Saturday, November 29, 2025

ReportLM : เครื่องมือ AI สำหรับร่างรายงานความยั่งยืนทางการเงิน

นับจากที่โลกธุรกิจได้คิดค้นวิธีการแสดงผลการดำเนินงานของกิจการในช่วงเวลาหนึ่งๆ ผ่านรายงานทางการเงินที่ประกอบด้วย งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องที่เป็นผู้ลงทุน ผู้บริหาร และเจ้าหนี้ ฯลฯ สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการนั้น ๆ

เป็นที่ทราบดีว่า การรายงานงบการเงิน เป็นข้อมูล “Snapshot” ที่แสดงความเป็นไปของกิจการ ณ เวลาที่รายงาน ซึ่งเป็นข้อมูลในอดีต (Historical Data) จึงเป็นข้อจำกัดโดยธรรมชาติ ที่ผู้ใช้ข้อมูลไม่สามารถใช้รายงานดังกล่าวเพื่อการล่วงรู้ถึงผลการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ความพยายามที่จะแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว มีตั้งแต่การใช้รายงานทางการเงินย้อนหลังไปมากกว่าหนึ่งปี เพื่อใช้วิเคราะห์แนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดขึ้นโดยอาศัยหลักทางสถิติข้อมูล (เปรียบเสมือนการใช้กระจกมองหลัง) สำหรับคาดการณ์เส้นทางข้างหน้า หรือการใช้ข้อมูลบ่งชี้อนาคต (Forward-looking Data) ที่กิจการเปิดเผยในช่องทางต่าง ๆ เช่น รายงานประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ข้อมูลการวิเคราะห์และคำอธิบายของฝ่ายจัดการ (MD&A) หรือการพบปะผู้บริหารในกิจกรรม Opportunity Day เพื่อรับฟังถึงแนวโน้มกิจการในอนาคต (เปรียบเสมือนการมองผ่านกระจกหน้ารถและพูดคุยกับคนขับถึงทิศทางที่จะไปข้างหน้า) เป็นต้น

นอกจากข้อจำกัดในด้านเวลา (Time) ของรายงานทางการเงิน ยังมีข้อจำกัดในเชิงพื้นที่ (Space) ซึ่งเกิดจากการตีกรอบขอบเขตของการรายงานทางการเงินให้แสดงเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับกิจการ ในขณะที่ข้อมูลซึ่งบ่งชี้อนาคตของกิจการ อาจเกิดจากความสัมพันธ์นอกรั้วกิจการระหว่างคู่ค้าในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ทั้งฝั่งต้นน้ำและฝั่งปลายน้ำ หรือเป็นผลจากกฎระเบียบของผู้กำกับดูแล

เช่น การระงับการผลิตวัตถุดิบจากผู้ส่งมอบหลัก หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและข้อกำหนดทางผลิตภัณฑ์จากลูกค้าที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) หรือการออกข้อบังคับให้มีการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก ฯลฯ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงและโอกาสที่ส่งผลกระทบทางการเงิน แต่ไม่ถูกบรรจุอยู่ในรายงานทางการเงิน เพราะถือเป็นข้อมูลที่ไม่เข้าเกณฑ์สาระสำคัญที่ต้องเปิดเผยในงบการเงิน

ด้วยเหตุนี้ หน่วยงานผู้จัดทำมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการรายงานทางการเงิน (IFRS) โดยคณะกรรมการมาตรฐานความยั่งยืนระหว่างประเทศ (ISSB) จำเป็นต้องออกมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืนเพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้ข้อมูลให้ทันกับสถานการณ์และปัจจัยการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนไป

ซึ่งประกอบด้วย มาตรฐานการรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ฉบับที่ 1 เรื่อง ข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืน (IFRS S1) และฉบับที่ 2 เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (IFRS S2) โดยประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ. 2566 และเริ่มบังคับใช้ในรอบบัญชีปี 2567 สำหรับบางประเทศที่มีความพร้อม

