แต่ไม่มีอะไรที่รับประกันว่า การเจรจาในรอบต่อไปของทั้งสองประเทศ ภายในห้วงเวลา 90 วันนี้ จะนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงถาวรร่วมกัน เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดความไม่ลงตัวในผลประโยชน์ที่แต่ละฝ่ายจะได้รับ
สหรัฐฯ ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า การนำนโยบายภาษีต่างตอบแทนมาใช้กีบจีนและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อต้องการลดตัวเลขขาดดุลทางการค้า 1.2 ล้านล้านเหรียญ (ตัวเลขปี ค.ศ. 2024) ตามมาด้วยนโยบายเพิ่มการลงทุนในประเทศด้วยการดึงอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ให้กลับมาตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ (Reshoring)
นับจนถึงปัจจุบัน (15 พ.ค.) ตัวเลขยอดการลงทุนที่สหรัฐฯ ได้รับคำมั่นจากภาคเอกชนในประเทศต่าง ๆ มีจำนวนรวมแล้วกว่า 10 ล้านล้านเหรียญ กระนั้นก็ตาม ยอดการลงทุนนี้จะต้องใช้เวลาเป็นหลักปีหรือหลายปี (ตั้งแต่การก่อสร้างโรงงาน การเปิดดำเนินงาน จนไปสู่การผลิตสู่ท้องตลาด) กว่าที่จะส่งผลในตัวเลขการจ้างงานและรายได้ในบัญชีประชาชาติ
ในฟากของจีนเอง ได้มีการออกนโยบายทางการเงินเพื่อรับมือกับสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งประกอบด้วย 1) การเพิ่มเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ 2) การลดต้นทุนทางการเงิน และ 3) การเสริมเครื่องมือนโยบายทางการเงินเพื่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศ
ธนาคารกลางจีน ได้ใช้มาตรการด้านปริมาณในการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดเงิน ด้วยการประกาศลดอัตราส่วนการดำรงเงินสดสํารองทางการ (Reserve Requirement Ratio: RRR) ของธนาคารพาณิชย์ ลง 0.5% ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินเติมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจราว 1 ล้านล้านหยวน พร้อมกับการลด RRR ของสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อรถยนต์จาก 5% เหลือ 0% เป็นการชั่วคราว
ในส่วนของการลดต้นทุนทางการเงิน ได้มีการใช้มาตรการด้านราคา ด้วยการ (1) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.1% ซึ่งมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางกู้ยืมจากตลาดเงินด้วยการขายพันธบัตรโดยมีสัญญาซื้อคืน (Reverse Repo) ระยะ 7 วัน ลดจาก 1.5% เหลือ 1.4% เพื่อคงสภาพคล่องไว้ในตลาด และ (2) ลดอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางให้กู้ยืมแก่ธนาคารพาณิชย์ลง 0.25% ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ลงได้ 1.5-2 หมื่นล้านหยวนต่อปี รวมทั้ง (3) ลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อที่อยู่อาศัยส่วนบุคคลลง 0.25% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อสำหรับบ้านหลังแรกในช่วง 5 ปีแรก ลดจาก 2.85% ลงมาอยู่ที่ 2.6% มาตรการนี้จะช่วยให้ประชาชนที่ต้องการที่อยู่อาศัยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยได้มากกว่า 2 หมื่นล้านหยวนต่อปี และยังช่วยพยุงตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้มีเสถียรภาพมากขึ้น
สำหรับเครื่องมือนโยบายทางการเงินที่นำมาใช้เสริมในการปรับโครงสร้าง ประกอบด้วย (1) การลดอัตราดอกเบี้ยให้กู้ยืมโดยธนาคารกลางแก่สถาบันการเงินเพื่อนำไปปล่อยกู้ต่อ (Relending) ลง 0.25% จาก 1.75% เหลือ 1.5% และการลดอัตราดอกเบี้ยให้กู้ยืมโดยธนาคารกลางแก่สถาบันการเงินแบบมีข้อผูกมัด (Pledged Supplementary Lending) จาก 2.25% ลงเหลือ 2% และ (2) การตั้งงบให้กู้ยืมจำนวน 5 แสนล้านหยวน เพื่อกระตุ้นการบริโภคในภาคบริการและยกระดับการดูแลผู้สูงอายุ และ (3) การเพิ่มวงเงินกู้ในภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจาก 5 แสนล้านหยวน เป็น 8 แสนล้านหยวน เพื่อสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้เกิดการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ทันสมัยและเพิ่มการใช้สอยสินค้าเพื่อการบริโภค รวมถึงการเพิ่มวงเงินกู้เพื่อสนับสนุนภาคเกษตรและธุรกิจขนาดเล็กอีกจำนวน 3 แสนล้านหยวน ทำให้วงเงินสินเชื่อที่ให้แก่สถาบันการเงินเพื่อนำไปปล่อยกู้ต่อ มียอดรวมอยู่ที่ 3 ล้านล้านหยวน
นโยบายข้างต้น ยังไม่นับรวมการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดทุน และการผ่อนคลายกฎระเบียบการซื้อหุ้นคืนและการเพิ่มการถือครองหุ้นของบริษัทจดทะเบียน เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพในตลาดหุ้น ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีนแผ่นดินใหญ่ (A-share) ส่วนใหญ่ที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้มีการปรับตัวรับมือตั้งแต่การขึ้นภาษีการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ในสมัยแรก ทำให้ปัจจุบัน 91% ของบริษัทจีนในตลาด A-share มียอดส่งออกไปสหรัฐฯ รวมกันแล้วน้อยกว่า 10% ของยอดรายได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ดี ชุดนโยบายที่จีนประกาศออกมา ยังออกไปในทางรับมือกับสถานการณ์ มากกว่าที่จะเป็นการตอบโต้ในเชิงรุก เพราะจีนทราบดีว่า นอกจากปัจจัยภายนอกที่มาจากประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ จีนยังคงเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจในประเทศที่สำคัญ ตั้งแต่วิกฤตการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ฟื้นตัว ปัญหาการระบายอุปทานส่วนเกินในภาคผลิต การว่างงานของแรงงานจบใหม่ และการบริโภคที่หดตัว
การกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ จึงเป็นวาระสำคัญที่ต้องดำเนินการ โดยในปีที่ผ่านมา (ค.ศ. 2024) จีนได้ลงทุนเป็นจำนวน 2.9 ล้านล้านหยวน ไปกับการฟื้นฟูเมือง (Urban Renewal) กว่า 6 หมื่นโครงการ และในปีนี้ กระทรวงการคลังจีน ได้ตั้งงบประมาณในการฟื้นฟู 20 เมืองใหญ่ โดยในพื้นที่ภาคตะวันตกจะได้รับเงินอุดหนุน 1.2 พันล้านหยวนต่อแห่ง ภาคกลางจะได้รับ 1 พันล้านหยวนต่อแห่ง และในภาคตะวันออกจะได้รับ 800 ล้านหยวนต่อแห่ง
เครื่องยนต์เศรษฐกิจจีน ทั้งการใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนของเอกชนในภาคผลิต ยังคงทำงานได้ตามศักยภาพ แต่เครื่องยนต์ที่เป็นการบริโภคของประชาชน และการรักษามูลค่าการส่งออก จะเป็นโจทย์ใหญ่ของจีนในกระดานเศรษฐกิจโลกที่ต้องใช้การเดินเกมรุกมากกว่าการตั้งรับ ซึ่งจะขอยกไปนำเสนอเป็นตอนต่อไป
จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

No comments:
Post a Comment