บทความตอนนี้ ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับเทรนด์ Slow Life หรือการใช้ชีวิตแบบเนิบช้า ที่หลายท่านกำลังฝึกชะลอตัวเองให้ไม่ไหลอย่างไร้ทิศทางไปตามกระแสสังคม ซึมซับกับธรรมชาติรอบตัว ใส่ใจกับคนรอบข้างมากขึ้น ในสไตล์แบบ “ช้าๆ แต่ไม่ล้าหลัง”
อันที่จริง เทรนด์การใช้ชีวิตสไตล์นี้ ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะ ความไม่สมดุลของการใช้ชีวิต ที่หลายท่านต้องอุทิศเวลาให้กับการทำงาน การทำมาหากิน ซึ่งต้องเร่งรีบ แข่งกับเวลา เน้นสร้างความสำเร็จให้เร็ว ด้วยหวังว่าจะได้เลิกทำงานและมีเวลาไปหาความสุข จนทำให้เสียสุขภาพ กระทบกับชีวิตครอบครัว หรือพลาดสิ่งดี ๆ ในระหว่างทางไปไม่น้อย (ในประเด็นเรื่องความสุขนี้ ผมขอแปะไว้ก่อน จะมาขยายความถึง “ความสุขที่เกิดจากการทำงาน กับความสุขที่ไขว่คว้าหลังเลิกงาน” ในโอกาสต่อไป)
แต่ในโหมดที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลกอยู่ขณะนี้ ทำให้ธุรกิจโดยรวม มีความยากลำบากที่จะเพิ่มหรือคงการเติบโตในอัตราเดิมเหมือนช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัว ปัจจัยความเร่งรีบหรือการแข่งขันเพื่อคว้าโอกาสช่วงขาขึ้น จะมิใช่ตัวแปรหลักในทางธุรกิจกับโหมดเศรษฐกิจแบบชะลอตัว
กลายเป็นว่า เทรนด์ Slow Life เหมือนจะเข้ามามีบทบาทในขอบเขตของการดำเนินธุรกิจ ในแบบที่ผมขอเรียกว่า Slow Business เพื่อให้เข้ากับท้องเรื่องตามที่จั่วหัวไว้
ในอดีต เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ธุรกิจส่วนใหญ่ มักจะมีสูตรสำเร็จในการปรับตัว โดยจัดสรรเวลาให้กับกิจกรรมภายในองค์กรเพิ่มขึ้น หันกลับมาพัฒนาบุคลากร ปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนงานต่างๆ ลดความสูญเสีย หรือพิจารณาตัดค่าใช้จ่ายในรายการที่ไม่สำคัญในแผนกต่างๆ
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะกรอบคิดเดิมของธุรกิจ มอง “องค์กร” เป็นหน่วยแข่งขัน ขอบเขตของกิจกรรมในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว จึงจำกัดอยู่ภายในองค์กรเป็นส่วนใหญ่
แต่ด้วยเงื่อนไขหรือตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไปในบริบทใหม่ ที่ซึ่ง “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ถูกใช้เป็นเป้าหมายแห่งการพัฒนา ครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทำให้ธุรกิจ จำต้องมีกรอบคิดที่มิได้มองเพียงระดับองค์กร ว่าเป็นหน่วยแข่งขันที่ควรได้รับการพัฒนาหรือปรับตัวเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องใน “สายคุณค่า” (Value Chain) ทั้งหมด ที่ธุรกิจควรเข้าไปพัฒนากิจกรรมเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
องค์กรที่จะเดินรอยตาม Slow Business ตามแนวการพัฒนาที่ยั่งยืน วิถีทางแรก คือ การทำธุรกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการขยายกิจกรรมในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว จากเดิมที่จำกัดอยู่เพียงการพัฒนาบุคลากรภายในองค์กร มาสู่การสานสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder Engagement) ในสายคุณค่าหรือในห่วงโซ่ธุรกิจ
ทั้งนี้ เป้าประสงค์ในการสานสัมพันธ์ขององค์กรในแต่ละแห่งหรือในแต่ละสาขาอุตสาหกรรม อาจจะมีประเด็นความสนใจหรือเรื่องที่ต้องการพัฒนาแตกต่างกันไป เช่น ต้องการเพิ่มผลิตภาพในสายคุณค่า หรือต้องการลดต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายแฝงในสายอุปทาน ฯลฯ
