Saturday, May 31, 2025

ก้าวสู่ปีที่ 11 กับการประมวลทำเนียบหุ้น ESG100

นับตั้งแต่ที่สถาบันไทยพัฒน์บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ และเป็นผู้ริเริ่มการประเมินข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ของบริษัทจดทะเบียนในปี ค.ศ. 2015 ได้ทำการประมวลรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่า กลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ซึ่งถือเป็นการจัดระดับหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจครั้งแรกในประเทศไทย


หน่วยงาน ESG Rating ของสถาบันไทยพัฒน์ ได้ดำเนินการประเมินข้อมูลด้านความยั่งยืนของหลักทรัพย์จดทะเบียนต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 11 ในปีนี้ ด้วยการคัดเลือกจาก 567 หลักทรัพย์ในปีแรก เพิ่มจำนวนมาเป็น 921 หลักทรัพย์ในปีนี้ โดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ESG จาก 6 แหล่ง จำนวนกว่า 17,056 จุดข้อมูล ตามที่บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์เผยแพร่ไว้ต่อสาธารณะ โดยไม่ใช้แบบสำรวจข้อมูลหรือแบบสอบถามใด ๆ เพิ่มเติม นับตั้งแต่ปีแรกเริ่มที่ดำเนินการจวบจนในปัจจุบัน

โดยประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ประการแรก ได้แก่ การที่บริษัทจะได้รับทราบสถานะการดำเนินงานด้าน ESG ในปัจจุบันของกิจการ ด้วยชุดตัวชี้วัดด้าน ESG ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และเป็นการประเมินอย่างอิสระโดยหน่วยงานภายนอก โดยใช้เกณฑ์และหลักการที่อ้างอิงตามแนวทางการประเมินและมาตรฐานการรายงานสากล อาทิ WFE, GRI, IFRS, UN PRI

ประการที่สอง เนื่องจากการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 คำนึงถึงประเด็น ESG ที่มีนัยสำคัญตามบริบทของแต่ละอุตสาหกรรม และต้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กับธุรกิจแกนหลัก (Core Business) ขององค์กร นอกเหนือจากประเด็น ESG พื้นฐาน ทำให้บริษัทสามารถนำผลการประเมินในรูปแบบของรายงานวิเคราะห์เชิงลึก ไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับการวางแผนพัฒนาปรับปรุงเพื่อยกระดับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับ ESG ได้อย่างตรงจุด สอดคล้องกับบริบทเฉพาะองค์กร (Company-specific) และบริบทเฉพาะอุตสาหกรรม (Industry-specific) ควบคู่ไปพร้อมกัน

ประการที่สาม ด้วยเหตุที่การประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ใช้ข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะตามช่องทางที่บริษัทเผยแพร่เป็นปกติ ทำให้ไม่เป็นภาระแก่บริษัทในการจัดเตรียมข้อมูลสำหรับการประเมินเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ก็เป็นการกระตุ้นให้บริษัทพัฒนาการเปิดเผยข้อมูล ESG ต่อสาธารณะ ในรูปแบบรายงานความยั่งยืน หรือในแบบ 56-1 (One Report) เพื่อให้มีข้อมูลที่สมบูรณ์และเพียงพอต่อการประเมิน ESG100 อันจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียอื่นที่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูล ESG ดังกล่าวด้วย

โดยการคัดเลือกหลักทรัพย์เข้าใหม่ในทำเนียบ ESG100 ในปีนี้ พิจารณาจากข้อมูลการดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG ตามที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ และผ่านเกณฑ์คัดกรองเบื้องต้นที่ใช้ในการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ของสถาบันไทยพัฒน์ โดยมีกระบวนการประเมินที่เป็นไปตามหลักการใน ESG Code of Conduct ของสมาคมตลาดทุนระหว่างประเทศ (ICMA)

สำหรับหลักทรัพย์ซึ่งได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นครั้งแรกในปีนี้ มีจำนวน 13 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย AKR BKGI MPJ NAM NEO OKJ PCC PCE PMC PRM PSP TEGH TFM

ในปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ยังได้คัดเลือกและจัดทำรายชื่อหลักทรัพย์ที่มีผลประกอบการพลิกฟื้นกลุ่ม ESG Turnaround เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ด้วยโอกาสการสร้างผลตอบแทนจากหลักทรัพย์ที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวและมีปัจจัย ESG สนับสนุน

สำหรับหลักทรัพย์กลุ่ม ESG Turnaround ประกอบด้วย BAFS BTS BWG CPF EGCO SNC STA TFG TU VGI รวมจำนวน 10 หลักทรัพย์

โดยการพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์ที่มีผลประกอบการพลิกฟื้นกลุ่ม ESG Turnaround ในปีนี้ เป็นปีที่สามของการจัดทำรายชื่อบริษัทที่มี ESG ซึ่งได้ตามเกณฑ์ในรอบปีการประเมิน แต่ยังมีผลประกอบการติดลบหรือต่ำกว่าตลาด โดยมีสัญญาณการพลิกฟื้นและโอกาสในการไต่ระดับขึ้นของราคาหลักทรัพย์ จากการฟื้นตัวของตลาด และศักยภาพในธุรกิจแกนหลัก ของกิจการที่มี ESG เป็นปัจจัยสนับสนุน

ทั้งนี้ หลักทรัพย์กลุ่ม ESG100 ที่ได้รับคัดเลือกในปีนี้ จะใช้เป็นข้อมูลนำเข้าในการปรับหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของ Thaipat ESG Index ประจำปี สำหรับใช้เป็นดัชนีเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุน และใช้เป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับการลงทุน โดยมี S&P Dow Jones เป็นผู้คำนวณและเผยแพร่ข้อมูลดัชนี ผ่านหน้าจอ Bloomberg และ Reuters ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วโลก

ผู้ลงทุนที่สนใจศึกษาข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี ค.ศ. 2015 - 2024 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://thaipat.esgrating.com


หมายเหตุ: การนำเสนอข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์จดทะเบียน ESG100 รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่สถาบันไทยพัฒน์เป็นผู้ประเมิน เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้เป็นข้อมูลเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นคำแนะนำในการลงทุน หรือการเสนอซื้อเสนอขายใดๆ ทั้งสิ้น


จากบทความ 'ESG Sauce' ใน The Story Thailand External Link [Archived]

Monday, May 19, 2025

จีนกับทางเลือกในกระดานเศรษฐกิจโลก (1)

ผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน ในเรื่องภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) รอบแรก ที่ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าสหรัฐฯ จะลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจากอัตราปัจจุบัน 145% เหลือ 30% และจีนจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ จาก 125% เหลือ 10% เป็นเวลา 90 วัน ได้ทำให้สงครามการค้าระหว่างสองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในโลกคลี่คลายลงเป็นการชั่วคราว


แต่ไม่มีอะไรที่รับประกันว่า การเจรจาในรอบต่อไปของทั้งสองประเทศ ภายในห้วงเวลา 90 วันนี้ จะนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงถาวรร่วมกัน เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดความไม่ลงตัวในผลประโยชน์ที่แต่ละฝ่ายจะได้รับ

สหรัฐฯ ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า การนำนโยบายภาษีต่างตอบแทนมาใช้กีบจีนและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อต้องการลดตัวเลขขาดดุลทางการค้า 1.2 ล้านล้านเหรียญ (ตัวเลขปี ค.ศ. 2024) ตามมาด้วยนโยบายเพิ่มการลงทุนในประเทศด้วยการดึงอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ให้กลับมาตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ (Reshoring)

นับจนถึงปัจจุบัน (15 พ.ค.) ตัวเลขยอดการลงทุนที่สหรัฐฯ ได้รับคำมั่นจากภาคเอกชนในประเทศต่าง ๆ มีจำนวนรวมแล้วกว่า 10 ล้านล้านเหรียญ กระนั้นก็ตาม ยอดการลงทุนนี้จะต้องใช้เวลาเป็นหลักปีหรือหลายปี (ตั้งแต่การก่อสร้างโรงงาน การเปิดดำเนินงาน จนไปสู่การผลิตสู่ท้องตลาด) กว่าที่จะส่งผลในตัวเลขการจ้างงานและรายได้ในบัญชีประชาชาติ

