มุมมองที่มีต่อเรื่อง ESG ของกิจการจึงมีความสำคัญ เพราะทางหนึ่ง สามารถนำไปสู่การสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับองค์กรบางกลุ่ม ในอีกทางหนึ่ง ก็สามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นความเสี่ยงให้กับอีกหลายองค์กรได้เช่นกัน
แม้เรื่อง ESG จะมีโมเมนตัมหรือแรงส่งที่ผลักให้ธุรกิจต้องดำเนินการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยกฎระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานใหม่ ๆ ที่ออกโดยรัฐหรือหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง หรือโดยแรงบีบจากตลาดระหว่างคู่ค้าด้วยกันเอง แต่ก็ใช่ว่าการขับเคลื่อนเรื่อง ESG จะเลื่อนไหลไปโดยปราศจากแรงเสียดทาน เนื่องจากเงื่อนไขภายในกิจการ อาทิ ความพร้อม ทรัพยากร และทัศนคติที่มีต่อเรื่อง ESG ของแต่ละกิจการไม่เหมือนกัน ประกอบกับเงื่อนไขภายนอกที่เป็นสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและกติกาทางสังคมที่เกี่ยวข้อง ทำให้การปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองเรื่องดังกล่าว จึงมีจังหวะก้าวที่แตกต่างกัน
สำหรับความท้าทายที่สำคัญต่อการดำเนินการด้าน ESG ของธุรกิจไทย ในปี ค.ศ. 2024 ได้แก่
การบังคับใช้กฎหมาย แม้การดำเนินงานด้าน ESG ไม่จำเป็นต้องพึ่งการออกกฎหมายฉบับใหม่ เนื่องจากประเทศไทยมีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้าน ESG อยู่แล้ว ดังนั้นหนึ่งในอุปสรรคและความท้าทายในการดำเนินการด้าน ESG ของธุรกิจ ในปี ค.ศ. 2024 จึงไม่ได้อยู่ที่ประเด็นการไม่มีกฎหมายรองรับ แต่เป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายให้มีความเฉียบขาด เช่น กรณีทุจริตหุ้น STARK กรณีโกงหุ้น MORE หรือกรณีลักลอบนำเข้าหมู ฯลฯ
การเปลี่ยนผ่าน โดยประเด็นด้าน ESG ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการ เช่น การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีสาเหตุจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ถูกดึงให้มีความล่าช้าออกไป ตัวอย่างกรณีการประชุม COP28 ที่มีการแก้ไขถ้อยคำเรื่องการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล จากการทยอยเลิกใช้ (Phase out) มาเป็นการเปลี่ยนผ่าน (Transition away) โดยการผลักดันของกลุ่มประเทศที่มีผลประโยชน์ในเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะทำให้เป็นอุปสรรคและความท้าทายในการดำเนินการด้าน ESG ของธุรกิจโดยรวม ในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และยังได้กลายเป็นความเสี่ยงต่อการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของแต่ละประเทศ
การฟอกเขียว ปัจจุบันคำว่า ESG ได้ถูกหยิบมาใช้ในวงกว้าง ไม่เว้นในแวดวงการตลาดที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์และการสร้างภาพลักษณ์อย่างแพร่หลาย จนในปัจจุบัน กิจกรรม ESG ส่วนใหญ่ที่ปรากฏในสื่อ ถูกตีความว่าเป็นการฟอกเขียว (Green Washing) ซึ่งคือการดำเนินการที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดด้วยการโฆษณาสินค้าหรือองค์กรให้มีภาพลักษณ์ว่ารับผิดชอบต่อสังคมโดยการรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เช่น การประกาศตัวเลขการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกินจริงหรือที่พิสูจน์ไม่ได้ การแสดงเครื่องหมายรับรองที่ออกโดยหน่วยงานที่ขาดความน่าเชื่อถือหรือได้มาด้วยการซื้อเครื่องหมายรับรองที่ไม่ได้มีมาตรฐานรองรับ การฟอกเขียว จึงยังเป็นอุปสรรคและความท้าทายสำคัญในการดำเนินการด้าน ESG ของธุรกิจ ในปี ค.ศ. 2024 และมีแนวโน้มที่ขยายวงเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับธุรกิจที่ยังไม่ใส่ใจดำเนินการด้าน ESG ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือข้ออ้างใดก็ตาม ความเสี่ยงต่อการดำเนินงาน ในปี ค.ศ. 2024 ที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจเหล่านั้น ได้แก่