ตัวอย่างของประเด็นทางสังคมที่สามารถหยิบยกขึ้นมาดำเนินการ ได้แก่ การวางนโยบายการต่อต้านทุจริตที่ครอบคลุมถึงหุ้นส่วนทางธุรกิจ ที่ปรึกษา ตัวกลาง หรือตัวแทนในการดำเนินธุรกิจ หรือผลักดันให้คู่ค้าในห่วงโซ่ธุรกิจดำเนินนโยบายและแนวปฏิบัติที่จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต
ตัวอย่างของประเด็นทางสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ คือ การวางนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือดำเนินการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมร่วมกับคู่ค้าในห่วงโซ่ธุรกิจ ด้วยการลดการใช้สารอันตราย การร่วมพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สะดวกต่อการนำกลับมาใช้ใหม่ การจัดการซากผลิตภัณฑ์ เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว การเพิ่มยอดขายขององค์กร ไม่ว่าจะด้วยวิธี Up-Selling (เช่น เพิ่ม 10 บาท เป็นแก้วใหญ่ ไหมครับ) หรือ Cross-Selling (เช่น รับขนมจีบ ซาลาเปา เพิ่มไหมครับ) จะทำได้ยาก เพราะลูกค้าหรือผู้บริโภค มีกำลังซื้อลดลง หรือประหยัดมากขึ้น
สูตรสำเร็จเดิม ที่ธุรกิจใช้เพิ่มยอดขาย ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวคือ การลดราคา หรือ ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง หรือ ซื้อชิ้นแรก ชิ้นต่อไปลด 50% ฯลฯ ที่ธุรกิจเองก็ต้องยอมรับกับกำไรที่ลดลงด้วย
วิถีทางต่อมาของการดำเนินธุรกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือ Slow Business คือ การคงส่วนแบ่งทางการตลาด เปลี่ยนโฟกัสจากการทำโปรแกรม Promotion มาเป็นโปรแกรม Retention ด้วยการรักษาฐานลูกค้าเดิมให้คงอยู่ และให้มียอดใช้จ่ายที่ไม่น้อยลงกว่าเดิม
วิธีการผูกพันรักษาลูกค้า (Customer Retention) จะแตกต่างจากการทำโปรโมชั่น ตรงที่ธุรกิจสามารถรักษายอดขาย โดยไม่ต้อง Trade-off กับกำไรที่ลดลง ด้วยการลดราคาหรือแถมสินค้า
ตัวอย่างของการผูกพันรักษาลูกค้าในเชิงสังคม ได้แก่ การสร้างการมีส่วนร่วมให้ลูกค้าเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ ด้วยการสร้างประสบการณ์ในการเป็นที่ยอมรับจากสังคม ต่อการใช้ผลิตภัณฑ์แบรนด์ดังกล่าว เปลี่ยนโฟกัสจากการที่ลูกค้าจะได้รับคุณค่าในตัวผลิตภัณฑ์ มาเป็นการได้รับคุณค่าในเชิงสังคม เช่น การมอบสิทธิ์ให้ลูกค้าเดิมได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การได้สิทธิ์เลือกซื้อสินค้าก่อนลูกค้าทั่วไป รวมไปถึงการสร้างคอมมูนิติ้สำหรับกลุ่มคนที่ชอบแบรนด์เดียวกันขึ้น เพื่อสร้างให้เกิดแนวโน้มการบอกต่อไปยังคนรู้จักเพิ่มขึ้น และด้วยการบอกต่อของลูกค้ากันเอง จะมีส่วนช่วยสร้างให้เกิดความน่าเชื่อถือได้มากขึ้นด้วย
ตัวอย่างของการผูกพันรักษาลูกค้าในเชิงสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การสร้างแบบแผนพฤติกรรมที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่ามีส่วนในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมจากการใช้ผลิตภัณฑ์ขององค์กร (ขณะที่ลูกค้าอาจยินดีจ่ายในราคาที่แพงขึ้นด้วย) อาทิ การรวมกลุ่มผู้ที่มีแบบแผนการใช้ชีวิตที่ใส่ใจต่อสุขภาพและความยั่งยืน (เช่น กลุ่ม LOHAS: Lifestyle of Health and Sustainability) ที่ผลักดันให้เกิดตลาดสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและคำนึงถึงสุขภาพ (เช่น ตลาด Clean Food) ซึ่งนับวันจะมีอัตราการขยายตัวและการเติบโตที่สูงขึ้น
ยังมีวิถีทางของธุรกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือ Slow Business ตามแนวการพัฒนาที่ยั่งยืน อื่นอีก แต่ด้วยพื้นที่จำกัด จึงขออนุญาตยกไปนำเสนอในโอกาสต่อไปนะครับ...(จากคอลัมน์ หน้าต่าง CSR) [Archived]
Thursday, July 16, 2015
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment