Saturday, October 18, 2025

วิธีการสร้างผลตอบแทนจากการปรับตัวทางภูมิอากาศ

ในครึ่งแรกของปี ค.ศ. 2025 โลกได้เผชิญกับความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากภัยทางสภาพภูมิอากาศไปแล้วกว่า 1.62 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขความเสียหายนี้ ตอกย้ำถึงผลกระทบอันรุนแรง ทั้งจากความเสียหายทางเศรษฐกิจในพื้นที่เสี่ยงสูง การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเอง และข้อจำกัดของการลงทุนเพื่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวในอดีต

แม้ว่าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับภัยทางกายภาพที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมิใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตลาดที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นจากทั้งลูกค้าองค์กรและผู้บริโภคในการสร้างภาวะพร้อมผัน รวมทั้งการจัดการความเสี่ยงทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสัญญาณจากตลาดเหล่านี้มีแนวโน้มจะทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ตราบที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้น

การเติบโตของการสร้างภาวะพร้อมผันทางภูมิอากาศ (Climate Resilience) ถูกนิยามว่าเป็นกระบวนการปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นจริงหรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งครอบคลุมการดำเนินการที่มนุษย์พึงทำเพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบเชิงลบจากภัยทางสภาพภูมิอากาศ อาทิ การสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การปกป้องทรัพย์สิน การปรับปรุงการดำเนินงานของบริษัท และการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการบริโภค ฯลฯ

ความต้องการเทคโนโลยีที่สนับสนุนการสร้างภาวะพร้อมผันทางภูมิอากาศ สามารถสร้างโอกาสการลงทุนในภาคเอกชนที่มีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งไม่เพียงแต่ถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศ แต่ยังรวมถึงปัจจัยด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงสังคม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ความกังวลด้านความเสี่ยงและการปรับตัวในวงกว้าง ความเต็มใจจ่ายของลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ เพื่อการปรับตัว ชุดปัจจัยผลักดันดังกล่าว ได้สร้างโอกาสที่น่าดึงดูดต่อนักลงทุนหลายประเภท และการระดมทุนของภาคเอกชนในเทคโนโลยีเหล่านี้ จะช่วยเสริมสร้างภาวะพร้อมผันทางภูมิอากาศโดยรวมของโลก

แม้จะมีโอกาสมหาศาล แต่การระดมทุนของภาคเอกชนในเรื่องดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยที่ผ่านมา องค์กรที่ได้รับทุนจากภาครัฐและสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาเป็นผู้ลงทุนกว่า 85% ของเงินทุนที่จัดสรรสำหรับการปรับตัวทางภูมิอากาศ มีเพียง 11% ที่เป็นเงินทุนจากภาคเอกชน ซึ่งประกอบด้วย ธนาคาร (5.7%) กองทุนส่วนบุคคล (3.6%) และผู้ลงทุนภาคองค์กร (1.5%) ตามลำดับ

โดยจากตัวเลขในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 มีกองทุนไม่ถึง 120 แห่ง ที่มีการระดมทุนเพื่อลงทุนในการปรับตัวทางภูมิอากาศโดยเฉพาะ รวมกันไม่ถึง 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ เงินทุนกว่า 6.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ถูกระดมสำหรับการลดคาร์บอนและการลงทุนด้านความยั่งยืนในวงกว้าง จากกองทุนส่วนบุคคลกว่า 1,300 กองทุน

ในเอกสารที่เผยแพร่โดย McKinsey ชื่อว่า Climate resilience technology: An inflection point for new investment เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2568 ได้เสนอวิธีการปลดล็อกเงินทุนภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนการขยายขนาดของตลาดทุนสำหรับการปรับตัวทางภูมิอากาศ ใน 3 ประการสำคัญ ประกอบด้วย

1. การสร้างผลตอบแทนจากการปรับตัวทางภูมิอากาศ (Return on Resilience - RoR)
ผู้ลงทุนต้องสามารถกำหนดตัวเลขมูลค่าความเสี่ยงจากภัยทางสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ชุดฉากทัศน์สำหรับทรัพย์สินหรือพอร์ตการลงทุน (เช่น การประเมินความเสียหายของทรัพย์สินจากการหยุดชะงักทางธุรกิจตามระดับของวาตภัยหรืออุทกภัยที่แตกต่างกัน) จากนั้น ทำการระบุและจัดลำดับความสำคัญของมาตรการปรับตัวที่มีประสิทธิผลสูงสุดตามหลักเทคนิคและความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ (เช่น การสร้างแนวกั้นน้ำท่วม การยกอุปกรณ์หรือสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญขึ้นที่สูง) ด้วยความสามารถในการระบุตัวเลขมูลค่าเสี่ยงภัยที่ลดได้ (ผลตอบแทน) และตัวเลขค่าใช้จ่ายในมาตรการปรับตัว (การลงทุน) ที่แม่นยำ จะสามารถจำลองผลตอบแทนสุทธิจากการปรับตัว (Net RoR) ตามการประเมินภายใต้สมมุติฐานเงื่อนเวลาและระดับความรุนแรงของภัยทางสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน

ทั้งนี้ การระบุตัวเลขมูลค่าพึงได้และการประมาณค่าผลตอบแทนทางการเงินจากการนำเทคโนโลยีการปรับตัวทางภูมิอากาศไปใช้งาน จะเป็นรากฐานสำหรับการสร้างกรณีศึกษาทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรม และเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่ชัดเจนสำหรับเทคโนโลยีการปรับตัวทางภูมิอากาศ

2. การสร้างสิ่งจูงใจเชิงโครงสร้างสำหรับการลงทุนเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศ (Structural Incentives)
การจัดหาเงินทุนเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศ จำเป็นต้องก้าวข้ามจากการบรรเทาภัยพิบัติเชิงรับ สู่กลไกเชิงรุกที่ให้คุณแก่การลดความเสี่ยงก่อนที่จะเกิดความสูญเสียขึ้น เช่น นวัตกรรมด้านประกันภัยที่มีการพัฒนารูปแบบกรมธรรม์พ่วงสิ่งจูงใจทางตรงเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยง นอกเหนือจากการชดเชยหลังเกิดความเสียหาย ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์สองระดับ (Dual Payoff) คือ ผู้ถือกรมธรรม์ลดทั้งความเสี่ยงต่อความสูญเสียและเบี้ยประกันในอนาคต ในขณะที่บริษัทประกันลดค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน หรือนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เชื่อมโยงกับการปรับตัวทางภูมิอากาศ โดยใช้การระดมทุนเพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศ และมีการจ่ายผลตอบแทนตามผลลัพธ์การดำเนินงานการปรับตัวทางภูมิอากาศ

การเงินเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศ กำลังก้าวขึ้นมาเป็นสินทรัพย์ประเภทใหม่ ที่มีศักยภาพในการขยายขนาดอย่างมาก เมื่อสิ่งจูงใจเหล่านี้ ถูกรวมเข้ากับการทำธุรกรรมทางการเงิน ผู้ลงทุนจะสามารถก้าวผ่านการมุ่งเน้นที่การวัดความเสี่ยงและการให้เงินทุนแบบตั้งรับเพื่อฟื้นฟูภัยพิบัติ ไปสู่การให้เงินทุนเชิงรุกสำหรับกิจกรรมการปรับตัวทางภูมิอากาศที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดแก่สินทรัพย์ พอร์ตการลงทุน หรือแก่ชุมชนโดยรวม

3. การสร้างสมรรถภาพและแหล่งรวมเงินทุนเฉพาะกิจทางภูมิอากาศ (Capital Pools)
การปลดล็อกศักยภาพทางการเงินเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศอย่างเต็มที่ ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงเครื่องมือเชิงนวัตกรรม แต่ยังรวมถึงสมรรถภาพและแหล่งรวมเงินทุนเฉพาะทางที่สามารถขยายผลในวงกว้าง โดยผู้ลงทุนต้องพัฒนาความสามารถใหม่ เช่น การผนวกแบบจำลองความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศและการคาดการณ์ผลตอบแทนจากการปรับตัวเข้ากับกระบวนการประเมินความเสี่ยงก่อนการลงทุน ภายใต้บริบทของความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมูลค่าที่คาดหวังจากความสูญเสียที่หลีกเลี่ยงได้ ซึ่งถือเป็นโอกาสในการสร้างแหล่งรวมเงินทุนที่ตอบโจทย์ความมุ่งประสงค์ด้านการลงทุนเพื่อการปรับตัวทางภูมิอากาศ ตามสมรรถภาพ ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และในกรอบเวลาที่เหมาะสม

นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันระหว่างสถาบันการเงิน รัฐบาล และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเอาชนะอุปสรรคในวงกว้าง เช่น ช่องว่างข้อมูลในตัววัดผลการปรับตัวทางภูมิอากาศ การถกเถียงถึงความแม่นยำในฉากทัศน์ของภัยทางสภาพภูมิอากาศ การขาดกรอบมาตรฐานในการประเมินความสูญเสียที่หลีกเลี่ยงได้ และความซับซ้อนในการจัดแถวผู้รับผลประโยชน์หลายฝ่ายเพื่อแบ่งสันปันส่วนมูลค่าที่ต้องชดใช้ อันเป็นความท้าทายที่คุ้มค่าความพยายามในการหาทางออกเพื่อนำมาซึ่งมูลค่าพึงได้แก่สังคม ระบบเศรษฐกิจ และแก่ผืนโลก

