Saturday, September 20, 2025

Carbon Ratings : ตัวช่วยการลงทุนที่ใส่ใจภูมิอากาศ

ปัจจุบัน ผู้ลงทุนประเภทสถาบัน นอกจากที่จะให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูลด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) ของกิจการในกระบวนการพิจารณาตัดสินใจลงทุนแล้ว ยังมีความต้องการใช้ข้อมูลด้านภูมิอากาศที่กิจการมีการดำเนินการ อาทิ ข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป้าหมายการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับกิจการ ฯลฯ สำหรับประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย

จากรายงานผลสำรวจ EY 2024 Institutional Investor Survey ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นปีที่ 11 ได้รวบรวมมุมมองของผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่า ผู้ลงทุนกว่า 55% เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์การลงทุนในช่วง 2 ปีข้างหน้า และ 62% ระบุว่า ได้เตรียมความพร้อมในการประเมินข้อมูลเกี่ยวกับภูมิอากาศของบริษัทที่เข้าลงทุนไว้แล้ว

ทั้งนี้ หน่วยงานผู้จัดทำมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการรายงานทางการเงิน (IFRS) ได้ออกมาตรฐานการรายงานทางการเงินเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ฉบับที่ 1 เรื่อง ข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืน (IFRS S1) และฉบับที่ 2 เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (IFRS S2) ซึ่งในหลายประเทศได้รับเอามาตรฐานทั้งสองฉบับดังกล่าวไปบังคับใช้แล้ว

ในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำลังอยู่ระหว่างจัดทำหลักการแนวทางการยกระดับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของไทย โดยกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยต้องเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตาม IFRS S1 และ S2 ด้วยวิธีการนำไปใช้เป็นลำดับและสัดส่วน พร้อมมาตรการผ่อนปรนช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน เพื่อให้สอดรับกับบริบทของประเทศไทย รวมถึงความพร้อมของภาคเอกชน โดยคาดว่าจะเริ่มจากบริษัทในกลุ่ม SET50 ก่อน

ในฝั่งของผู้ประกอบการ นอกจากที่บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดเผยข้อมูลด้านภูมิอากาศตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวในอนาคตอันใกล้แล้ว ในฝั่งของผู้ลงทุน ความต้องการข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืนต่อการประเมินความเสี่ยงและโอกาสของบริษัท รวมถึงข้อมูลการเปรียบเทียบสมรรถนะการดำเนินงานด้านภูมิอากาศที่เกี่ยวโยงกับตัวเลขทางการเงินของกลุ่มบริษัทเป้าหมายที่จะลงทุน จึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

เป็นเหตุให้การพัฒนาข้อมูลบัญชีคาร์บอนของภาคธุรกิจ เพื่อการจัดระดับบริษัทจดทะเบียนด้านความสามารถทางภูมิอากาศ สำหรับผู้ลงทุนใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน ควบคู่กับข้อมูลทางการเงิน ให้สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน และผลักดันการกำกับดูแลกิจการด้านภูมิอากาศไปพร้อมกัน ได้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับการลงทุนที่ใส่ใจภูมิอากาศ

จากการสำรวจของ UN PRI กับภาคีสมาชิกจำนวน 3,048 แห่ง ที่เปิดเผยในรายงาน Global responsible investment trends 2025: inside PRI reporting data พบว่า 4 ใน 5 ขององค์กรภาคีสมาชิกซึ่งมีทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (AUM) รวมกันราว 82.7 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ มีการระบุถึงความเสี่ยงและโอกาสเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเพื่อการตัดสินใจลงทุน

สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ และเป็นผู้ริเริ่มการจัดระดับ ESG Rating ขึ้นในประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 และดำเนินเรื่อยมาเป็นปีที่ 11 ในปัจจุบัน ได้จัดตั้งหน่วยงาน Carbon Ratings เพื่อขยายผลมาสู่การประเมินข้อมูลบัญชีคาร์บอนของภาคธุรกิจที่เชื่อมโยงกับตัวเลขทางการเงิน ในรูปแบบของ Carbon Equity Ratings (CER) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย

การจัดระดับคาร์บอน (Carbon Ratings) เป็นการประเมินขีดความสามารถทางภูมิอากาศระดับองค์กร โดยใช้ข้อมูลบัญชีก๊าซเรือนกระจกที่กิจการเปิดเผย (Corporate Emission Profile) ซึ่งครอบคลุมข้อมูลมลอากาศทางตรง (Direct Emissions) จากการดำเนินงานในขอบข่ายที่ 1 (Scope 1) และข้อมูลมลอากาศทางอ้อม (Indirect Emissions) จากการใช้พลังงานในขอบข่ายที่ 2 (Scope 2) และข้อมูลมลอากาศทางอ้อมอื่น ๆ ในขอบข่ายที่ 3 (Scope 3) จากกิจกรรมที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่คุณค่า

โดยตัวชี้วัดหลักที่ใช้ในการประเมิน เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่เกี่ยวเนื่องกับข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของกิจการ ประกอบด้วย

