกำกับดูแลและต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มข้นมากกว่าบริษัททั่วไป เพื่อป้องกันความเสียหายในวงกว้าง หากเกิดการฉ้อโกงหรือการบริหารงานที่ผิดพลาด


และด้วยความที่เป็นกิจการขนาดใหญ่ ซึ่งมีการจ้างงาน มีลูกค้า รวมทั้งมีคู่ค้าทั้งในฝั่งต้นน้ำและปลายน้ำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก หากกิจการดำเนินงานโดยหวังประโยชน์ระยะสั้น ไม่คำนึงถึงเรื่องความยั่งยืน ก็มีโอกาสก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อสังคมในวงกว้าง

ที่สำคัญไม่น้อยกว่าเรื่องผู้คนและสังคม นั่นคือ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมหรือต่อโลก ที่ซึ่งกิจการขนาดใหญ่มีการจัดหาวัตถุดิบ มีการแปรรูปทรัพยากร มีการผลิตขนาดใหญ่ และอาจมีปริมาณของเสียที่ไม่สามารถบำบัดหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เกิดเป็นมลภาวะทั้งทางอากาศ ทางน้ำ และทางผืนดินสะสมอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเทียบระหว่างบริษัทนอกตลาดหรือกิจการที่มิได้มีหุ้นจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ กับบริษัทมหาชนหรือกิจการที่มีผู้ถือหุ้นมากราย การดำเนินการเรื่องความยั่งยืนของบริษัทนอกตลาดในประเด็นด้าน ESG อาจมิได้เข้มข้นเท่ากับบริษัทจดทะเบียนเท่าใดนัก

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงสภาพการณ์ปัจจุบัน ที่บริษัทรายใหญ่ซึ่งมีห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่ และมีการดำเนินการเรื่อง ESG ได้ผลักดันให้คู่ค้าในห่วงโซ่อุปทานของตนต้องดำเนินการเรื่อง ESG ในระดับเดียวกันหรือได้ตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่บริษัทรายใหญ่เป็นผู้กำหนด ทำให้คู่ค้าที่เป็นบริษัทนอกตลาด ต้องมีการดำเนินการเรื่องความยั่งยืนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพื่อให้ตนเองยังสามารถค้าขายหรืออยู่ในห่วงโซ่อุปทานได้ตามปกติต่อไป

แม้บริษัทนอกตลาดที่มิได้ตกอยู่ใต้อิทธิพลในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทรายใหญ่ หรือทำธุรกิจอย่างเป็นเอกเทศ (Stand-alone) ยังต้องเริ่มดำเนินการเรื่อง ESG บ้างไม่มากก็น้อย เนื่องจากผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ต่างหันมาให้ความใส่ใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือจากบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม นอกเหนือจากปัจจัยทางด้านราคาและคุณภาพ บริษัทนอกตลาดที่ปรับตัว ก็จะมีโอกาสรักษาตลาดหรือเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน

นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐ ได้มีการพิจารณาให้สิทธิประโยชน์หรือมาตรการลดหย่อนทางภาษีให้กับบริษัทที่ดำเนินการเรื่อง ESG ซึ่งกลายเป็นแต้มต่อให้บริษัทนอกตลาดที่ดำเนินการเรื่องความยั่งยืน มีต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่ลดลงเมื่อเทียบกับบริษัททั่วไป

แรงขับดันที่บริษัทนอกตลาดต้องดำเนินการเรื่องความยั่งยืน ในมุมมองข้างต้น จึงมิได้ตั้งอยู่บนเหตุผลเพียงเพื่อโลกสวย แต่ ESG เป็นเงื่อนไขทางธุรกิจ ที่ทำให้บริษัทอยู่รอดและเติบโต จากการไม่ถูกกีดกันให้ออกจากตลาด ทำให้มีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ และยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานจากการได้รับสิทธิประโยชน์และการสนับสนุนจากภาครัฐ เป็นต้น

สำหรับบริษัทนอกตลาด การขับเคลื่อนประเด็นด้าน ESG โดยพื้นฐานสุด คือ ทำอย่างไรให้กิจการอยู่รอด เติบโต และมีกำไร ภายใต้หลักธรรมาภิบาลและการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยสามารถดำเนินการตามสภาพดังว่าต่อไปได้เรื่อย ๆ ซึ่งคำสำคัญที่ว่า “.. ดำเนินการตามสภาพดังว่าต่อไปได้เรื่อย ๆ ..” นั่นคือ การพิจารณาที่เริ่มต้นจากความยั่งยืน “ของกิจการ”

เมื่อธุรกิจมีการดำเนินสืบเนื่องไป เจ้าของกิจการจะเริ่มตระหนักว่า การที่กิจการของตนจะยั่งยืนได้นั้น จำเป็นต้องมองถึงประโยชน์หรือความคาดหวังของ “ผู้มีส่วนได้เสีย” (Stakeholders) ที่อยู่รายรอบกิจการด้วย มัวแต่นึกถึงเพียงทำกำไรให้ได้มาก ๆ ถ่ายเดียวไม่ได้ เช่น หากเราดูแล “ลูกค้า” ไม่ดี รายได้ที่หวังว่าจะโตก็อาจจะไม่ได้ เมื่อยอดขายไม่เข้า กำไรที่หวังว่าจะได้มากขึ้นก็ไม่มา ครั้นต้องวางแผนที่จะดูแลใส่ใจลูกค้า ลำพังเจ้าของกิจการก็ลงมือทำเองทั้งหมดไม่ได้ ต้องพึ่ง “พนักงาน” ให้มีการดำเนินการทั้งองคาพยพ และยังต้องเลยไปถึงการบริหาร “คู่ค้า” ที่อยู่ในห่วงโซ่ธุรกิจ ทั้งในฝั่งต้นน้ำที่เป็นผู้ส่งมอบ กับในฝั่งปลายน้ำที่เป็นผู้จัดจำหน่ายและกระจายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภค

สำหรับกิจการที่มีหน่วยการผลิตเป็นโรงงานขนาดใหญ่ นอกจากการดูแลผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่ธุรกิจแล้ว ยังต้องคำนึงถึงผลกระทบที่ส่งทอดไปถึงผู้มีส่วนได้เสียนอกห่วงโซ่ธุรกิจอีก อันได้แก่ “ชุมชน” ที่อาจได้รับมลภาวะ เช่น ฝุ่น กลิ่น เสียง จากการที่อยู่ใกล้แหล่งดำเนินงานของบริษัท หรือโรงงานมีการปล่อยของเสีย น้ำเสีย อากาศเสีย สู่ “สิ่งแวดล้อม” รอบข้าง จนกระทบต่อความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของชุมชน

การดูแลใส่ใจผู้มีส่วนได้เสียเหล่านี้ คือ การคำนึงถึงเรื่องความยั่งยืน “ของสังคมและสิ่งแวดล้อม” ที่ต้องมีควบคู่กับการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของตัวกิจการเอง เพราะหากชุมชนเดือดร้อนจากการประกอบการของกิจการ มีการร้องเรียน มีการเรียกร้องค่าเสียหาย มีการฟ้องร้องให้ระงับการดำเนินงาน กิจการก็มีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่ม การประกอบการอาจสะดุดหยุดชะงัก ธุรกิจก็ดำเนินไปต่อไม่ได้อย่างราบรื่น หรือกรณีที่คู่ค้าส่งมอบวัตถุดิบที่ไม่ได้คุณภาพ มีการกระจายสินค้าล่าช้า ก็ย่อมส่งผลต่อผลิตภัณฑ์ที่จะส่งมอบสู่ตลาด ทำให้สูญเสียลูกค้า เกิดความเสียหายทางธุรกิจติดตามมา ความยั่งยืนของกิจการจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการขาดการดูแลเอาใจใส่ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง

สรุปความได้ว่า หลักคิดเกี่ยวกับความยั่งยืนตามที่ควรจะเป็น ประการแรก จะเป็นการคำนึงถึงความยั่งยืนของกิจการ ที่จะทำอย่างไรให้กิจการอยู่รอด เติบโต และมีกำไรสูงสุด (Maximize Profit) ด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกที่มากระทบต่อการดำเนินธุรกิจและมีผลต่อบรรทัดสุดท้าย (กำไร) ของกิจการ เรียกว่า เป็นการพิจารณาปัจจัยความยั่งยืนแบบ Outside-in หรือ “โลกกระทบเรา” อย่างไร เพื่อที่จะหาหนทางในการรับมือและปรับเปลี่ยน

ประการที่สอง จะเป็นจะเป็นการคำนึงถึงความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวม ที่จะทำอย่างไรให้ผู้มีส่วนได้เสียสนับสนุนการดำเนินงานของกิจการ และลดโอกาสที่จะก่อให้เกิดปัญหา ข้อพิพาท หรือข้อขัดแย้งระหว่างกันให้เหลือน้อยที่สุด (Minimize Conflict) ด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยภายในที่อาจส่งผลกระทบทางลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อหาทางป้องกัน บรรเทา หรือเยียวยา และหาหนทางที่จะสร้างส่งผลกระทบทางบวกส่งมอบสู่สังคมและสิ่งแวดล้อมแทน เรียกว่า เป็นการพิจารณาปัจจัยความยั่งยืนแบบ Inside-out หรือ “เรากระทบโลก” นั่นเอง


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, April 06, 2024

ธุรกิจประกาศเป้า Net Zero อย่างไร ไม่ให้ปลอม

การประกาศเป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์ที่เป็นไปตามศาสตร์ทางภูมิอากาศ จึงต้องคำนึงถึงองค์ประกอบในมาตรฐาน Corporate Net-Zero Standard เพื่อมิให้เข้าข่ายเป็นการฟอกเขียว

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ต้องร่วมกันจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภาคธุรกิจจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Target) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายโลกที่ต้องบรรลุภายในปี ค.ศ.2050

หน่วยงาน SBTi (Science Based Targets initiative) ได้จัดทำมาตรฐาน Corporate Net-Zero Standard ฉบับแรกขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2021 สำหรับให้ภาคธุรกิจใช้ในการกำหนดเป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์ที่เป็นไปตามศาสตร์ทางภูมิอากาศ ซึ่งประกอบด้วยแนวทาง หลักเกณฑ์ และข้อแนะนำที่จำเป็นต่อการกำหนดเป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์ให้สอดคล้องกับการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้สูงกว่า 1.5 องศาเซลเซียส โดยมาตรฐานฉบับดังกล่าวได้มีการปรับปรุงเป็นเวอร์ชัน 1.2 และประกาศใช้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

องค์ประกอบสำคัญของมาตรฐาน Corporate Net-Zero Standard ประกอบด้วย

1)เป้าหมายระยะใกล้ (Near-term Targets) ในการให้ความสำคัญเร่งด่วนต่อการขจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อมในสายคุณค่า (Value-chain) ด้วยตนเอง ให้ได้ปริมาณราวครึ่งหนึ่งของการปล่อยก่อนปี ค.ศ. 2030
2)เป้าหมายระยะยาว (Long-term Targets) ในการขจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยตนเอง ให้ได้มากกว่าร้อยละ 90 ของการปล่อยก่อนปี ค.ศ. 2050
3)การทำให้มลอากาศส่วนตกค้างเป็นกลาง (Neutralize Residual Emissions) หลังจากที่องค์กรได้บรรลุเป้าหมายระยะยาวแล้ว ด้วยการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่ดักจับและกักเก็บคาร์บอนถาวร เพื่อให้สมดุลกันระหว่างปริมาณก๊าซเรือนกระจกส่วนที่เหลือตกค้างอีกไม่เกินร้อยละ 10 หรือตามจำนวนที่ขจัดได้ไม่หมด กับปริมาณที่ลดได้จากกิจกรรมที่ดักจับและกักเก็บคาร์บอนที่ดำเนินการ

ปัจจุบัน มีกิจการในประเทศไทย จำนวน 34 แห่ง ที่มีการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยศาสตร์ทางภูมิอากาศกับหน่วยงาน SBTi

เพื่อให้เข้าใจที่มาของแหล่งกำเนิดมลอากาศ กิจกรรมที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกขององค์กร จำแนกออกได้เป็น 3 ขอบเขต คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงที่เกิดจากแหล่งกำเนิดซึ่งกิจการเป็นผู้ควบคุมหรือเป็นเจ้าของ (Scope 1) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานที่ซื้อหรือจัดหามาจากแหล่งกำเนิดภายนอก (Scope 2) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (Scope 3)

ในกิจกรรมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 จะแบ่งเป็น 15 ประเภท ประกอบด้วย การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก 1) สินค้าและบริการที่สั่งซื้อ 2) สินค้าประเภททุน 3) กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงและพลังงาน 4) การขนส่งและกระจายสินค้าต้นน้ำ 5) ของเสียที่เกิดจากการดำเนินงาน 6) การเดินทางเพื่อธุรกิจ 7) การเดินทางไปกลับของพนักงาน 8) สินทรัพย์เช่าต้นน้ำ 9) การขนส่งและกระจายสินค้าปลายน้ำ 10) การแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย 11) การใช้ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย 12) การบำบัดเมื่อสิ้นอายุผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย 13) สินทรัพย์เช่าปลายน้ำ 14) สิทธิพิเศษในการผลิตหรือบริการ 15) การลงทุน

มลอากาศในขอบเขตที่ 3 เป็นที่ทราบกันว่ามีปริมาณที่ใหญ่และกว้างขวางกว่าขอบเขตที่ 1 และขอบเขตที่ 2 เนื่องจากเกี่ยวข้องกับคู่ค้าจำนวนมากในห่วงโซ่ธุรกิจ และมีผลต่อการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของกิจการ

จากภาพตัวอย่าง อธิบายได้ว่า ในปีแรก การบ่งชี้ปริมาณมลอากาศมิได้ครอบคลุมทั้งหมด การระบุปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่ เป็นผลรวมของมลอากาศในขอบเขตที่ 1 และขอบเขตที่ 2 โดยประมาณ ต่อมาในปีที่สาม การจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกพัฒนาถึงขีดที่สามารถรวบรวมปริมาณมลอากาศในขอบเขตที่ 3 หรือใน Value-chain ทำให้การบ่งชี้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีความครอบคลุมตามที่ควรจะเป็น และสะท้อนปริมาณมลอากาศที่แท้จริงยิ่งขึ้น จนกระทั่งในปีที่สิบห้า การเปลี่ยนผ่านสู่เป้าสุทธิเป็นศูนย์ คงเหลือแต่มลอากาศส่วนตกค้างซึ่งสามารถทำให้เป็นกลางได้ด้วยการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่ดักจับและกักเก็บคาร์บอนถาวร เพื่อให้สมดุลกันระหว่างมลอากาศส่วนตกค้างกับปริมาณที่ลดได้จากกิจกรรมที่ดักจับและกักเก็บคาร์บอนที่ดำเนินการ