ทั้งนี้ การจัดทำมาตรฐานรายงานทางการเงิน IFRS S1 และ S2 ก็เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของรายงานทางการเงินแบบเดิม จากที่เป็นข้อมูลเชิง “Snapshot” มาสู่ข้อมูลเชิง “Space-time” เพื่อขยายขอบเขตการรายงานความเป็นไปของกิจการให้ครอบคลุมข้อมูลที่สามารถบ่งชี้อนาคต และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้เสียนอกกิจการ อันส่งผลต่อความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว

ด้วยเล็งเห็นความจำเป็นที่กิจการจะต้องมีการจัดทำรายงานทางการเงินตามมาตรฐานใหม่เพิ่มเติม สถาบันไทยพัฒน์ได้มีการแนะนำ “ตัวแบบภาษารายงาน” (Report Language Model) สำหรับใช้ร่างรายงานความยั่งยืนทางการเงินแบบอัตโนมัติ โดยอาศัยการประมวลข้อมูลบริษัทจดทะเบียนที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ที่สถาบันใช้ประเมินและจัดระดับ ESG มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 สำหรับการนำเข้าข้อมูล (Data Ingestion) สู่ ReportLM เพื่อทำการประมวลผลให้เป็นไปตามข้อกำหนดในมาตรฐาน IFRS S1 และ S2

ReportLM เป็นเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับช่วยร่างรายงานความยั่งยืนทางการเงินที่สอดรับกับมาตรฐาน ISSB ที่มีคุณสมบัติในการตั้งต้นเนื้อหาสำหรับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน (IFRS ฉบับ S1) และรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (IFRS ฉบับ S2) ที่ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ โดยใช้วิธีดึงข้อมูลจาก “เอกสารสาธารณะของบริษัทเท่านั้น” มาประมวลผล ทำให้ตัดปัญหาเรื่อง AI “มโนข้อมูล” (Hallucination) หรือนำเข้าข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจากอินเทอร์เน็ตมาใช้

เครื่องมือ ReportLM ได้นำเทคโนโลยี RAG (Retrieval Augmented Generation) มาใช้สนับสนุนในการเพิ่มบริบท (Context) ของคำสั่ง ที่ช่วยจำกัดขอบเขตเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง (Relevant Data) จากแหล่งที่มาของข้อมูลที่สามารถอ้างอิงได้และที่น่าเชื่อถือเท่านั้น

นอกจากนี้ ReportLM ยังช่วยทำการวิเคราะห์เพื่อปิดช่องว่างข้อมูล (Gap Analysis) โดยสามารถแสดงให้ผู้ใช้เห็นถึง “ข้อมูลที่ขาดหายไป” เช่น กิจการได้มีการระบุความเสี่ยงด้านความยั่งยืนไว้ แต่มิได้ระบุถึงผลกระทบทางการเงิน ReportLM จะทำการแจ้งเตือนว่าร่างรายงานยังไม่สมบูรณ์ จำเป็นต้องเติมข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนเผยแพร่ เป็นต้น

ในอนาคต ReportLM สามารถปรับเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นบริบทนำเข้า (Input Context) จากมาตรฐาน IFRS S1 และ S2 เป็นมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนฉบับอื่น ๆ ที่จะประกาศใช้ เพื่อใช้ร่างรายงานด้านความยั่งยืนของกิจการให้สอดคล้องกับมาตรฐานนั้น ๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วย


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, November 15, 2025

เปิดผลสำรวจความยั่งยืนของธุรกิจไทย ปี 68

นับจากที่สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ ได้ริเริ่มสำรวจข้อมูลสถานภาพความยั่งยืนของกิจการในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2561 ขณะนั้นมีประชากรในกลุ่มสำรวจจำนวน 100 ราย และได้ทยอยเพิ่มกิจการที่ทำการสำรวจเรื่อยมาเป็นลำดับ จนในปีปัจจุบัน มีกิจการที่ได้ทำการสำรวจ อยู่จำนวน 953 ราย

วัตถุประสงค์ของการสำรวจนี้ เป็นไปเพื่อต้องการประมวลพัฒนาการด้านความยั่งยืนของธุรกิจไทย สะท้อนผ่านผลสำรวจของกลุ่มกิจการที่ดำเนินการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนทั้งในมุมมองที่สอดคล้องกับมาตรฐานการรายงานสากล (GRI) การคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ในบริบทของกิจการ

ผลสำรวจปี 68 ครอบคลุม 953 กิจการ
ในปี 2568 สถาบันไทยพัฒน์ ได้ทำการสำรวจข้อมูลความยั่งยืนจากบริษัทจดทะเบียน 854 แห่ง กองทุนและกิจการอื่น ๆ อีก 99 ราย รวมทั้งสิ้น 953 ราย (เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่ทำการสำรวจ 930 ราย) พบว่า การเปิดเผยข้อมูลซึ่งมีสัดส่วนมากสุดอยู่ที่ด้านสังคม 51.80% ด้านสิ่งแวดล้อม 27.85% และด้านเศรษฐกิจ 20.35% ตามลำดับ

หากวิเคราะห์ข้อมูลกิจการที่สำรวจ จำแนกตามกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า กิจการที่ได้คะแนนการดำเนินงาน ESG รวมสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ กิจการในกลุ่มทรัพยากร (5.37 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10) รองลงมาเป็นกิจการในกลุ่มธุรกิจการเงิน (5.27 คะแนน) และกิจการในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (5.27 คะแนน)

สำหรับประเด็นความยั่งยืนที่มีการเปิดเผยสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ การต้านทุจริต 90.66% ความหลากหลายและโอกาสแห่งความเท่าเทียม 90.35% และผลเชิงเศรษฐกิจ 87.09% ส่วนการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่ภาคธุรกิจมีการเปิดเผยสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ เป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมทางเพศ เป้าหมายที่ 8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป้าหมายที่ 9 อุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน ตามลำดับ

ไฮไลต์ผลสำรวจความยั่งยืนที่น่าสนใจ
ในการประเมินสถานภาพการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของกิจการที่ทำการสำรวจทั้งหมด 953 ราย พบว่า ในปี 2568 มีคะแนนรวมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 4.43 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วและปีก่อนหน้าที่มีคะแนนรวมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.31 คะแนน (ปี 2567 จากการสำรวจ 930 ราย) และ 3.53 คะแนน (ปี 2566 จากการสำรวจ 904 ราย)

เมื่อพิจารณาผลสำรวจโดยใช้ประเด็นความยั่งยืนตามมาตรฐาน GRI พบว่ากิจการกว่าครึ่ง (57.08%) มีการเปิดเผยข้อมูลในประเด็นมลอากาศ (Emissions) แต่มีเพียง 7.56% ที่มีการรายงานเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) และพบว่า ยังมีไม่ถึง 15% ที่เปิดเผยข้อมูลการประเมินด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของผู้ส่งมอบ (Supplier Environmental / Social Assessment)

สำหรับการประเมินสาระสำคัญ (Materiality Assessment) เพื่อระบุประเด็นความยั่งยืนสำหรับการดำเนินงานและการรายงานของกิจการ พบว่า 59% ของกิจการที่ถูกสำรวจ ยังไม่มีการประเมินสาระสำคัญ ส่วนกิจการที่มีการประเมินสาระสำคัญมีจำนวน 34% และมีเพียง 7% ที่มีการประเมินสาระสำคัญสองนัย (Double Materiality Assessment)

โดยในจำนวน 7% ที่มีการประเมินสาระสำคัญสองนัย พบว่า มีกิจการ 3 ใน 5 แห่ง ที่ยังมีการประเมินสาระสำคัญสองนัย ไม่สอดคล้องตามหลักการที่ควรจะเป็น

สาระสำคัญสองนัย (Double Materiality) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ทวิสารัตถภาพ’ เป็นการระบุประเด็นสาระสำคัญตามนัยทางการเงิน (Financial) อันเกิดจากปัจจัยความยั่งยืนที่มีต่อการสร้างคุณค่ากิจการ และประเด็นสาระสำคัญตามนัยของผลกระทบ (Impact) อันเกิดจากการประกอบการที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สำหรับเป็นข้อมูลให้กิจการนำไปใช้ดำเนินการเพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน ซึ่งได้กลายเป็นหลักการที่ถูกบรรจุอยู่ในมาตรฐานระหว่างประเทศ อาทิ มาตรฐาน ESRS (European Sustainability Reporting Standards) ที่กำหนดให้กิจการซึ่งอยู่ในข่ายต้องดำเนินการตามหลักการดังกล่าว