ด้วยการผนวกผลตอบแทนจากการปรับตัวทางภูมิอากาศเข้ากับกระบวนการลงทุน และการสร้างสมรรถภาพใหม่ที่ตลาดต้องการ จะช่วยให้ตลาดทุนสามารถเคลื่อนจากการนำร่องไปสู่การสร้างสินทรัพย์ประเภทใหม่ที่ขยายขนาดได้ ซึ่งมิใช่เป็นเพียงการสร้างแหล่งรวมคุณค่าใหม่สำหรับผู้ลงทุน แต่ยังช่วยฝังตรึงภาวะพร้อมผันทางภูมิอากาศให้กลายเป็นแกนกลางการสร้างคุณค่าระยะยาวสำหรับกิจการ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน และภาครัฐ

แม้จะมีคำถามว่าโลกจะสามารถปรับตัวเข้ากับความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศที่กำลังจะมาถึงได้อย่างเต็มที่หรือไม่ แต่โอกาสสำหรับผู้ลงทุนที่ใส่ใจการปรับตัวทางภูมิอากาศก็ปรากฏขึ้นแล้วในวันนี้ ตลาดจะยังขยายตัวต่อไปตราบที่ขนาดและความหลีกเลี่ยงไม่ได้ของความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศยิ่งชัดเจนและเร่งด่วนมากขึ้น อันนำมาซึ่งโอกาสสำหรับผู้บุกเบิกในการส่งมอบผลตอบแทนพร้อมกับการช่วยจัดการกับความเปราะบางของโลกต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มขึ้น


จากบทความ 'ESG Sauce' ใน The Story Thailand External Link [Archived]

Saturday, October 04, 2025

ธุรกิจสร้างรายรับจาก 'ความยั่งยืน' ด้วยกลยุทธ์ด้านภูมิอากาศ

ท่ามกลางกระแสความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาคธุรกิจทั่วโลกมิได้มองการดำเนินการด้านภูมิอากาศว่าเป็นเพียงภาระหรือค่าใช้จ่ายอีกต่อไป แต่กำลังเปลี่ยนมุมมองให้เป็นโอกาสในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสร้างภาวะพร้อมผันในระยะยาว

ในรายงานผลสำรวจด้านภูมิอากาศประจำปีครั้งที่ 5 เรื่อง “How Companies Are Tackling the Climate Challenge and Creating Value” ซึ่งจัดทำโดย Boston Consulting Group (BCG) และ CO2 AI ชี้ให้เห็นว่า สี่ในห้าของบริษัทที่ทำการสำรวจ (82%) ได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการลดคาร์บอน และกว่า 70% ยังคงรักษาระดับหรือเพิ่มการลงทุนโดยรวมในด้านความยั่งยืน

แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกด้านผลตอบแทนและการลงทุน แต่ข้อมูลสำรวจที่ได้จากผู้บริหาร 1,924 คน จาก 16 อุตสาหกรรมหลักใน 26 ประเทศ ซึ่งมีส่วนร่วมในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกราว 40% ยังคงชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สำคัญในด้านความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูล โดยมีเพียง 7% ของกิจการขนาดใหญ่ที่เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างครอบคลุมในทุกขอบข่าย (Scope 1, 2 และ 3) ตัวเลขนี้ลดลงจาก 9% ในปี ค.ศ. 2024 และจาก 10% ในปี ค.ศ. 2023 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรายงานที่ถดถอยลง

ขณะที่มีกิจการเพียง 13% ที่มีการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ครอบคลุมทั้ง Scope 1, 2 และ 3 โดยมีจำนวนลดลงในอัตรา 3% เมื่อเทียบปีต่อปี จากจุดสูงสุดที่ 19% ในปี ค.ศ. 2023 และมีกิจการราว 12% ที่ทำการประเมินความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risks) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks) ได้อย่างครอบคลุม

แม้จะมีช่องว่างในการดำเนินการและการเปิดเผยข้อมูล แต่ภาคเอกชนยังคงประกาศแผนเพิ่มการลงทุนในด้านการบรรเทาผลกระทบ การปรับตัว และการสร้างภาวะพร้อมผัน โดยเพิ่มรายจ่ายการลงทุนอีก 16% ให้กับเรื่องความยั่งยืนในช่วงห้าปีข้างหน้า ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยที่ 69 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อกิจการ รายจ่ายการลงทุนนี้มิได้เป็นไปเพียงเพื่อการลดความเสี่ยง เช่น การลงทุนในสินทรัพย์ที่ทนต่อสภาพอากาศ แต่ยังเป็นการเปิดช่องทางสู่การเติบโตสีเขียว เช่น การสร้างสายผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนด้วย