การประกาศเป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์ที่เป็นไปตามศาสตร์ทางภูมิอากาศ จึงต้องคำนึงถึงองค์ประกอบในมาตรฐาน Corporate Net-Zero Standard เพื่อมิให้เข้าข่ายเป็นการฟอกเขียว โดย

1)การดำเนินการตามเป้าหมายระยะใกล้ ต้องครอบคลุมปริมาณมลอากาศในขอบเขตที่ 3 (ใน Value-chain)
2)การดำเนินการตามเป้าหมายระยะยาว ต้องเป็นการลดด้วยตนเอง (ไม่สามารถซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชย)
3)การดำเนินการกับมลอากาศส่วนตกค้าง ต้องลดได้ตามเป้าหมายระยะยาวก่อน (จึงค่อยทำกับส่วนตกค้าง)

ฉะนั้น กิจการที่มีการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ จำเป็นต้องพัฒนาการจัดทำบัญชีรายการก๊าซเรือนกระจกที่สามารถรวบรวมปริมาณมลอากาศในขอบเขตที่ 3 เพื่อให้ทราบปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แท้จริงก่อนการดำเนินการตามเป้าหมายระยะใกล้ และเป้าหมายระยะยาวในลำดับถัดไป


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, March 23, 2024

ตลาดข้อมูล ESG โตไม่หยุด ไต่ระดับขึ้น 2 พันล้านเหรียญ

แม้คำว่า ESG ได้พัฒนากลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองในสหรัฐ แต่ก็มิได้ทำให้นัยของเรื่อง ESG ด้อยความสำคัญลง ตรงกันข้าม ในปี ค.ศ. 2024 เราได้เห็นวิวัฒนาการอีกขั้นของการลงทุนโดยใช้ปัจจัย ESG ที่อวตารมาเป็น “การลงทุนเพื่อการปรับเปลี่ยน”

ตัวเลขการสำรวจของออพิมัส ที่ปรึกษาด้านการจัดการลงทุนในตลาดทุนทั่วโลก ระบุว่า ขนาดของตลาดข้อมูล ESG (Environmental, Social and Governance) จะมีมูลค่าเกิน 2 พันล้านเหรียญในปีนี้ จากที่เพิ่งทำสถิติที่ระดับ 1 พันล้านเหรียญ ในปี ค.ศ. 2021 หรือเมื่อสามปีที่แล้ว

ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยเฉพาะอัตราการเติบโตเทียบปีต่อปี (YoY) ของตลาดข้อมูลวิจัยและบทวิเคราะห์ ESG ในปี ค.ศ. 2021 และปี ค.ศ. 2022 ที่มีอัตราสูงถึง 62% และ 42% เป็นผลพวงมาจากการออกข้อบังคับว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลการเงินที่ยั่งยืน (SFDR) ของสหภาพยุโรป ซึ่งถือเป็นจุดชนวนสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของตลาดข้อมูล ESG

สำหรับอัตราการเติบโตเทียบปีต่อปี (YoY) ของตลาดข้อมูล ESG ในปีที่ผ่านมา (ค.ศ. 2023) อยู่ที่ 17% โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.9 พันล้านเหรียญ และคาดว่าจะเติบโตอีก 14% ในปีนี้ โดยแบ่งเป็นการเติบโตของตลาดข้อมูลวิจัยและบทวิเคราะห์ ESG ที่ 12% และการเติบโตของตลาดข้อมูลดัชนี ESG ที่ 19%

จะเห็นว่า นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 ที่ตลาดข้อมูล ESG มีมูลค่าอยู่เพียง 305 ล้านเหรียญ ได้มีการเติบโตเทียบปีต่อปีเพิ่มขึ้นในอัตราที่เป็นเลขสองหลักมาโดยตลอด โดยโตสูงสุดถึง 59% ในปี ค.ศ. 2021 (ปีที่ SFDR ประกาศใช้) และในปีปัจจุบัน คาดการณ์ว่าจะมีตัวเลขมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2.1 พันล้านเหรียญ

ในฟากของประเทศสหรัฐอเมริกา คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ที่เพิ่งผ่านการอนุมัติหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศสำหรับบรรษัทขนาดใหญ่ กำลังจะพิจารณาผ่านร่างหลักเกณฑ์การรายงานสำหรับกองทุน ESG หรือเป็นการเปิดเผยข้อมูล ESG สำหรับผู้แนะนำการลงทุนและบริษัทจัดการลงทุน ซึ่งหลักเกณฑ์หลังนี้ คาดหมายว่าจะเป็นตัวเร่งทำให้เกิดความต้องการในข้อมูล ESG ยิ่งขึ้นจากเดิม แม้หลักเกณฑ์แรก จะยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านกฎหมายอยู่ก็ตาม

ทั้งกรณีการออกหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศของ ก.ล.ต. สหรัฐ และข้อกำหนดการรายงานข้อมูลความยั่งยืนของกิจการ (CSRD) ของสหภาพยุโรป ได้ส่งผลให้เกิดยอดใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับซอฟต์แวร์และบริการด้านการรายงานข้อมูล ESG และสร้างโอกาสการขยายตัวแนวดิ่งของบรรดาผู้ค้าข้อมูล ESG อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากพัฒนาการด้านกฎระเบียบที่กระตุ้นให้เกิดการเติบโตของตลาดข้อมูล ESG แล้ว การครอบงำและการควบรวมกิจการ (M&A) ระหว่างผู้ให้บริการข้อมูล ESG ยังคงดำเนินไปต่อเนื่อง ทั้งในแบบที่เป็นการยุบรวมระหว่างผู้ค้าในแนวราบ และในแบบที่เป็นการผนวกกิจการในแนวดิ่ง ที่ซึ่งธุรกิจข้อมูล ESG ควบรวมกับกิจการข้อมูลดัชนี หรือกับผู้ให้บริการรายงานข้อมูลกองทุน ฯลฯ

แม้คำว่า ESG ได้พัฒนากลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา แต่ก็มิได้ทำให้นัยของเรื่อง ESG ด้อยความสำคัญลง ตรงกันข้าม ในปี ค.ศ. 2024 เราได้เห็นวิวัฒนาการอีกขั้นของการลงทุนโดยใช้ปัจจัย ESG ที่อวตารมาเป็น “การลงทุนเพื่อการปรับเปลี่ยน” (Transition Investing) อีกหนึ่งภาค

จึงเป็นไปได้สูงที่ ยอดการลงทุนในหมวด ESG ซึ่งแสดงตัวเลขขนาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหารที่ลดลงมามากในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้ถูกถ่ายโอนไปอยู่ในหมวดการลงทุนเพื่อการปรับเปลี่ยนแทน