โดยหลักการสำคัญ 2 ประการของทวิสารัตถภาพ ได้แก่ ประการแรก การประเมินประเด็นที่เป็นสาระสำคัญตามนัยทางการเงินและตามนัยของผลกระทบ ควรได้รับการพิจารณาให้ลำดับความสำคัญตามเกณฑ์ที่ขึ้นกับนัยนั้น ๆ แยกต่างหากจากกัน (ไม่ใช้เกณฑ์ร่วม) และประการที่สอง ประเด็นที่เป็นสาระสำคัญมาจากการรวมประเด็น (Union) ที่ได้จากการประเมินว่าสำคัญในแต่ละนัย มิได้มาจากการคัดเฉพาะประเด็นสำคัญที่ตรงกัน (Intersection) ในทั้งสองนัย

สำหรับข้อมูลผลสำรวจอื่น ๆ ที่น่าสนใจ สามารถติดตามเพิ่มเติมทางเว็บไซต์ของสถาบันไทยพัฒน์ ในเมนู ‘ความยั่งยืน’ ภายใต้หัวข้อ ‘รายงานสถานภาพความยั่งยืน’ ได้ที่ https://thaipat.org


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, November 01, 2025

การเตรียมความพร้อมข้อมูลสำหรับการประเมิน ESG

สถาบันไทยพัฒน์ ได้มีการจัดงาน Thaipat Runners-up 2025 Online Forum เป็นครั้งที่ 7 ในรูปแบบ Webinar ภายใต้ชื่อหัวข้อ "ESG Data Readiness Check" ให้แก่องค์กรที่ได้รับเชิญ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนของกิจการ และต้องการที่จะยกระดับการจัดทำข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) อย่างเป็นระบบ

ด้วยเหตุที่ ปัจจุบัน การเปิดเผยข้อมูล ESG ได้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับบริษัทจดทะเบียนในการรายงานผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของกิจการต่อสาธารณะ ซึ่งข้อมูล ESG ที่บริษัทเปิดเผยดังกล่าว จะเป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้น หากได้รับการรับรองจากผู้ประเมินอิสระที่เป็นหน่วยงานภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือ

บริษัทจดทะเบียนซึ่งประสงค์จะแสดงสถานะของกิจการวิถียั่งยืนด้วยประเด็นด้าน ESG ต่างต้องการได้รับผลคะแนนประเมินที่ดีจากผู้ประเมินอิสระภายนอก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งกับผู้ลงทุนต่อการใช้ข้อมูล ESG ประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุน รวมทั้งกับลูกค้า คู่ค้า สถาบันการเงิน หน่วยงานรัฐ ชุมชน ฯ ที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในวงกว้าง

การเตรียมความพร้อมข้อมูล ESG เพื่อการเผยแพร่เป็นข้อมูลสาธารณะที่หน่วยงานผู้ประเมินจะใช้ในการวิเคราะห์ได้อย่างครบถ้วนเพียงพอ จึงมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผลประเมินสะท้อนสิ่งที่องค์กรดำเนินการตามความเป็นจริง ไม่เสียโอกาสในลักษณะที่บริษัทมีการดำเนินการอยู่จริง แต่ขาดการจัดทำข้อมูลเผยแพร่ หรือมีการเผยแพร่เพียงบางส่วน เป็นเหตุให้หน่วยงานผู้ประเมินไม่สามารถประเมินเพื่อให้คะแนนได้เต็มที่

โดยการจัดงานฟอรัมในครั้งนี้ ประกอบด้วย เนื้อหา 2 ส่วน ได้แก่ การตรวจสอบความพร้อมข้อมูล ESG ของบริษัท ตามมาตรฐานการรายงานที่เป็นสากล (ESG Data Readiness Check: From Rendering to Aligning) และตัวอย่างการตรวจสอบความพร้อมข้อมูล ESG ที่เชื่อมโยงกับเกณฑ์ชี้วัดของผู้ประเมินและจัดระดับ ESG (Example of ESG Data Readiness Score: Mapping to ESG Raters’ Criteria)