ในฟากของจีนเอง ได้มีการออกนโยบายทางการเงินเพื่อรับมือกับสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งประกอบด้วย 1) การเพิ่มเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ 2) การลดต้นทุนทางการเงิน และ 3) การเสริมเครื่องมือนโยบายทางการเงินเพื่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศ

ธนาคารกลางจีน ได้ใช้มาตรการด้านปริมาณในการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดเงิน ด้วยการประกาศลดอัตราส่วนการดำรงเงินสดสํารองทางการ (Reserve Requirement Ratio: RRR) ของธนาคารพาณิชย์ ลง 0.5% ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินเติมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจราว 1 ล้านล้านหยวน พร้อมกับการลด RRR ของสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อรถยนต์จาก 5% เหลือ 0% เป็นการชั่วคราว

ในส่วนของการลดต้นทุนทางการเงิน ได้มีการใช้มาตรการด้านราคา ด้วยการ (1) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.1% ซึ่งมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางกู้ยืมจากตลาดเงินด้วยการขายพันธบัตรโดยมีสัญญาซื้อคืน (Reverse Repo) ระยะ 7 วัน ลดจาก 1.5% เหลือ 1.4% เพื่อคงสภาพคล่องไว้ในตลาด และ (2) ลดอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางให้กู้ยืมแก่ธนาคารพาณิชย์ลง 0.25% ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ลงได้ 1.5-2 หมื่นล้านหยวนต่อปี รวมทั้ง (3) ลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อที่อยู่อาศัยส่วนบุคคลลง 0.25% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อสำหรับบ้านหลังแรกในช่วง 5 ปีแรก ลดจาก 2.85% ลงมาอยู่ที่ 2.6% มาตรการนี้จะช่วยให้ประชาชนที่ต้องการที่อยู่อาศัยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยได้มากกว่า 2 หมื่นล้านหยวนต่อปี และยังช่วยพยุงตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้มีเสถียรภาพมากขึ้น

สำหรับเครื่องมือนโยบายทางการเงินที่นำมาใช้เสริมในการปรับโครงสร้าง ประกอบด้วย (1) การลดอัตราดอกเบี้ยให้กู้ยืมโดยธนาคารกลางแก่สถาบันการเงินเพื่อนำไปปล่อยกู้ต่อ (Relending) ลง 0.25% จาก 1.75% เหลือ 1.5% และการลดอัตราดอกเบี้ยให้กู้ยืมโดยธนาคารกลางแก่สถาบันการเงินแบบมีข้อผูกมัด (Pledged Supplementary Lending) จาก 2.25% ลงเหลือ 2% และ (2) การตั้งงบให้กู้ยืมจำนวน 5 แสนล้านหยวน เพื่อกระตุ้นการบริโภคในภาคบริการและยกระดับการดูแลผู้สูงอายุ และ (3) การเพิ่มวงเงินกู้ในภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจาก 5 แสนล้านหยวน เป็น 8 แสนล้านหยวน เพื่อสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้เกิดการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ทันสมัยและเพิ่มการใช้สอยสินค้าเพื่อการบริโภค รวมถึงการเพิ่มวงเงินกู้เพื่อสนับสนุนภาคเกษตรและธุรกิจขนาดเล็กอีกจำนวน 3 แสนล้านหยวน ทำให้วงเงินสินเชื่อที่ให้แก่สถาบันการเงินเพื่อนำไปปล่อยกู้ต่อ มียอดรวมอยู่ที่ 3 ล้านล้านหยวน

นโยบายข้างต้น ยังไม่นับรวมการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดทุน และการผ่อนคลายกฎระเบียบการซื้อหุ้นคืนและการเพิ่มการถือครองหุ้นของบริษัทจดทะเบียน เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพในตลาดหุ้น ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีนแผ่นดินใหญ่ (A-share) ส่วนใหญ่ที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้มีการปรับตัวรับมือตั้งแต่การขึ้นภาษีการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ในสมัยแรก ทำให้ปัจจุบัน 91% ของบริษัทจีนในตลาด A-share มียอดส่งออกไปสหรัฐฯ รวมกันแล้วน้อยกว่า 10% ของยอดรายได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ดี ชุดนโยบายที่จีนประกาศออกมา ยังออกไปในทางรับมือกับสถานการณ์ มากกว่าที่จะเป็นการตอบโต้ในเชิงรุก เพราะจีนทราบดีว่า นอกจากปัจจัยภายนอกที่มาจากประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ จีนยังคงเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจในประเทศที่สำคัญ ตั้งแต่วิกฤตการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ฟื้นตัว ปัญหาการระบายอุปทานส่วนเกินในภาคผลิต การว่างงานของแรงงานจบใหม่ และการบริโภคที่หดตัว

การกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ จึงเป็นวาระสำคัญที่ต้องดำเนินการ โดยในปีที่ผ่านมา (ค.ศ. 2024) จีนได้ลงทุนเป็นจำนวน 2.9 ล้านล้านหยวน ไปกับการฟื้นฟูเมือง (Urban Renewal) กว่า 6 หมื่นโครงการ และในปีนี้ กระทรวงการคลังจีน ได้ตั้งงบประมาณในการฟื้นฟู 20 เมืองใหญ่ โดยในพื้นที่ภาคตะวันตกจะได้รับเงินอุดหนุน 1.2 พันล้านหยวนต่อแห่ง ภาคกลางจะได้รับ 1 พันล้านหยวนต่อแห่ง และในภาคตะวันออกจะได้รับ 800 ล้านหยวนต่อแห่ง

เครื่องยนต์เศรษฐกิจจีน ทั้งการใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนของเอกชนในภาคผลิต ยังคงทำงานได้ตามศักยภาพ แต่เครื่องยนต์ที่เป็นการบริโภคของประชาชน และการรักษามูลค่าการส่งออก จะเป็นโจทย์ใหญ่ของจีนในกระดานเศรษฐกิจโลกที่ต้องใช้การเดินเกมรุกมากกว่าการตั้งรับ ซึ่งจะขอยกไปนำเสนอเป็นตอนต่อไป


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]

Monday, May 05, 2025

สหรัฐฯ กำลังวางหมากปรับสมดุลเศรษฐกิจโลก

จะเห็นว่า แนวทางที่สหรัฐฯ ใช้ในการจำกัดการขาดดุลการค้า การเลือกอุตสาหกรรมที่จะลงทุน และการลดการพึ่งพาจากภายนอกประเทศนั้น ไปสอดรับกับปรัชญาของความพอเพียง

ผ่านไป 100 วัน ภายใต้การบริหารของรัฐบาลทรัมป์ ทำให้โลกได้เห็นทั้งทิศทางและท่าทีที่สหรัฐฯ ยังต้องการกุมความเป็นผู้นำโลก ผ่านนโยบายสำคัญทางเศรษฐกิจหลายชุด เริ่มจากนโยบายควบคุมรายจ่าย ด้วยการปรับลดงบประมาณภาครัฐในส่วนที่ขาดประสิทธิภาพ ที่ไม่ตอบโจทย์การดำเนินงานของรัฐบาลกลาง (เช่น เรื่องโลกร้อน) และที่ไปอุดหนุนกิจกรรมนอกประเทศโดยไม่เกิดประโยชน์ต่อชาวอเมริกันโดยรวม


ในส่วนของนโยบายหารายได้ ที่ทำให้นานาประเทศสะเทือนกันถ้วนหน้า คือ การเก็บภาษีการค้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ตั้งแต่อัตรา 10% - 145% เพื่อต้องการลดตัวเลขขาดดุลการค้าจำนวน 1.2 ล้านล้านเหรียญ โดยได้มีการเปิดโต๊ะเจรจากับประเทศคู่ค้าเป้าหมายกลุ่มแรกแล้ว จำนวน 17 ประเทศ