ตัวชี้วัดในมุมมอง ‘ดีต่อโลก’ ได้แก่ ปริมาณการปล่อยคาร์บอนต่อมูลค่ากิจการรวมเงินสด (Carbon Intensity) มีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อล้านบาท

ตัวชี้วัดในมุมมอง ‘ดีต่อกิจการ’ ได้แก่ อัตราส่วนกำไรต่อปริมาณการปล่อยคาร์บอน (Earnings per tCO2e) มีหน่วยเป็นบาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ตัวชี้วัดในมุมมอง ‘ดีต่อผู้ลงทุน’ ได้แก่ อัตราผลตอบแทนต่อปริมาณการปล่อยคาร์บอน (Return per tCO2e) มีหน่วยเป็นบาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
การประเมิน Carbon Ratings ถือเป็นมิติใหม่ของการเผยแพร่ข้อมูลประเมินด้านภูมิอากาศ ที่นอกจากจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาระดับการเปิดเผยข้อมูลบัญชีคาร์บอนของบริษัทจดทะเบียนแล้ว ยังจะเป็นการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิอากาศของบริษัทจดทะเบียนให้แก่ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนจากกลุ่มผู้ลงทุนที่ใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุน พร้อมกับการสร้างผลกระทบทางภูมิอากาศในเชิงบวก

ปัจจุบัน ได้มีการคัดกรองหลักทรัพย์จากจำนวนทั้งหมด 457 หลักทรัพย์จดทะเบียนซึ่งมีตัวเลขความเข้มข้นของคาร์บอน (Carbon Intensity) ที่อยู่ในเกณฑ์ต่ำ เพื่อใช้สร้างกลุ่มหลักทรัพย์อ้างอิง Low Emission Securities (LES) สำหรับให้ผู้ลงทุนได้ใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับประกอบการตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติมจากข้อมูลพื้นฐานและข้อมูลทางการเงินของกิจการ โดยจะเริ่มทยอยเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์ https://carbonratings.org เป็นลำดับต่อไป


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Saturday, September 06, 2025

อานิสงส์จากการเปิดเผยข้อมูล 'ความยั่งยืน'

ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เพียงแค่ประเด็นทางนิเวศวิทยาอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นความเสี่ยงทางการเงินที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการของภาคธุรกิจทั่วโลก

การเพิกเฉยต่อความเสี่ยงเหล่านี้ อาจทำให้เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับต้นทุนมหาศาล ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี ค.ศ. 2050 หรือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ทั่วโลก

ในรายงาน The Disclosure Dividend 2025 ของ CDP ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทกว่า 24,800 แห่ง ที่ครอบคลุมมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดถึงสองในสามของตลาดโลก ได้เผยให้เห็นว่า ภาคธุรกิจที่เริ่มตระหนักและลงมือจัดการกับความเสี่ยงเหล่านี้อย่างจริงจัง จะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่ง CDP เรียกสิ่งนี้ว่า อานิสงส์จากการเปิดเผยข้อมูล

ผลกระทบจากความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมได้เริ่มกัดกร่อนประสิทธิภาพทางการเงินของธุรกิจแล้วในหลายอุตสาหกรรม เช่น ในภาคการเกษตรของสหภาพยุโรปกำลังประสบปัญหาขาดทุนถึง 28,000 ล้านยูโรในแต่ละปีจากเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง หรือการที่ราคาโกโก้ในตลาดโลกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนในแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตโกโก้ราว 80% ของโลก หรือภัยแล้งในไต้หวันได้ทำให้โรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ต้องปิดทำการและจำเป็นต้องขนส่งน้ำเข้ามาด้วยรถบรรทุก นอกจากนี้ ค่าเบี้ยประกันภัยในสหรัฐอเมริกาก็เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 อันเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นอย่างมหาศาลในการรับมือกับภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ

สถานการณ์เหล่านี้ ล้วนเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ความเปราะบางด้านสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทั้งบริษัทและผู้บริโภคในทุกห่วงโซ่อุปทาน การสร้างภาวะพร้อมผัน (resilience) ให้กับธุรกิจจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน โดยข้อมูลจาก CDP พบว่ากว่า 90% ของบริษัทขนาดใหญ่ได้เริ่มมีกระบวนการในการระบุและประเมินความเสี่ยงและโอกาสด้านสิ่งแวดล้อมของตนแล้ว ซึ่งจากข้อมูลที่เปิดเผย พบว่า 67% ของบริษัทขนาดใหญ่และ SMEs ระบุว่าความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกระบุนั้นมีผลกระทบทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญ

โดยความเสี่ยงที่ถูกประเมินว่ามีผลกระทบสูงสุดคือ ความเสี่ยงด้านนโยบาย (28%) ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านการกำหนดราคาคาร์บอน มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงกฎหมายระดับประเทศ ตามมาด้วยความเสี่ยงทางกายภาพแบบฉับพลัน (19%) เช่น น้ำท่วม ไฟป่า หรือภัยแล้ง และความเสี่ยงทางกายภาพแบบเรื้อรัง (14%) เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น คุณภาพน้ำที่ลดลง หรือการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน

ทั้งนี้ การจัดการความเสี่ยงเหล่านี้อย่างเหมาะสม นอกจากจะเป็นการป้องกันความเสียหายแล้ว ยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจากต้นทุนในการแก้ไขปัญหามีมูลค่าต่ำกว่าผลกระทบทางการเงินในระยะสั้นที่อาจเกิดขึ้นได้ถึงหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

อานิสงส์จากการเปิดเผยข้อมูล มิได้หมายความเพียงการลดความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลตอบแทนที่บริษัทได้รับจากการลงทุนในการเปิดเผยข้อมูลและลงมือจัดการกับความเสี่ยง โดยผลตอบแทนที่ได้รับมีทั้งในรูปตัวเงินและที่มิใช่ตัวเงิน ซึ่งเกิดจากความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การสร้างภาวะพร้อมผันทางธุรกิจ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

การเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมช่วยให้บริษัทเข้าใจความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่และสามารถตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างโมเดลธุรกิจที่พร้อมผัน เหนือไปกว่านั้น คือ การช่วยให้บริษัทเติบโตในระยะยาว ช่วยให้บริษัทตัดสินใจได้ดีขึ้น เพิ่มการดึงดูดเม็ดเงินลงทุน เตรียมพร้อมรับมือกับกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป และยังช่วยระบุแหล่งรายได้ใหม่ ๆ โดยบริษัทที่ตระหนักและลงมือลดความเสี่ยงแล้ว จะสามารถเข้าถึงโอกาสทางการค้าใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก CDP ชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีโอกาสมากมายในเศรษฐกิจสีเขียว แต่บริษัทมากกว่าครึ่งยังคงมิได้นำเสนอสินค้าหรือบริการที่ปล่อยคาร์บอนต่ำหรือใช้น้ำน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้จะมีการตระหนักถึงปัญหา แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น บริษัทจำนวนมากยังคงขาดวิสัยทัศน์แบบองค์รวมในการจัดการกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่ทำให้พลาดโอกาสในการได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่

รายงานของ CDP ยังเน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉลี่ยแล้ว 75% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกิจการมาจากผู้ส่งมอบ และยังมีความต้องการน้ำสูงในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งมักมาจากประเทศที่เผชิญภาวะขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง ดังนั้น การมีส่วนร่วมกับผู้ส่งมอบ จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างภาวะพร้อมผันทางธุรกิจ การทำความเข้าใจการดำเนินงานของห่วงโซ่คุณค่า และสร้างจูงใจให้ผู้ส่งมอบปฏิบัติอย่างยั่งยืน จะช่วยลดผลกระทบจากแรงกระแทกต่าง ๆ ได้

แม้ว่าแรงจูงใจทางการเงินจะเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แต่มีเพียง 11% ของกิจการที่เสนอแรงจูงใจทางการเงินแก่ผู้ส่งมอบเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม การวิจัยของ CDP พบว่าผู้ส่งมอบที่ได้รับแรงจูงใจทางการเงินมีแนวโน้มที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าผู้ส่งมอบที่ได้รับเพียงการฝึกอบรมถึง 52%

ข้อมูลจากรายงานฉบับนี้ ตอกย้ำถึงแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยที่การเปิดเผยข้อมูลมิได้เป็นเพียงกิจกรรมเพื่อความโปร่งใสอีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็นความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ เหตุผลทางการเงินสำหรับการลงมือปฏิบัติเพื่อสิ่งแวดล้อมแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บริษัทซึ่งนำข้อมูลที่เปิดเผยไปใช้ในการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่จับต้องได้ โดยอานิสงส์ที่แท้จริงมิได้อยู่ที่การรับรู้เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกให้กลายเป็นผลกระทบที่แท้จริง

กิจการจำต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้าง ครอบคลุมทั้งการตระหนักรู้ การลงมือปฏิบัติ และการเติบโต เพื่อการปลดล็อกให้เกิดเป็นอานิสงส์อย่างเต็มที่ โดยรายงานของ CDP ได้ให้ข้อแนะนำหลัก ๆ เพื่อสร้างภาวะพร้อมผันทางธุรกิจที่ประกอบด้วย การจัดทำกระบวนการเพื่อจัดการกับความสัมพันธ์และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่า การทำความเข้าใจความเสี่ยงและโอกาสทั้งในแง่ของทำเลที่ตั้งและผลกระทบทางการเงิน การมีส่วนร่วมกับผู้ส่งมอบในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่ค้นพบซึ่งควรครอบคลุมแผนการเปลี่ยนผ่านที่มีนัยสำคัญ การสร้างสรรค์และได้รับประโยชน์จากโครงการริเริ่มและผลิตภัณฑ์สีเขียวใหม่ ๆ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการตอบสนองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม

การลงมือทำตามข้อแนะนำดังกล่าว จะเป็นก้าวสำคัญสำหรับกิจการในการปกป้องผลกระทบทางการเงินที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และสามารถคว้าโอกาสการเติบโตในตลาดเกิดใหม่ได้อย่างเต็มที่


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]