เนื้อหาในส่วนแรก เป็นการให้ความรู้แก่องค์กร ต่อการให้น้ำหนักข้อมูลที่สำคัญ (Rendering) โดยใช้การวิเคราะห์สารัตถภาพ หรือความเป็นสาระสำคัญของสิ่งที่พิจารณา ในที่นี้ คือ ชุดข้อมูลความเสี่ยงและโอกาสเกี่ยวกับความยั่งยืนที่ส่งผลทางการเงินต่อกิจการ และชุดข้อมูลผลกระทบเกี่ยวกับความยั่งยืนที่เกิดจากการดำเนินงานของกิจการและส่งผลสู่ภายนอก

ในการเตรียมข้อมูล ESG องค์กรต้องสามารถแจกแจงให้ได้ว่า ประเด็นสาระสำคัญด้านความยั่งยืนของกิจการมีอะไรบ้าง และมีประเด็นใดที่มีนัยสำคัญ (เชิงการเงิน) ต่อผู้ใช้ข้อมูลที่เป็นกลุ่มผู้ลงทุน และประเด็นใดที่มีนัยสำคัญ (เชิงผลกระทบ) ต่อผู้ใช้ข้อมูลที่เป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในวงกว้าง ซึ่งชุดข้อมูลเหล่านี้จะถูกเรียกว่า สาระสำคัญสองนัย (Double Materiality) หรือใช้อีกชื่อหนึ่งว่า “ทวิสารัตถภาพ”

ความจำเป็นที่องค์กรต้องจัดเตรียมข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญสองนัยนี้ เนื่องจาก หน่วยงานผู้ประเมินและจัดระดับ ESG ชั้นนำในระดับสากล (เช่น S&P Global) ได้หันมาใช้แนวทางการประเมินด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบทวิสารัตถภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ถัดมา องค์กรจะต้องมีความสามารถในการติดป้ายระบุเนื้อหา (Tagging) ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งแต่เดิมเน้นไปที่ให้คนอ่าน (Human-readable) เพิ่มเป็นการอำนวยความสะดวกให้สามารถประมวลผลข้อมูลหรืออ่านด้วยเครื่อง (Machine-readable) เพื่อรองรับการเผยแพร่ในรูปแบบของการรายงานดิจิทัล (Digital Reporting) ที่มิใช่การแปลงเป็นแฟ้มหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น ไฟล์ pdf) ซึ่งเพียงรองรับให้คนอ่าน แต่ต้องเป็นการใช้ภาษาหรือการลงรหัสคอมพิวเตอร์ (เช่น XBRL) โดยอ้างอิงการแบ่งหมวดหมู่ของประเด็นความยั่งยืนตามมาตรฐานการรายงานที่เป็นสากล (เช่น GRI และ IFRS Taxonomy) ในการติดป้ายระบุเนื้อหาที่เผยแพร่

ความจำเป็นที่องค์กรต้องเตรียมพร้อมจัดทำเป็นรายงานดิจิทัลนี้ เนื่องจาก พัฒนาการที่จะมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการประมวลข้อมูล ESG ของกิจการกำลังเกิดขึ้น และจะเข้ามาแทนที่การจัดทำรายงานความยั่งยืนด้วยมือหรือใช้คนทำ องค์กรจึงต้องเตรียมพร้อมข้อมูล ESG ที่จะเผยแพร่ ให้สามารถประมวลผลข้อมูลหรืออ่านด้วยเครื่องได้

หลังจากนั้น องค์กรควรพิจารณาการวางแนวเนื้อหาให้สอดคล้องกับเกณฑ์ประเมิน (Aligning) ของหน่วยงานผู้ประเมินและจัดระดับ ESG ที่องค์กรเลือกเข้าร่วมรับการประเมิน เพราะผู้ประเมินในแต่ละสำนักจะมีชุดเกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดที่แตกต่างกัน แม้ว่าหลักการประเมินที่แต่ละสำนักใช้จะมีความคล้ายคลึงกันก็ตาม

