Saturday, August 23, 2025

TNFD: กรอบการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนเกี่ยวกับธรรมชาติ

ในการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 15 (CBD COP 15) เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 รัฐภาคี 196 ประเทศ ได้ตกลงกันในกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework: KM-GBF) ซึ่งเป็นแผนสำหรับเร่งดำเนินการเพื่อหยุดยั้งการสูญเสียและนำความหลากหลายทางชีวภาพกลับคืนมา ภายในปี ค.ศ. 2030 และให้ประชาคมโลกมีคุณภาพชีวิตที่ดีควบคู่กับการมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ ภายในปี ค.ศ. 2050 ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า คือ การลดภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนและการแบ่งปันผลประโยชน์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และการแสวงหาเครื่องมือการแก้ปัญหาการดําเนินงานและการผลักดันให้ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นกระแสหลัก

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 2021 ได้มีการก่อตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับธรรมชาติ (Task Force on Nature-related Financial Disclosures: TNFD) เพื่อจัดทำกรอบการรายงานที่ครอบคลุมและเข้มงวด โดยได้ออกเป็นข้อเสนอแนะการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับธรรมชาติ ในปี ค.ศ. 2023 เพื่อสนับสนุนให้ยกระดับการเปลี่ยนแปลงกระแสเงินทั่วโลก จากการหลีกเลี่ยงและลดผลกระทบเชิงลบต่อธรรมชาติ ไปสู่การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อธรรมชาติ

TNFD มีความสำคัญยิ่งต่อการส่งเสริมการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ข้อ 15 โดยในกรอบงาน KM-GBF เรียกร้องอย่างชัดเจนให้ใช้มาตรการทางกฎหมาย การบริหาร และนโยบายเพื่อส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ บรรษัทข้ามชาติ และสถาบันการเงิน ตรวจสอบ ประเมินและเปิดเผยความเสี่ยง การพึ่งพาและผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสม่ำเสมอ

ข้อเสนอแนะของ TNFD จะส่งเสริมให้เกิดการรายงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่สอดคล้องกันทั่วโลก มีองค์ประกอบการรายงานแบ่งออกเป็น 4 หมวดหลัก ได้แก่ (1) การกำกับดูแล (2) กลยุทธ์ (3) การจัดการความเสี่ยงและผลกระทบ และ (4) ตัวชี้วัดและเป้าหมาย ที่พ้องกับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD) โดยมีรายการที่แนะนำให้เปิดเผยทั้งหมด 14 รายการ

แม้ว่าจะมีความคล้ายคลึงกันในองค์ประกอบระหว่าง TCFD และ TNFD แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ TCFD มุ่งเน้นเฉพาะการเปิดเผยความเสี่ยงและโอกาสเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ข้อเสนอแนะของ TNFD สนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง โอกาส ผลกระทบ และการพึ่งพาที่ครอบคลุมถึงระบบนิเวศ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการมลภาวะ และความหลากหลายทางชีวภาพ นอกเหนือจากเรื่องสภาพภูมิอากาศ

จากข้อมูลของ TNFD นับตั้งแต่มีการเผยแพร่ข้อเสนอแนะ ในปี ค.ศ. 2023 มีองค์กรราว 502 แห่ง ใน 54 ประเทศ (ข้อมูลเดือนตุลาคม 2567) ได้ประกาศรับเอาแนวทางของ TNFD ไปใช้ในการเพิ่มความโปร่งใสต่อการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง โอกาส ผลกระทบ และการพึ่งพาเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยในจำนวนนี้มีองค์กรในประเทศไทย จำนวน 6 แห่ง ที่เข้าร่วม

หน่วยงาน IFRS (International Financial Reporting Standards) ได้เริ่มศึกษาถึงความจำเป็นต่อการจัดทำมาตรฐานเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ และบริการจากระบบนิเวศ ตามที่ระบุไว้ในแผนงานระหว่างปี ค.ศ. 2024-2026 เพื่อประเมินว่าเป็นข้อมูลที่ผู้ลงทุนสนใจหรือต้องการให้กิจการเปิดเผยในรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนมากน้อยเพียงใด