ตกขบวน เพราะ ESG เป็นเทรนด์ใหญ่ที่ธุรกิจไม่ว่าขนาดใหญ่ขนาดเล็ก ต้องนำมาดำเนินการในกิจการของตนไม่มากก็น้อย บริษัทขนาดใหญ่ที่มีห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยคู่ค้าจำนวนมาก นับเป็นหลายพันหลายหมื่นราย จำเป็นต้องทำเรื่อง ESG ในกิจการ เพราะได้รับแรงกดดันจากผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่าง ๆ และยังถูกคาดหวังให้ต้องดำเนินการในห่วงโซ่อุปทานด้วย นั่นหมายความว่า บริษัทที่มีการดำเนินการด้าน ESG จำเป็นต้องค้าขายกับคู่ค้าที่มี ESG ในระดับเดียวกัน หรือมีในเกณฑ์ขั้นต่ำที่บริษัทเป็นผู้กำหนด ซึ่งหากคู่ค้าหรือธุรกิจรายใดในเครือข่าย ไม่ดำเนินการหรือดำเนินการได้ไม่ถึงเกณฑ์ ก็อาจตกขบวนหรือหมดโอกาสที่จะค้าขายกับบริษัทเหล่านั้นได้ตามปกติ จนกว่าจะสามารถปรับปรุงสถานะเรื่อง ESG ให้ได้ตามเกณฑ์
มีต้นทุนเพิ่ม เพราะ ESG ในหลายประเด็นมาพร้อมกับการออกเป็นกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับให้ต้องปฏิบัติ มิฉะนั้นจะมีค่าปรับหรือบทลงโทษ หากยังไม่มีการดำเนินการด้าน ESG นั้น ๆ ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงด้านต้นทุนที่ธุรกิจต้องเผชิญ ในทางกลับกัน การดำเนินการด้าน ESG ให้เป็นไปตามกฎระเบียบ จะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมจากเดิมไม่มากก็น้อย ซึ่งก็เป็นภาระด้านต้นทุนที่ธุรกิจต้องเผชิญเช่นกัน ทำให้ธุรกิจจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักระหว่างต้นทุนดำเนินการด้าน ESG ที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงมิให้เกิดความเสียหายขึ้น กับต้นทุนที่เป็นค่าปรับหรือการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
เสียโอกาสในการเข้าถึงตลาด เพราะ ESG ไม่ได้มาในรูปของการบังคับให้ปฏิบัติ ด้วยการออกเป็นกฎหมายอย่างเดียว แต่ยังมาในรูปของแรงกดดันหรือการกีดกันจากภาคธุรกิจด้วยกันเองในกรณีที่เป็น B2B ซึ่งหากกิจการไม่มีการดำเนินการด้าน ESG (แม้จะไม่มีกฎหมายบังคับ) ก็อาจทำให้ค้าขายต่อไปเหมือนเดิมไม่ได้ เพราะคู่ค้ารายใหญ่ผลักดันให้มีการดำเนินการ พร้อมกับเงื่อนไขที่หากไม่ดำเนินการหรือดำเนินการได้ไม่ถึงเกณฑ์ ก็จะปฏิเสธการซื้อสินค้าหรือบริการจากกิจการรายนั้น ๆ กลายเป็นความสูญเสียทางธุรกิจ ทั้งการเสียตลาดเดิมที่ผูกด้วยเงื่อนไขใหม่ และการเสียโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ที่มาพร้อมกับเงื่อนไขปกติ (ด้าน ESG) นอกจากนี้ ESG ยังมาในรูปของแรงกดดันหรือพฤติกรรมจากผู้บริโภคในกรณีที่เป็น B2C ซึ่งมีความต้องการที่จะอุดหนุนผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเฉพาะผู้บริโภคในกลุ่มที่เป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งกำลังเติบโตขึ้นมากในปัจจุบัน ทำให้กิจการที่ไม่ปรับตัวก็จะเสียโอกาสในการเข้าถึงตลาดกลุ่มนี้เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ มุมมองที่มีต่อเรื่อง ESG ของกิจการจึงมีความสำคัญ เพราะทางหนึ่ง สามารถนำไปสู่การสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับองค์กรบางกลุ่ม ในอีกทางหนึ่ง ก็สามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นความเสี่ยงให้กับอีกหลายองค์กรได้เช่นกัน
จากบทความ 'Sustainpreneur' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ [Archived]
No comments:
Post a Comment