โดย 82% ของกิจการที่ตอบแบบสำรวจ ระบุว่าได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการลดคาร์บอน และในจำนวนนี้ มีกิจการราว 6% ที่เปิดเผยสัดส่วนมูลค่าที่ได้รับว่ามีตัวเลขสูงกว่า 10% ของรายได้ต่อปี หรือเทียบเท่ากับมูลค่าเฉลี่ยสุทธิ (หลังหักค่าใช้จ่าย) ราว 221 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อกิจการ ซึ่งมีที่มาจากสองแหล่งหลัก คือ การเติบโตของรายได้จากผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน และการประหยัดต้นทุนการดำเนินงานจากการเพิ่มประสิทธิภาพและการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นอกจากนี้ กิจการในกลุ่มสำรวจที่ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านภูมิอากาศอย่างจริงจัง ได้คาดการณ์ถึงโอกาสทางการเงินจากการปรับตัวและการสร้างภาวะพร้อมผัน ส่วนกิจการที่มีการประเมินทั้งความเสี่ยงทางกายภาพ (เช่น พายุ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายและตลาด) ยังได้คาดการณ์ว่าจะมีความเสี่ยงทางการเงินที่ต้องเผชิญสูงถึง 790 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2030

อย่างไรก็ดี เกือบครึ่งหนึ่งของกิจการที่ถูกสำรวจระบุว่า ความพยายามในการปรับตัวต่อความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ มีส่วนสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้มากกว่า 10% ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า การเตรียมพร้อมล่วงหน้า มอบมูลค่าจริงที่วัดผลได้

เครื่องมือสำคัญของกิจการที่ช่วยแปลงเป้าประสงค์ทางภูมิอากาศสู่การลงมือทำ ได้แก่ การกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Pricing) โดยพบว่า หนึ่งในสามของกิจการได้นำกลไกการกำหนดราคาคาร์บอนภายในมาช่วยประเมินการตัดสินใจลงทุนและดำเนินงาน การจัดทำแผนการเปลี่ยนผ่านด้านภูมิอากาศ (Climate Transition Plans) โดยข้อมูลการสำรวจเผยว่า มีการนำแผนการเปลี่ยนผ่านมาใช้เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบปีต่อปี และ 61% ของแผนเหล่านี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารให้ดำเนินการ สิ่งนี้แสดงถึงการเคลื่อนตัวด้านภูมิอากาศในระดับเจตจำนงไปสู่การดำเนินกลยุทธ์ในระดับปฏิบัติการ

รายงานฉบับดังกล่าว ยังได้ระบุว่า กิจการที่ทำให้ความยั่งยืนเป็นแกนหลักของกลยุทธ์ สามารถสร้างผลประโยชน์ทางการเงินจากการดำเนินการด้านภูมิอากาศ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 10% ของรายได้ กิจการเหล่านี้มีปัจจัยขับเคลื่อนร่วมกัน 4 ประการ ประกอบด้วย การวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและความเสี่ยงอย่างครอบคลุม (โดยมีแนวโน้มที่จะสร้างรายรับอย่างมีนัยสำคัญเพิ่มขึ้น 1.4 เท่าเมื่อเทียบกับกิจการอื่น) การวัดปริมาณผลกระทบผ่านการกำหนดราคาคาร์บอนภายในและการสร้างแบบจำลองความเสี่ยง (มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมูลค่าได้ 1.6 เท่า) การนำแผนการเปลี่ยนผ่านและการปรับตัวมาใช้ (มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมูลค่าได้ 2.2 เท่า) และการใช้โซลูชันดิจิทัลขั้นสูงร่วมกันในหลายรูปแบบ (มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมูลค่าได้ 2.3 เท่า)

โดยสรุปแล้ว การดำเนินการด้านภูมิอากาศในโลกธุรกิจกำลังเคลื่อนไหวอย่างมีพลวัต แม้จะมีความท้าทายในการวัดผลและการเปิดเผยข้อมูล แต่ขนาดการลงทุนกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผลตอบแทนทางการเงินเริ่มปรากฏชัด และการใช้เครื่องมือขั้นสูงเกี่ยวกับภูมิอากาศกำลังช่วยให้กิจการสามารถเปลี่ยนวิสัยทัศน์ความยั่งยืนให้เป็นผลประกอบการที่ยั่งยืนในที่สุด


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]