ขณะที่ หน่วยงาน GRI (Global Reporting Initiative) ในฐานะผู้กำหนดมาตรฐานโลกด้านการรายงานความยั่งยืน ได้ออกมาตรฐาน GRI 101: Biodiversity 2024 ที่สอดคล้องกับกรอบ KM-GBF เพื่อช่วยองค์กรธุรกิจทำความเข้าใจถึงการตัดสินใจและการดำเนินงานทางธุรกิจที่อาจนำไปสู่การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ผลกระทบที่เกิดขึ้นในสายคุณค่า และวิธีการในการจัดการผลกระทบดังกล่าว

หากมองผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ปรากฎอยู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่า อนาคตของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก และความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต ขึ้นอยู่กับสภาพธรรมชาติ การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาดควบคู่ไปกับการบำรุงรักษาบริการจากระบบนิเวศ

การประเมินคุณค่า อนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศ ถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความเจริญรุ่งเรืองของคนรุ่นปัจจุบันและรุ่นอนาคต ซึ่งหากองค์กรธุรกิจ ยังคงมองว่าธรรมชาติเป็นผู้จัดหาปัจจัยสำคัญที่มีไม่จำกัดและไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ในกระบวนการดำเนินงานและห่วงโซ่คุณค่า รวมทั้งไม่ยอมรับถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบในฐานะผู้ดูแลโลก ความยั่งยืนที่แท้จริงจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, August 09, 2025

กิจการ VSME: วิสาหกิจวิถียั่งยืน ภาคสมัครใจ

เป็นที่ทราบดีว่า วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) มีสัดส่วนของจำนวนกิจการมากกว่า 90% ของธุรกิจ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันราว 50% ของจีดีพีโลก และก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 60%-70% ของการจ้างงานทั่วโลก

ท่ามกลางสงครามการค้าที่ใช้กลไกภาษีนำเข้า ซึ่งจุดเชื้อโดยสหรัฐอเมริกากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้กิจการ SME ที่ต้องส่งออกไปยังสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่สินค้าซึ่งส่งไปวางจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯ อาจมีราคาที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับคู่แข่งท้องถิ่นในสหรัฐฯ ที่ไม่โดนกำแพงภาษีนำเข้า

และแม้กิจการ SME ในประเทศเอง ที่มิได้ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ก็อาจได้รับผลกระทบจากภาษีการค้า เนื่องจากการเจรจาที่ทำให้ไทยได้ลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ มาอยู่ที่ 19% (จากเดิม 36%) เราต้องแลกกับการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งมาขายยังประเทศไทยกว่าหมื่นรายการ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ ซึ่งมีผลให้สินค้าเหล่านี้ อาจมีราคาจำหน่ายที่ถูกกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศมีกำไรลดลง หรืออาจประสบภาวะขาดทุนเนื่องจากไม่สามารถแข่งขันราคาได้

นอกจากประเด็นการค้าจากปัจจัยด้านภาษีข้ามพรมแดนแล้ว กิจการ SME ยังต้องเผชิญกับประเด็นความยั่งยืนจากปัจจัยด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) ที่มาในรูปแบบของการเก็บภาษีเฉพาะ เช่น มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ที่จะเริ่มมีการคิดภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนกับสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง สำหรับสินค้านำเข้าที่มีน้ำหนักรวมกันเกิน 50 ตันต่อปีต่อราย นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2026 เป็นต้นไป

ในภูมิภาคยุโรป ได้มีความพยายามในการช่วยเหลือกิจการ SME เพื่อมิให้มีภาระในการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนทั้งในแง่ของการดำเนินงานและการเปิดเผยข้อมูลมากจนเกินไป ซึ่งโดยปกติ ลูกค้าของกิจการ SME ซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความยั่งยืน มักจะเป็นผู้ร้องขอข้อมูล ESG จากกิจการ SME ที่เป็นผู้ส่งมอบ (Supplier) ในรูปของแบบสอบถามหรือแบบกรอกข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน (แต่ตอบด้วยชุดข้อมูล ESG เดียวกัน) ทำให้กิจการ SME ต้องมีภาระในการจัดทำข้อมูล ESG ส่งให้ลูกค้าตามรูปแบบที่แต่ละองค์กรจัดทำขึ้นเองอย่างเป็นเอกเทศ

เพื่อเป็นการลดภาระให้กิจการ SME คณะกรรมาธิการยุโรป จึงได้ประกาศรับรองให้ใช้มาตรฐาน VSME ที่จัดทำขึ้นโดยคณะที่ปรึกษาการรายงานทางการเงินแห่งยุโรป (EFRAG) สำหรับกิจการซึ่งมีการจ้างงานไม่เกิน 1,000 คน ที่ต้องการรายงานข้อมูลความยั่งยืนโดยสมัครใจ (Voluntary) สามารถใช้มาตรฐานดังกล่าว เพื่อจำกัดการร้องขอข้อมูล ESG ในห่วงโซ่คุณค่า (value-chain cap) จากกิจการขนาดใหญ่ มิไห้เกินกว่าที่มาตรฐาน VSME กำหนดไว้

ในข้อกำหนดตามมาตรฐาน VSME ที่คณะกรรมาธิการยุโรปให้การรับรองไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 แนะนำให้กิจการ VSME ควรเปิดเผยข้อมูลพื้นฐานของกิจการ แนวปฏิบัติ นโยบาย และความริเริ่มที่จะเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน เพื่อมุ่งลดผลกระทบเชิงลบ และเพิ่มผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อม

โดยประเด็นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มลภาวะทางอากาศ ทางน้ำ และผิวดิน ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้น้ำ การใช้ทรัพยากร เศรษฐกิจหมุนเวียน และการจัดการของเสีย

ส่วนประเด็นความยั่งยืนด้านสังคมที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ คุณลักษณะทั่วไปของแรงงาน สุขภาพและความปลอดภัย ค่าตอบแทน สภาพการจ้าง และการฝึกอบรม

และประเด็นความยั่งยืนด้านธรรมาภิบาลที่กิจการ VSME ควรคำนึงถึงในการดำเนินงาน ได้แก่ การประกอบธุรกิจด้วยความโปร่งใส รวมถึงการรายงานบทลงโทษและค่าปรับจากเหตุทุจริตและการให้สินบน (ถ้ามี)

ทั้งนี้ ประโยชน์ที่กิจการ VSME จะได้รับจากการดำเนินงานโดยคำนึงถึงประเด็นความยั่งยืนข้างต้น ประกอบด้วย

(1) การรักษามาตรฐานการประกอบธุรกิจที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่สามารถสร้างความแตกต่างและช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันเหนือผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ในตลาด

(2) การลดภาระการจัดทำข้อมูลสำคัญทางธุรกิจที่ถูกร้องขอจากคู่ค้าสำหรับการคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อผู้ค้า (Vendor List) และจากสถาบันการเงินสำหรับการขอสินเชื่อหรือการเข้าลงทุนในกิจการ ด้วยการเปิดเผยข้อมูลเท่าที่จำเป็นตามมาตรฐาน VSME ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

(3) การเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินตามเกณฑ์สินเชื่อสีเขียวในอัตราดอกเบี้ยต่ำ (เช่น สินเชื่อเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การก่อสร้างและปรับปรุงอาคารประหยัดพลังงาน การกำจัดและบำบัดของเสีย) และการลงทุนที่ยั่งยืนพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี (เช่น การลงทุนด้านขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลงทุนปรับเครื่องจักรให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในนวัตกรรมด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม)

(4) การขยายโอกาสสู่ตลาดใหม่ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ผ่านห่วงโซ่อุปทานที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านแรงงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สอดคล้องกับกฎระเบียบสำหรับใช้ในการกำกับดูแลและความรับผิดชอบในการประกอบธุรกิจที่เป็นสากล เช่น บทบัญญัติว่าด้วยการตรวจสอบสถานะความยั่งยืนของกิจการ (CSDDD) ของสหภาพยุโรป

และเพื่อเป็นการยกระดับกิจการ SME ในประเทศไทย ที่ต้องพึ่งพาห่วงโซ่การค้าโลกโดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรป สถาบันไทยพัฒน์ ได้จัดตั้ง VSME Forum เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้สำหรับกิจการที่มีการจ้างงานไม่เกิน 1,000 คน และสนใจนำปัจจัยด้าน ESG มาใช้ต่อยอดในธุรกิจโดยสมัครใจ เพื่อมุ่งสู่การเป็นวิสาหกิจวิถียั่งยืน และเพิ่มโอกาสในการค้าขายกับบรรษัทข้ามชาติหรือกิจการขนาดใหญ่ที่ต้องมีการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้าน ESG เช่น บทบัญญัติว่าด้วยการรายงานความยั่งยืนของกิจการ (CSRD) ของสหภาพยุโรป เป็นต้น


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]