ในรายงานผลสำรวจด้านภูมิอากาศประจำปีครั้งที่ 5 เรื่อง “How Companies Are Tackling the Climate Challenge and Creating Value” ซึ่งจัดทำโดย Boston Consulting Group (BCG) และ CO2 AI ชี้ให้เห็นว่า สี่ในห้าของบริษัทที่ทำการสำรวจ (82%) ได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการลดคาร์บอน และกว่า 70% ยังคงรักษาระดับหรือเพิ่มการลงทุนโดยรวมในด้านความยั่งยืน
แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกด้านผลตอบแทนและการลงทุน แต่ข้อมูลสำรวจที่ได้จากผู้บริหาร 1,924 คน จาก 16 อุตสาหกรรมหลักใน 26 ประเทศ ซึ่งมีส่วนร่วมในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกราว 40% ยังคงชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สำคัญในด้านความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูล โดยมีเพียง 7% ของกิจการขนาดใหญ่ที่เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างครอบคลุมในทุกขอบข่าย (Scope 1, 2 และ 3) ตัวเลขนี้ลดลงจาก 9% ในปี ค.ศ. 2024 และจาก 10% ในปี ค.ศ. 2023 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรายงานที่ถดถอยลง
ขณะที่มีกิจการเพียง 13% ที่มีการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ครอบคลุมทั้ง Scope 1, 2 และ 3 โดยมีจำนวนลดลงในอัตรา 3% เมื่อเทียบปีต่อปี จากจุดสูงสุดที่ 19% ในปี ค.ศ. 2023 และมีกิจการราว 12% ที่ทำการประเมินความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risks) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks) ได้อย่างครอบคลุม
แม้จะมีช่องว่างในการดำเนินการและการเปิดเผยข้อมูล แต่ภาคเอกชนยังคงประกาศแผนเพิ่มการลงทุนในด้านการบรรเทาผลกระทบ การปรับตัว และการสร้างภาวะพร้อมผัน โดยเพิ่มรายจ่ายการลงทุนอีก 16% ให้กับเรื่องความยั่งยืนในช่วงห้าปีข้างหน้า ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยที่ 69 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อกิจการ รายจ่ายการลงทุนนี้มิได้เป็นไปเพียงเพื่อการลดความเสี่ยง เช่น การลงทุนในสินทรัพย์ที่ทนต่อสภาพอากาศ แต่ยังเป็นการเปิดช่องทางสู่การเติบโตสีเขียว เช่น การสร้างสายผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนด้วย
โดย 82% ของกิจการที่ตอบแบบสำรวจ ระบุว่าได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการลดคาร์บอน และในจำนวนนี้ มีกิจการราว 6% ที่เปิดเผยสัดส่วนมูลค่าที่ได้รับว่ามีตัวเลขสูงกว่า 10% ของรายได้ต่อปี หรือเทียบเท่ากับมูลค่าเฉลี่ยสุทธิ (หลังหักค่าใช้จ่าย) ราว 221 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อกิจการ ซึ่งมีที่มาจากสองแหล่งหลัก คือ การเติบโตของรายได้จากผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน และการประหยัดต้นทุนการดำเนินงานจากการเพิ่มประสิทธิภาพและการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นอกจากนี้ กิจการในกลุ่มสำรวจที่ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านภูมิอากาศอย่างจริงจัง ได้คาดการณ์ถึงโอกาสทางการเงินจากการปรับตัวและการสร้างภาวะพร้อมผัน ส่วนกิจการที่มีการประเมินทั้งความเสี่ยงทางกายภาพ (เช่น พายุ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายและตลาด) ยังได้คาดการณ์ว่าจะมีความเสี่ยงทางการเงินที่ต้องเผชิญสูงถึง 790 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2030
อย่างไรก็ดี เกือบครึ่งหนึ่งของกิจการที่ถูกสำรวจระบุว่า ความพยายามในการปรับตัวต่อความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ มีส่วนสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้มากกว่า 10% ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า การเตรียมพร้อมล่วงหน้า มอบมูลค่าจริงที่วัดผลได้
เครื่องมือสำคัญของกิจการที่ช่วยแปลงเป้าประสงค์ทางภูมิอากาศสู่การลงมือทำ ได้แก่ การกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Pricing) โดยพบว่า หนึ่งในสามของกิจการได้นำกลไกการกำหนดราคาคาร์บอนภายในมาช่วยประเมินการตัดสินใจลงทุนและดำเนินงาน การจัดทำแผนการเปลี่ยนผ่านด้านภูมิอากาศ (Climate Transition Plans) โดยข้อมูลการสำรวจเผยว่า มีการนำแผนการเปลี่ยนผ่านมาใช้เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบปีต่อปี และ 61% ของแผนเหล่านี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารให้ดำเนินการ สิ่งนี้แสดงถึงการเคลื่อนตัวด้านภูมิอากาศในระดับเจตจำนงไปสู่การดำเนินกลยุทธ์ในระดับปฏิบัติการ
รายงานฉบับดังกล่าว ยังได้ระบุว่า กิจการที่ทำให้ความยั่งยืนเป็นแกนหลักของกลยุทธ์ สามารถสร้างผลประโยชน์ทางการเงินจากการดำเนินการด้านภูมิอากาศ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 10% ของรายได้ กิจการเหล่านี้มีปัจจัยขับเคลื่อนร่วมกัน 4 ประการ ประกอบด้วย การวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและความเสี่ยงอย่างครอบคลุม (โดยมีแนวโน้มที่จะสร้างรายรับอย่างมีนัยสำคัญเพิ่มขึ้น 1.4 เท่าเมื่อเทียบกับกิจการอื่น) การวัดปริมาณผลกระทบผ่านการกำหนดราคาคาร์บอนภายในและการสร้างแบบจำลองความเสี่ยง (มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมูลค่าได้ 1.6 เท่า) การนำแผนการเปลี่ยนผ่านและการปรับตัวมาใช้ (มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมูลค่าได้ 2.2 เท่า) และการใช้โซลูชันดิจิทัลขั้นสูงร่วมกันในหลายรูปแบบ (มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมูลค่าได้ 2.3 เท่า)
โดยสรุปแล้ว การดำเนินการด้านภูมิอากาศในโลกธุรกิจกำลังเคลื่อนไหวอย่างมีพลวัต แม้จะมีความท้าทายในการวัดผลและการเปิดเผยข้อมูล แต่ขนาดการลงทุนกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผลตอบแทนทางการเงินเริ่มปรากฏชัด และการใช้เครื่องมือขั้นสูงเกี่ยวกับภูมิอากาศกำลังช่วยให้กิจการสามารถเปลี่ยนวิสัยทัศน์ความยั่งยืนให้เป็นผลประกอบการที่ยั่งยืนในที่สุด
จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

No comments:
Post a Comment