(หมายเหตุ: ตัวเลขการลงทุนที่ยั่งยืนในสหรัฐอเมริกา ลดลงจาก 17.1 ล้านล้านเหรียญ มาอยู่ที่ 8.4 ล้านล้านเหรียญ หรือลดลงกว่าร้อยละ 50 ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.2020-2022 จากการรวบรวมของ GSIA)


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, March 09, 2024

เมื่อ ESG กลายเป็น License to Earn

นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ที่องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) หยิบเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ (CSR) ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจในวงกว้างขณะนั้น มายกร่างเป็นมาตรฐานแนวทางความรับผิดชอบต่อสังคม ISO 26000 โดยมีภาคสังคมร่วมผลักดัน (Social-driven) เพื่อให้ภาคธุรกิจมีการประกอบการอย่างรับผิดชอบ จนเป็นที่มาของคำว่า License to Operate

CSR เป็นการนำข้อพิจารณาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมมาประกอบการตัดสินใจ และพร้อมรับผิดชอบในผลกระทบที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการตัดสินใจและการดำเนินงานดังกล่าว ด้วยความโปร่งใสและการปฏิบัติอย่างมีจริยธรรมอันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้กฎหมายและหลักปฏิบัติที่เป็นบรรทัดฐานสากล และมีลักษณะเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมที่ถูกบูรณาการอยู่ในการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กร โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์และประโยชน์ที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสียของกิจการ (ISO26000, 2010)

รูปแบบการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ ได้แก่ การกำกับดูแลองค์กร การปฏิบัติด้านแรงงาน ด้านสิทธิมนุษยชน การปฏิบัติดำเนินงานอย่างเป็นธรรม การดูแลผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการตัดสินใจและการดำเนินงานขององค์กรทั้งในแง่ของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ มลภาวะและของเสีย ผลกระทบจากการดำเนินงานขององค์กรต่อความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงความรับผิดชอบในตัวผลิตภัณฑ์และบริการที่มีต่อผู้บริโภค ตลอดจนการมีส่วนร่วมและพัฒนาชุมชน เป็นต้น

ถัดจากนั้น ในปี ค.ศ. 2011 กระแสของการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อผลกระทบทางลบที่เกิดจากการประกอบการ ได้ขยายวงไปสู่การขับเคลื่อนธุรกิจที่สามารถส่งผลกระทบทางบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบของการสร้างคุณค่าร่วม (CSV) ที่คำนึงถึงการเติบโตทางธุรกิจและความก้าวหน้าทางสังคมควบคู่กัน โดยมีตลาดเป็นตัวขับ (Market-driven) จนเกิดเป็นคำว่า License to Grow

CSV เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ผสานการดำเนินงานเพื่อสร้างให้เกิดผลลัพธ์ในเชิงพาณิชย์ ควบคู่กับผลประโยชน์ที่สังคมกลุ่มเป้าหมายได้รับ ก่อให้เกิดเป็นความสำเร็จทางธุรกิจและความก้าวหน้าทางสังคมไปพร้อมกัน หรืออีกนัยหนึ่ง CSV คือ บทบาทของภาคธุรกิจที่จะร่วมพัฒนาสังคมด้วยการนำทรัพยากรและความเชี่ยวชาญหลักขององค์กรมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการสร้างคุณค่าร่วมระหว่างองค์กรและสังคมควบคู่ไปพร้อมกัน (Michael Porter and Mark Kramer, 2011)

ตัวอย่างของการสร้างคุณค่าร่วม ได้แก่ การออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ ในลักษณะที่ส่งเสริมการดูแลสุขภาพ เช่น การออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีการปรุงแต่งน้อย เพื่อป้องกันมิให้เจ็บป่วย โดยจะได้รับส่วนลดเบี้ยกรมธรรม์กรณีไม่เจ็บป่วย ซึ่งต่างจากกรมธรรม์ประกันสุขภาพทั่วไปที่เน้นให้สิทธิคุ้มครองการเข้ารับการรักษาพยาบาลหลังเจ็บป่วย และเสี่ยงต่อการถูกเพิ่มเบี้ยจากการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ทำให้กรมธรรม์ประเภทส่งเสริมสุขภาพถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างคุณค่าร่วมทั้งแก่ ผู้ถือกรมธรรม์ (ที่ลดโอกาสเจ็บป่วย) สังคม (ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข) และบริษัทผู้ออกกรมธรรม์ (ที่มีแนวโน้มการจ่ายค่าสินไหมทดแทนลดลง)

และในปี ค.ศ. 2021 ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่ริเริ่มนำมาใช้โดยกลุ่มผู้ลงทุน (Investor-driven) สำหรับเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุน ได้ยกระดับไปสู่การออกเป็นข้อบังคับว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลการเงินที่ยั่งยืน (SFDR) โดยรัฐสภายุโรป ที่กำหนดให้ผู้ออกผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนที่เข้าเกณฑ์ ต้องรายงานข้อมูลความยั่งยืนให้ผู้ลงทุนรับทราบ โดยมีผลบังคับใช้ในปี ค.ศ. 2023 ที่ผ่านมา

ข้อบังคับ SFDR (Sustainable Finance Disclosures Regulation) ในมาตรา 6 ระบุให้มีการเปิดเผยข้อมูลการบูรณาการความเสี่ยงด้านความยั่งยืนในการตัดสินใจลงทุน และข้อมูลผลกระทบจากความเสี่ยงด้านความยั่งยืนที่มีต่อผลตอบแทนการลงทุน ส่วนในมาตรา 8 ระบุให้มีการเปิดเผยข้อมูลการส่งเสริมลักษณะเฉพาะด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมในผลิตภัณฑ์ทางการลงทุน และข้อมูลการปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีในบริษัทที่เข้าลงทุน ขณะที่ในมาตรา 9 กำหนดให้เปิดเผยข้อมูลที่ระบุว่าการลงทุนที่ยั่งยืนเป็นวัตถุประสงค์และต้องมีการกำหนดดัชนีชี้วัดที่ใช้บรรลุวัตถุประสงค์โดยอธิบายให้เห็นถึงวิธีและเหตุผลซึ่งใช้บรรลุวัตถุประสงค์ที่แตกต่างจากดัชนีชี้วัดทั่วไปในตลาด

การดำเนินงานตามมาตรา 6 ถือเป็นประโยชน์ขั้นต้นที่เกิดกับผู้ลงทุนในการได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการพิจารณา ESG เป็นปัจจัยนำเข้า ส่วนการดำเนินงานตามมาตรา 8 ถือเป็นประโยชน์ขั้นกลางที่เกิดกับกิจการในการได้รับเม็ดเงินลงทุนจากการที่บริษัทให้ความสำคัญกับปัจจัย ESG ในธุรกิจ ขณะที่การดำเนินงานตามมาตรา 9 ถือเป็นประโยชน์ขั้นปลายที่เกิดกับสังคมและสิ่งแวดล้อมในการได้รับผลกระทบทางบวกจากการนำเอาปัจจัย ESG มาเป็นวัตถุประสงค์ของการลงทุนและผลักดันให้บริษัทที่เข้าลงทุนดำเนินการด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