ตามมาด้วยนโยบายเพิ่มการลงทุนในประเทศ ที่เพิ่งมีการแถลงตัวเลขยอดรวมการลงทุนไปเมื่อวันพุธ (30 เม.ย.) ในจำนวน 8 ล้านล้านเหรียญ ที่ภาคเอกชนรับปากว่าจะดำเนินการ นำโดย SoftBank (ร่วมกับ Oracle และ OpenAI) ที่ 7 แสนล้านเหรียญ NVIDIA ที่ 5 แสนล้านเหรียญ และ Apple ที่ 5 แสนล้านเหรียญ

และที่จะผลักดันให้สภาเห็นชอบในเดือนกรกฎาคมนี้ คือ นโยบายเพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชน ด้วยการลดภาษีเงินได้ รวมทั้งการยกเว้นภาษีเงินล่วงเวลา (Overtime) เงินพิเศษ (Tip) และเงินสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ ที่รัฐบาลทรัมป์เปิดเผยว่า จะช่วยเพิ่มมูลค่าที่แท้จริงของค่าจ้าง (อำนาจการซื้อที่เพิ่มขึ้น) ได้สูงสุด 3,300 เหรียญต่อปี และช่วยเพิ่มค่าจ้างสุทธิ (หลังหักภาษีเงินสะสมหรือรายการอื่นตามกฎหมาย) ได้สูงสุด 5,000 เหรียญต่อปี ซึ่งมีผลให้มูลค่าจีดีพีตามราคาคงที่ (Real GDP) ในระยะสั้นจะเพิ่มขึ้น 3.3-3.8% และในระยะยาวจะเพิ่มขึ้น 2.6-3.2%

นโยบายทั้งหลายที่ผลักดันออกมานั้น เป็นไปเพื่อการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ต้องรักษาอำนาจซื้อของภาคครัวเรือน (C) เพิ่มยอดการลงทุนภาคเอกชน (I) กำกับดูแลรายจ่ายภาครัฐ (G) ที่มียอดหนี้สะสมอยู่ราว 36 ล้านล้านเหรียญ และลดตัวเลขขาดดุลการค้า (X-M)

ทั้งนี้ หากมองไปที่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จำเป็นต้องดำเนินการ และเป็นแนวทางเดียวกันกับที่รัฐบาลทรัมป์กำลังดำเนินการ คือ ความพยายามที่จะเพิ่มปริมาณการผลิต ให้ทันหรือมากกว่าปริมาณการบริโภค (ซึ่งหากไม่สำเร็จ ก็จำเป็นต้องทำในทางตรงข้าม คือ ลดปริมาณการบริโภค ให้ไม่เกินกว่าปริมาณที่ผลิตได้) ถ้าจะว่าไปแล้ว เทียบได้กับการมีความพอประมาณในการผลิตและการบริโภค ด้วยการทำให้มีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน

ขณะที่ ความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ในการย้ายฐานการผลิตกลับมาอยู่ในประเทศ ด้วยเหตุผลของความมั่นคงทางเศรษฐกิจว่าเป็นความมั่นคงของประเทศด้วย ก็เป็นเพราะเห็นความเสี่ยงของการที่สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาห่วงโซ่การผลิตโลก (โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์) ที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งการดำเนินการในลักษณะนี้ คือ การสร้างภาวะคุ้มกันในตัวทั้งในทางเศรษฐกิจและในทางความมั่นคงของประเทศ ด้วยการพึ่งพาผู้ผลิตในประเทศ (หรือบริโภคในสิ่งที่ผลิตได้เอง) ให้มากขึ้น

ส่วนการคัดเลือกอุตสาหกรรมเป้าหมายสำหรับผลิตในประเทศ อาทิ กลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง กลุ่มเภสัชภัณฑ์ กลุ่มยานยนต์ ฯลฯ ที่ต้องสอดคล้องกับทักษะด้านแรงงาน การสร้างมูลค่าเพิ่ม และขีดความสามารถทางการแข่งขัน ชี้ให้เห็นถึงการพิจารณาทางเลือกของรัฐบาลทรัมป์ต่อการเชิญชวนภาคเอกชนให้เข้ามาลงทุนตั้งหรือขยายฐานการผลิตเฉพาะในบางอุตสาหกรรมอย่างมีเหตุผล ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีโรงเรือนและเครื่องจักรอุปกรณ์ การใช้นโยบายพลังงานราคาต่ำ การให้สิทธิในการผลิตพลังงานไฟฟ้าใช้เอง รวมถึงการผ่อนปรนกฎระเบียบ และการออกใบอนุญาตแบบรวดเร็ว เป็นต้น

หลักการที่รัฐบาลทรัมป์ใช้ดำเนินการ เพื่อต้องการปรับสมดุลระหว่างกิจกรรมการผลิตและการบริโภค โดยมุ่งหมายให้เกิดความยั่งยืนทางเศรษฐกิจของโลกโดยรวม เพราะเล็งเห็นแล้วว่า สหรัฐฯ ได้กลายเป็นประเทศผู้บริโภครายใหญ่สุดของโลก ด้วยยอดการนำเข้าสินค้าที่สูงถึง 3.36 ล้านล้านเหรียญต่อปี (ขาดดุลอยู่ 1.2 ล้านล้านเหรียญ) ขณะที่จีน ได้กลายเป็นประเทศผู้ผลิตเพื่อส่งออกที่ใหญ่สุดในโลก ด้วยยอดการส่งออกสินค้าที่สูงถึง 3.58 ล้านล้านเหรียญต่อปี (เกินดุลอยู่ 9.92 แสนล้านเหรียญ) ซึ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เศรษฐกิจโลกจะไร้ความยั่งยืน และอาจล่มสลายได้ในที่สุด (เมื่อผู้บริโภคซื้อต่อไปเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ผู้ผลิตก็ขายต่อไปเหมือนเดิมไม่ได้เช่นกัน)

ฉะนั้น การแก้ปัญหาในทางตัวเลขดุลการค้า สหรัฐฯ ในฐานะผู้บริโภครายใหญ่ จึงต้องลดการขาดดุล (ด้วยการผลิตเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น) ขณะที่ จีน ในฐานะผู้ผลิตรายใหญ่ จำต้องลดการเกินดุล (ด้วยการนำเข้าเพื่อบริโภคเพิ่มขึ้น) จึงจะทำให้เกิดความสมดุลทางการค้าโลกอย่างที่ควรจะเป็น

โดยสรุป ขั้นตอนที่รัฐบาลทรัมป์กำลังทำอยู่ในเวลานี้ สำหรับเรื่องภาษีการค้า หลัก ๆ คือ การจำกัดยอดการส่งออกของจีนมายังสหรัฐฯ ส่วนรายรับที่ได้จากการเก็บภาษีนำเข้า (ทั้งจากจีนและประเทศอื่น) จะนำมาชดเชยรายได้รัฐในส่วนที่หายไปจากการลดและยกเว้นภาษีให้คนในประเทศ ตามมาตรการปฏิรูปภาษีเพื่อเพิ่มอำนาจซื้อในภาคครัวเรือน

สำหรับเรื่องการส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน จะทำในรายอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมาย โดยใช้นโยบายการผ่อนคลายกฎระเบียบ การลดรายจ่ายการลงทุน (เช่น การลดหย่อนภาษีสิ่งปลูกสร้างได้ 100%) รวมถึงรายจ่ายดำเนินงานในบางรายการ (เช่น แผนการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลอัตราเดียวจาก 21% เหลือ 15%) ก็เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มยอดการส่งออก (และลดพึ่งพาการนำเข้าเพื่อบริโภค)

จะเห็นว่า แนวทางที่สหรัฐฯ ใช้ในการจำกัดการขาดดุลการค้า การเลือกอุตสาหกรรมที่จะลงทุน และการลดการพึ่งพาจากภายนอกประเทศนั้น ไปสอดรับกับปรัชญาของความพอเพียง ทั้งในแง่ของความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ซึ่งได้สะท้อนอยู่ในสถานการณ์อันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อทางเศรษฐกิจที่โลกกำลังเผชิญอยู่

การปรับสมดุลเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ จะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อจีน เห็นปัญหาอย่างเดียวกัน และตกลงที่จะร่วมมือดำเนินการ แม้จะอยู่คนละฟากของกระดานก็ตาม


จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ External Link [Archived]