ความจำเป็นที่องค์กรต้องจัดวางแนวเนื้อหาให้สอดคล้องกับเกณฑ์ประเมิน ก็เพื่อให้ได้ผลประเมินที่ดี มีระดับคะแนนที่สามารถนำไปสื่อสารและประชาสัมพันธ์ได้อย่างภาคภูมิใจ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน เข้าถึงตลาดใหม่ ๆ รวมทั้งการยอมรับจากผู้มีส่วนได้เสียของกิจการ จากการได้รับการจัดระดับจากผู้ประเมินภายนอกซึ่งมีความน่าเชื่อถือ

อย่างไรก็ดี จุดยืนที่องค์กรพึงมี คือ ต้องตระหนักว่า การที่องค์กรขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนและจัดทำข้อมูล ESG เพื่อเผยแพร่ มิได้เป็นไปเพียงเพื่อให้ได้คะแนนดีจากผู้ประเมิน แต่ควรทำเพื่อให้องค์กรเติบโตและยั่งยืน เกิดประโยชน์แก่ผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียของกิจการโดยรวม องค์กรจึงต้องยึดประเด็นด้านความยั่งยืนที่กิจการลงความเห็นแล้วว่าเป็นประเด็นสาระสำคัญ มาเป็นหลักในการดำเนินงาน มิใช่ยึดเกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดของผู้ประเมินภายนอกมาเป็นสรณะในการดำเนินการ

ทั้งนี้ เพราะการจัดทำเกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดของผู้ประเมิน โดยธรรมชาติ ต้องถูกออกแบบให้ครอบคลุมในทุกประเด็นความยั่งยืนที่ผู้ประเมินจะต้องกำหนดไว้ในระเบียบวิธี (Methodology) ที่ใช้ประเมิน ซึ่งในความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกประเด็นความยั่งยืนที่ผู้ประเมินใช้ จะเป็นประเด็นสาระสำคัญในบริบทของกิจการ (แม้ผู้ประเมินจะมีชุดตัวชี้วัดที่ใช้เฉพาะรายสาขาก็ตาม)

สำหรับองค์กรที่เริ่มขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนและเพิ่งมีการจัดทำข้อมูล ESG เผยแพร่ อาจจะได้รับประโยชน์จากการเข้ารับการประเมิน ในกรณีที่องค์กรยังไม่สามารถระบุประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญของกิจการได้อย่างแน่ชัด เกณฑ์ประเมินและตัวชี้วัดของผู้ประเมินจะช่วยชี้แนะแนวทางในการระบุประเด็นความยั่งยืนที่เกี่ยวข้อง และใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในการศึกษาเรียนรู้เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ตามบริบทที่เหมาะสมแก่องค์กรเป็นลำดับ

เนื้อหาในส่วนที่สอง เป็นการนำเสนอตัวอย่างการตรวจสอบความพร้อมข้อมูล ESG ที่เชื่อมโยงกับเกณฑ์ชี้วัดของผู้ประเมินและจัดระดับ ESG จำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย 1) ESG Rating ในกำกับของสถาบันไทยพัฒน์ 2) FTSE Russell ของตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (LSEG) และ 3) S&P Global ผู้จัดทำดัชนีดาวโจนส์ (DJI)

กล่าวโดยสรุป ประโยชน์ที่ได้รับสำหรับองค์กรที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ คือ การล่วงรู้สถานะด้านการเปิดเผยข้อมูล ESG ในปัจจุบันของกิจการ ตามมาตรฐานการรายงานที่เป็นสากล และแนวทางการเชื่อมโยงประเด็นความยั่งยืนของกิจการกับเกณฑ์ชี้วัดของหน่วยงานผู้ประเมินและจัดระดับ ESG ที่น่าเชื่อถือ โดยสามารถต่อยอดไปสู่การปิดช่องว่าง (Gap) ในรายงานความยั่งยืนที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะได้อย่างตรงจุดและสอดคล้องกับบริบทของกิจการ


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]