ทำให้จากนี้ไปเราจะได้เห็นกิจการที่ใส่ใจดูแลผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม จะนำเรื่อง ESG มาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย ในลักษณะที่เสริมกับการสร้างการเติบโตและเพิ่มผลิตภาพของกิจการ โดยยังส่งผลต่อมูลค่าของกิจการในทิศทางที่ตอบโจทย์ผู้ลงทุน เสมือนเป็น License to Earn หรือใบอนุญาตรับผลตอบแทนหรือเงินลงทุนจากการประกอบธุรกิจโดยใส่ใจเรื่อง ESG ในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, February 24, 2024

มาตรวัดความยั่งยืน: จาก ESG Rating สู่ ESG Premium

พัฒนาการของการประเมิน ESG ได้ยกระดับไปอีกขั้น จากเครื่องมือ ESG Rating หรือการจัดระดับความยั่งยืนด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ มาสู่การใช้เครื่องมือ ESG Premium

ปัจจุบัน การประเมินข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance) หรือ ESG Rating ของกิจการ ได้กลายเป็นชุดข้อมูลที่จำเป็นสำหรับผู้ลงทุน นอกเหนือจากข้อมูลทางการเงิน ในการใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุน

ในรายงาน Rate the Raters 2023: ESG Ratings at a Crossroads ที่จัดทำโดย SustainAbility Institute ระบุว่า แหล่งข้อมูล ESG จำนวน 6 แหล่ง ที่นิยมใช้ในการตัดสินใจลงทุน เมื่อเปรียบเทียบผลสำรวจระหว่างปี ค.ศ. 2018/19 กับ ค.ศ. 2022 มีแหล่งข้อมูลเดียว คือ In-house Research ที่มีอัตราเพิ่มขึ้นจาก 41% เป็น 53% ขณะที่การใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่นอีก 5 แหล่ง มีอัตราลดลงทั้งหมด

สาเหตุหลักเนื่องมาจากแต่ละสำนักประเมินต่างก็มีระเบียบวิธีที่ใช้ประเมินเป็นของตนเอง ทำให้ผลประเมินที่ได้ มีความแตกต่างหลากหลาย ไม่ได้มีสหสัมพันธ์ระหว่างกัน ขณะที่การเปิดเผยข้อมูลโดยกิจการผ่านทางรายงานแห่งความยั่งยืนก็มีความน่าเชื่อถือที่ลดลง ทำให้ผู้ลงทุนสถาบันไว้วางใจในผลการจัดระดับ (Ratings) และการจัดอันดับ (Rankings) โดยสำนักประเมิน รวมทั้งการเปิดเผยข้อมูล (Disclosures) โดยกิจการ ลดน้อยถอยลง

จึงเป็นที่มาว่า ผู้ลงทุนเริ่มหันมาพึ่งพาแหล่งข้อมูลภายในจาก In-house Research ในอัตราที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ และได้จัดตั้งหน่วยงาน ESG Rating ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2557 เพื่อทำการประเมินข้อมูลด้าน ESG ของบริษัทจดทะเบียน นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ได้พัฒนาเครื่องมือ ESG Premium ขึ้น สำหรับวัดมูลค่าความยั่งยืนของกิจการในเชิงปริมาณ เพื่อใช้ประกอบการวิเคราะห์และคัดเลือกหลักทรัพย์ตามเป้าหมายการลงทุนอย่างยั่งยืนที่ต้องการบรรลุ

ในการคำนวณ ESG Premium จะใช้ข้อมูล ESG Score ที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ มาดำเนินการทางคณิตศาสตร์กับข้อมูล ESG Portion ที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ เพื่อหาส่วนล้ำทางมูลค่า (Premium) ในผลตอบแทนจากการลงทุนของแต่ละหลักทรัพย์ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถใช้ค่า ESG Premium ในการเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่เกิดจากปัจจัย ESG ในรูปของตัวเลขทางการเงินระหว่างกิจการที่ไปลงทุนได้

ตัวอย่างเช่น บริษัท A มีตัวเลข ESG Premium อยู่ที่ 6% และบริษัท B มีตัวเลข ESG Premium อยู่ที่ 4% หมายความว่า ในมูลค่าการลงทุน 100 บาท บริษัท A และบริษัท B มีส่วนล้ำทางมูลค่าจากปัจจัย ESG อยู่จำนวน 6 บาท และ 4 บาทตามลำดับ ทำให้ผู้ลงทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่ยั่งยืน สามารถใช้ตัวเลข ESG Premium พิจารณาเลือกลงทุนในหุ้น A มากกว่าหุ้น B เนื่องจากผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่สะท้อนในผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัท A มีมูลค่าที่สูงกว่าบริษัท B

การพัฒนาเครื่องมือ ESG Premium ถือเป็นมิติใหม่แห่งการประเมินมูลค่าความยั่งยืนของกิจการ ที่ผู้ลงทุนสามารถใช้ในการเปรียบเทียบว่าหลักทรัพย์ตัวใดในพอร์ตการลงทุน ที่ให้ Premium จากปัจจัย ESG ได้สูงกว่าหรือต่ำกว่าหลักทรัพย์ตัวอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถปรับสัดส่วนและน้ำหนักการลงทุนระหว่างหลักทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ต ตามวัตถุประสงค์การลงทุนที่เกี่ยวกับความยั่งยืนได้อย่างตรงจุด

บริษัทจัดการกองทุนรวมที่มีการดูแลบริหารกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน สามารถนำเครื่องมือ ESG Premium ไปใช้เป็นตัวช่วยในการติดตามตรวจสอบการลงทุน เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนของกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืนสอดคล้องกับหลักการด้านความยั่งยืนตามที่สากลยอมรับ รวมทั้งใช้เป็นเครื่องมือเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมที่ให้ภาพเชิงลึกกว่าการอ้างอิงดัชนีชี้วัดที่มีองค์ประกอบเป็นหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน

ทั้งนี้ เครื่องมือ ESG Premium ที่ถูกพัฒนาขึ้น ยังมุ่งตอบโจทย์การลงทุนที่ยั่งยืนในผลิตภัณฑ์ทางการเงิน (อาทิ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล กองอีทีเอฟ กองทรัสต์) ที่มีคุณลักษณะสอดคล้องกับมาตรา 9 ในข้อบังคับว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลการเงินที่ยั่งยืน (SFDR) ของสหภาพยุโรป ซึ่งเริ่มมีผลบังคับให้ต้องเปิดเผยในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2023 (สำหรับรอบบัญชีปี ค.ศ. 2022) เป็นต้นมา

พัฒนาการของการประเมิน ESG ได้ยกระดับไปอีกขั้น จากเครื่องมือ ESG Rating หรือการจัดระดับความยั่งยืนด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ มาสู่การใช้เครื่องมือ ESG Premium หรือการคำนวณมูลค่าความยั่งยืนด้วยการวิเคราะห์เชิงปริมาณที่เสริมการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ เพื่อเพิ่มมิติข้อมูลแก่ผู้ลงทุนที่ใช้ปัจจัยด้าน ESG สำหรับประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกว่าเดิม


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, February 10, 2024

เหรียญ 2 ด้านของความยั่งยืน

ประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีกิจการอยู่ในห่วงโซ่อุปทานโลก จะต่างทยอยปรับมาตรฐานและแนวทางด้านความยั่งยืนในประเทศของตน ให้สอดคล้องกับมาตรฐานในระดับภูมิภาค เพื่อให้สามารถค้าขายและส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญ ๆ

ปัจจุบัน เราได้ยินภาคเอกชนออกมาสื่อสารกันอย่างแข็งขันว่า องค์กรของตนมุ่งมั่นและดำเนินกิจการโดยยึดโยงเรื่องความยั่งยืนเป็นที่ตั้ง มีการพูดถึงและบรรจุเรื่องความยั่งยืนไว้ทั้งในระดับนโยบาย แผนงาน กลยุทธ์ และตัววัดในแต่ละขั้นตอนการดำเนินงาน รวมทั้งการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานในรูปแบบเฉพาะเจาะจงที่เรียกกันว่า รายงานแห่งความยั่งยืน ซึ่งมีการจัดทำเป็นรายปี เหมือนกับรายงานประจำปี

สิ่งที่เป็นคำถามซึ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ไม่แพ้กับกระแสนิยมเรื่องความยั่งยืน คือ ธุรกิจส่วนใหญ่ที่นำเรื่องความยั่งยืนมาดำเนินการนั้น มุ่งตอบโจทย์ความยั่งยืนของใคร เป็นความยั่งยืนในส่วนตัวกิจการเอง หรือเป็นความยั่งยืนของส่วนรวม

ไม่ปฏิเสธว่า องค์กรธุรกิจย่อมต้องพิจารณาประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่ตอบสนองต่อความยั่งยืนของกิจการและความยั่งยืนของส่วนรวมควบคู่ไปพร้อมกัน แต่สิ่งที่ควรพิจารณาต่อ คือ การให้น้ำหนักความสำคัญของการดำเนินการระหว่างประเด็นความยั่งยืนของกิจการและประเด็นความยั่งยืนของส่วนรวม

เครื่องมือที่องค์กรใช้ในการพิจารณาให้น้ำหนักความสำคัญของการดำเนินการประเด็นความยั่งยืน เรียกว่า การวิเคราะห์สารัตถภาพ (Materiality Analysis) ซึ่งเป็นการค้นหาและระบุประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญที่บริษัทจำเป็นต้องดำเนินการ อันถือเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน

ซึ่งหากองค์กรนำเครื่องมือดังกล่าวมาใช้ดำเนินการ โดยมิได้สะท้อนประเด็นสาระสำคัญในทั้งสองส่วน ก็หมายความว่า การดำเนินงานขององค์กรตามที่ตั้งใจ อาจมิได้ตอบโจทย์ความยั่งยืนตามที่ควรจะเป็น

จึงเป็นที่มาของการวิเคราะห์ประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญในรูปแบบของ ทวิสารัตถภาพ (Double Materiality) ที่ประกอบด้วย การพิจารณาที่ผนวกการวิเคราะห์สารัตถภาพทางการเงินที่เป็นผลจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (แบบ Outside-in) เข้ากับการวิเคราะห์สารัตถภาพเชิงผลกระทบที่เกิดจากองค์กรทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (แบบ Inside-out)

สารัตถภาพที่ได้ตามการวิเคราะห์ทางการเงิน (Financial Materiality) จะเป็นข้อมูลส่วนที่สนองความต้องการของผู้ลงทุนและผู้ถือหุ้น (Shareholders) ที่มุ่งตอบโจทย์ความยั่งยืนของกิจการ ขณะที่สารัตถภาพที่ได้ตามการวิเคราะห์ผลกระทบ (Impact Materiality) จะเป็นข้อมูลส่วนที่สนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ที่มุ่งตอบโจทย์ความยั่งยืนโดยรวม

การตอบโจทย์ความยั่งยืนทั้งในส่วนของกิจการและความยั่งยืนของส่วนรวม เปรียบเสมือนเหรียญสองด้านของความยั่งยืน ที่ต้องไปด้วยกัน ไม่สามารถละทิ้งด้านใดด้านหนึ่ง หรือเพิกเฉยต่อประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญของอีกด้านหนึ่งได้

อนึ่ง หลักการทวิสารัตถภาพ หรือ Double Materiality Principle ปรากฏอย่างเป็นทางการครั้งแรก ในเอกสารแนวทางการรายงานข้อมูลที่มิใช่ตัวเลขทางการเงิน: ส่วนเสริมของการรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปเป็นผู้เสนอ เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019

ทั้งนี้ คณะที่ปรึกษาการรายงานข้อมูลทางการเงินแห่งยุโรป (EFRAG) ได้เป็นผู้จัดทำร่างข้อกำหนดการรายงานข้อมูลความยั่งยืนของกิจการ (CSR Directive) รวมถึงหลักการทวิสารัตถภาพ ให้แก่คณะกรรมาธิการยุโรป เพื่อเสนอต่อสภายุโรปให้บังคับใช้ ซึ่งมีผลใช้บังคับสำหรับการรายงานในรอบบัญชี ปี ค.ศ. 2024 เป็นต้นไป

ทำให้บริษัทจดทะเบียนและบริษัทขนาดใหญ่ราว 50,000 แห่ง ที่เข้าเกณฑ์ของ CSR Directive ต้องเริ่มจัดทำรายงานความยั่งยืนตามหลักการทวิสารัตถภาพ และจะบังคับใช้กับบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม ตั้งแต่รอบบัญชี ปี ค.ศ. 2026 รวมทั้งสาขาของบริษัทนอกสหภาพยุโรปที่มีการดำเนินกิจการในสหภาพยุโรปซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ ตั้งแต่รอบบัญชี ปี ค.ศ. 2028 ตามลำดับ

และเป็นผลให้กิจการที่ต้องการยกระดับการรายงานความยั่งยืนให้สอดรับกับมาตรฐานสากล เนื่องจากมีการดำเนินการค้าขายหรือมีสาขากิจการอยู่ในสหภาพยุโรปซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ จะต้องริเริ่มเตรียมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนโดยมีการประเมินทวิสารัตถภาพที่สอดคล้องกับมาตรฐาน ESRS (European Sustainability Reporting Standards)

และเป็นที่คาดหมายว่า ประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีกิจการอยู่ในห่วงโซ่อุปทานโลก จะต่างทยอยปรับมาตรฐานและแนวทางด้านความยั่งยืนในประเทศของตน ให้สอดคล้องกับมาตรฐานในระดับภูมิภาค เพื่อให้สามารถค้าขายและส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญ ๆ ของตนในภูมิภาคยุโรปได้อย่างราบรื่น


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, January 27, 2024

เพิ่มแต้มต่อในธุรกิจ ด้วยการเปิดเผยข้อมูล ESG

หนึ่งในการดำเนินงานที่นำไปสู่ความยั่งยืน คือ การเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสแก่ผู้ที่สนใจหรือที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปของกิจการ อันได้แก่ บรรดาผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ของกิจการ


สาเหตุที่การเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสแก่ผู้มีส่วนได้เสียของกิจการ นำไปสู่ความยั่งยืน เนื่องเพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจที่พร้อมรับการซักถามและตรวจสอบ รวมทั้งข้อชี้แนะต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในทางที่ดีกับผู้มีส่วนได้เสียแต่ละกลุ่ม จนสามารถพัฒนาไปเป็นการสนับสนุนจากผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่าง ๆ ในที่สุด

โดยประโยชน์ที่กิจการจะได้รับจากการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส คือ การลดข้อพิพาทที่จะช่วยทั้งด้านทรัพยากรเวลา บุคลากร และงบประมาณที่สูญเสียไปกับการแก้ไขปัญหากับผู้มีส่วนได้เสีย ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่าย และมีเวลาในการมุ่งเน้นธุรกิจอย่างเต็มที่

สหพันธ์นักบัญชีระหว่างประเทศ (International of Federation of Accountants - IFAC) ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบสถานะการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนและการให้ความเชื่อมั่นในข้อมูลที่เปิดเผยของบริษัทจดทะเบียนใน 42 ประเทศ จำนวน 1,850 กิจการ เผยแพร่ในเอกสารชื่อว่า The State of Play: Sustainability Disclosure & Assurance เมื่อปี ค.ศ. 2023 ระบุว่า 95% ของกิจการที่สำรวจ (1,350 กิจการ) ในกลุ่มประเทศ G20 มีการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG และ 64% มีการให้ความเชื่อมั่นในข้อมูลที่เปิดเผย เทียบกับ 89% ของกิจการที่สำรวจ (500 กิจการ) นอกกลุ่มประเทศ G20 ที่มีการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG และ 48% ที่มีการให้ความเชื่อมั่นในข้อมูลที่เปิดเผย

กิจการที่เปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนจากผลสำรวจพบว่า ในกลุ่มประเทศ G20 มีการใช้หรืออ้างอิงมาตรฐาน GRI (Global Reporting Initiative) จำนวน 74% และผลสำรวจนอกกลุ่มประเทศ G20 มีจำนวน 79% โดยผลการสำรวจในประเทศไทย (จำนวน 25 กิจการ) มีการใช้หรืออ้างอิงมาตรฐาน GRI สูงถึง 96%

สำหรับผลสำรวจการให้ความเชื่อมั่นในข้อมูลที่เปิดเผยของกิจการในประเทศไทย 25 แห่ง โดย IFAC พบว่า ในปี ค.ศ. 2021 มีสัดส่วนอยู่ที่ 68% (เพิ่มขึ้นจาก 58% ในปี ค.ศ. 2020 และ 52% ในปี ค.ศ. 2019) โดยมาตรฐานการให้ความเชื่อมั่นที่ใช้อ้างอิงมากสุด ได้แก่ มาตรฐาน ISAE3000 (67%) รองลงมาเป็นมาตรฐาน AA1000 (44%) ตามลำดับ

ขณะที่ผลสำรวจข้อมูลสถานภาพความยั่งยืนของกิจการไทย จำนวน 904 แห่ง โดยสถาบันไทยพัฒน์ ในปี ค.ศ. 2023 พบว่า กิจการที่มีการจัดทำรายงานความยั่งยืนแยกเล่ม (จำนวน 172 แห่ง) มีการใช้หรืออ้างอิงมาตรฐาน GRI อยู่จำนวน 93% (เพิ่มขึ้นจาก 89% ในปี ค.ศ. 2022 และ 86% ในปี ค.ศ. 2021) และมีการให้ความเชื่อมั่นในข้อมูลที่เปิดเผยอยู่จำนวน 56 แห่ง หรือคิดเป็นสัดส่วน 33% (เพิ่มขึ้นจาก 31% ในปี ค.ศ. 2022 และ 24% ในปี ค.ศ. 2021)

ธุรกิจที่มีการรายงานข้อมูลอย่างโปร่งใส และยังสามารถเปิดเผยได้ตามมาตรฐานสากล จะได้รับการยอมรับทั้งจากหน่วยงานกำกับดูแล หน่วยงานภาครัฐ รวมถึงองค์กรผู้ประเมินทั้งในระดับประเทศและในต่างประเทศ ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือและเครดิตจากการดำเนินงานที่ปัจจุบันทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืน

โดยผลสำรวจของสถาบันไทยพัฒน์ในประเด็นด้านข้อปฏิบัติการเปิดเผยข้อมูล (Disclosure Practices) ในปี ค.ศ. 2023 ยังพบด้วยว่า ร้อยละ 74 ของกิจการที่อยู่ในทำเนียบ ESG100 มีคะแนนด้านข้อปฏิบัติการเปิดเผยข้อมูลที่โดดเด่น เมื่อเทียบกับกิจการทั้งหมดที่ได้รับการสำรวจ

นอกจากนี้ การให้ความเชื่อมั่นในข้อมูลที่เปิดเผย จะช่วยให้กิจการสามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องความเชื่อถือได้และคุณภาพของข้อมูลที่เปิดเผยในด้านการดำเนินงานความยั่งยืนของกิจการ ที่ไปเสริมหนุนการกำกับดูแล การตัดสินใจ และการจัดการความเสี่ยงองค์กรให้เกิดประสิทธิผล

กิจการที่ให้ความใส่ใจในเรื่องความยั่งยืน จะได้รับโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนที่มีต้นทุนต่ำ ในรูปของ GSSSB (Green, Social, Sustainable, and Sustainability-linked Bond) ซึ่ง S&P Global คาดการณ์ว่า ในปี ค.ศ. 2024 จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนราว 1 ล้านล้านเหรียญ (สรอ.)

ประโยชน์สำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน คือ การเพิ่มแต้มต่อในการเข้าถึงตลาดที่เน้นเรื่องการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ดังเช่นในภูมิภาคยุโรปที่มีการสร้างกลไกการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) หรือการออกข้อบังคับว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการทำลายป่า (EUDR) ทำให้ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานความยั่งยืน มีความได้เปรียบทางการแข่งขันเหนือกว่าธุรกิจปกติ ทั้งโอกาสการเพิ่มยอดขายในตลาดเดิม ไปจนถึงการเจาะตลาดใหม่ ๆ ที่นำไปสู่การเพิ่มผลประกอบการในระยะยาว


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, January 13, 2024

3 ความท้าทายและความเสี่ยง ESG ปี 2024

มุมมองที่มีต่อเรื่อง ESG ของกิจการจึงมีความสำคัญ เพราะทางหนึ่ง สามารถนำไปสู่การสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับองค์กรบางกลุ่ม ในอีกทางหนึ่ง ก็สามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นความเสี่ยงให้กับอีกหลายองค์กรได้เช่นกัน

แม้เรื่อง ESG จะมีโมเมนตัมหรือแรงส่งที่ผลักให้ธุรกิจต้องดำเนินการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยกฎระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานใหม่ ๆ ที่ออกโดยรัฐหรือหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง หรือโดยแรงบีบจากตลาดระหว่างคู่ค้าด้วยกันเอง แต่ก็ใช่ว่าการขับเคลื่อนเรื่อง ESG จะเลื่อนไหลไปโดยปราศจากแรงเสียดทาน เนื่องจากเงื่อนไขภายในกิจการ อาทิ ความพร้อม ทรัพยากร และทัศนคติที่มีต่อเรื่อง ESG ของแต่ละกิจการไม่เหมือนกัน ประกอบกับเงื่อนไขภายนอกที่เป็นสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและกติกาทางสังคมที่เกี่ยวข้อง ทำให้การปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองเรื่องดังกล่าว จึงมีจังหวะก้าวที่แตกต่างกัน


สำหรับความท้าทายที่สำคัญต่อการดำเนินการด้าน ESG ของธุรกิจไทย ในปี ค.ศ. 2024 ได้แก่

การบังคับใช้กฎหมาย แม้การดำเนินงานด้าน ESG ไม่จำเป็นต้องพึ่งการออกกฎหมายฉบับใหม่ เนื่องจากประเทศไทยมีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้าน ESG อยู่แล้ว ดังนั้นหนึ่งในอุปสรรคและความท้าทายในการดำเนินการด้าน ESG ของธุรกิจ ในปี ค.ศ. 2024 จึงไม่ได้อยู่ที่ประเด็นการไม่มีกฎหมายรองรับ แต่เป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายให้มีความเฉียบขาด เช่น กรณีทุจริตหุ้น STARK กรณีโกงหุ้น MORE หรือกรณีลักลอบนำเข้าหมู ฯลฯ

การเปลี่ยนผ่าน โดยประเด็นด้าน ESG ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการ เช่น การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีสาเหตุจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ถูกดึงให้มีความล่าช้าออกไป ตัวอย่างกรณีการประชุม COP28 ที่มีการแก้ไขถ้อยคำเรื่องการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล จากการทยอยเลิกใช้ (Phase out) มาเป็นการเปลี่ยนผ่าน (Transition away) โดยการผลักดันของกลุ่มประเทศที่มีผลประโยชน์ในเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะทำให้เป็นอุปสรรคและความท้าทายในการดำเนินการด้าน ESG ของธุรกิจโดยรวม ในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และยังได้กลายเป็นความเสี่ยงต่อการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของแต่ละประเทศ

การฟอกเขียว ปัจจุบันคำว่า ESG ได้ถูกหยิบมาใช้ในวงกว้าง ไม่เว้นในแวดวงการตลาดที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์และการสร้างภาพลักษณ์อย่างแพร่หลาย จนในปัจจุบัน กิจกรรม ESG ส่วนใหญ่ที่ปรากฏในสื่อ ถูกตีความว่าเป็นการฟอกเขียว (Green Washing) ซึ่งคือการดำเนินการที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดด้วยการโฆษณาสินค้าหรือองค์กรให้มีภาพลักษณ์ว่ารับผิดชอบต่อสังคมโดยการรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เช่น การประกาศตัวเลขการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกินจริงหรือที่พิสูจน์ไม่ได้ การแสดงเครื่องหมายรับรองที่ออกโดยหน่วยงานที่ขาดความน่าเชื่อถือหรือได้มาด้วยการซื้อเครื่องหมายรับรองที่ไม่ได้มีมาตรฐานรองรับ การฟอกเขียว จึงยังเป็นอุปสรรคและความท้าทายสำคัญในการดำเนินการด้าน ESG ของธุรกิจ ในปี ค.ศ. 2024 และมีแนวโน้มที่ขยายวงเพิ่มสูงขึ้น

สำหรับธุรกิจที่ยังไม่ใส่ใจดำเนินการด้าน ESG ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือข้ออ้างใดก็ตาม ความเสี่ยงต่อการดำเนินงาน ในปี ค.ศ. 2024 ที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจเหล่านั้น ได้แก่

ตกขบวน เพราะ ESG เป็นเทรนด์ใหญ่ที่ธุรกิจไม่ว่าขนาดใหญ่ขนาดเล็ก ต้องนำมาดำเนินการในกิจการของตนไม่มากก็น้อย บริษัทขนาดใหญ่ที่มีห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยคู่ค้าจำนวนมาก นับเป็นหลายพันหลายหมื่นราย จำเป็นต้องทำเรื่อง ESG ในกิจการ เพราะได้รับแรงกดดันจากผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่าง ๆ และยังถูกคาดหวังให้ต้องดำเนินการในห่วงโซ่อุปทานด้วย นั่นหมายความว่า บริษัทที่มีการดำเนินการด้าน ESG จำเป็นต้องค้าขายกับคู่ค้าที่มี ESG ในระดับเดียวกัน หรือมีในเกณฑ์ขั้นต่ำที่บริษัทเป็นผู้กำหนด ซึ่งหากคู่ค้าหรือธุรกิจรายใดในเครือข่าย ไม่ดำเนินการหรือดำเนินการได้ไม่ถึงเกณฑ์ ก็อาจตกขบวนหรือหมดโอกาสที่จะค้าขายกับบริษัทเหล่านั้นได้ตามปกติ จนกว่าจะสามารถปรับปรุงสถานะเรื่อง ESG ให้ได้ตามเกณฑ์

มีต้นทุนเพิ่ม เพราะ ESG ในหลายประเด็นมาพร้อมกับการออกเป็นกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับให้ต้องปฏิบัติ มิฉะนั้นจะมีค่าปรับหรือบทลงโทษ หากยังไม่มีการดำเนินการด้าน ESG นั้น ๆ ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงด้านต้นทุนที่ธุรกิจต้องเผชิญ ในทางกลับกัน การดำเนินการด้าน ESG ให้เป็นไปตามกฎระเบียบ จะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมจากเดิมไม่มากก็น้อย ซึ่งก็เป็นภาระด้านต้นทุนที่ธุรกิจต้องเผชิญเช่นกัน ทำให้ธุรกิจจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักระหว่างต้นทุนดำเนินการด้าน ESG ที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงมิให้เกิดความเสียหายขึ้น กับต้นทุนที่เป็นค่าปรับหรือการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง

เสียโอกาสในการเข้าถึงตลาด เพราะ ESG ไม่ได้มาในรูปของการบังคับให้ปฏิบัติ ด้วยการออกเป็นกฎหมายอย่างเดียว แต่ยังมาในรูปของแรงกดดันหรือการกีดกันจากภาคธุรกิจด้วยกันเองในกรณีที่เป็น B2B ซึ่งหากกิจการไม่มีการดำเนินการด้าน ESG (แม้จะไม่มีกฎหมายบังคับ) ก็อาจทำให้ค้าขายต่อไปเหมือนเดิมไม่ได้ เพราะคู่ค้ารายใหญ่ผลักดันให้มีการดำเนินการ พร้อมกับเงื่อนไขที่หากไม่ดำเนินการหรือดำเนินการได้ไม่ถึงเกณฑ์ ก็จะปฏิเสธการซื้อสินค้าหรือบริการจากกิจการรายนั้น ๆ กลายเป็นความสูญเสียทางธุรกิจ ทั้งการเสียตลาดเดิมที่ผูกด้วยเงื่อนไขใหม่ และการเสียโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ที่มาพร้อมกับเงื่อนไขปกติ (ด้าน ESG) นอกจากนี้ ESG ยังมาในรูปของแรงกดดันหรือพฤติกรรมจากผู้บริโภคในกรณีที่เป็น B2C ซึ่งมีความต้องการที่จะอุดหนุนผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเฉพาะผู้บริโภคในกลุ่มที่เป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งกำลังเติบโตขึ้นมากในปัจจุบัน ทำให้กิจการที่ไม่ปรับตัวก็จะเสียโอกาสในการเข้าถึงตลาดกลุ่มนี้เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ มุมมองที่มีต่อเรื่อง ESG ของกิจการจึงมีความสำคัญ เพราะทางหนึ่ง สามารถนำไปสู่การสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับองค์กรบางกลุ่ม ในอีกทางหนึ่ง ก็สามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นความเสี่ยงให้กับอีกหลายองค์กรได้เช่นกัน


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]