Thursday, February 13, 2014

วันแห่งความรักที่สูงส่งบริสุทธิ์

วันพรุ่งนี้ เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และปีนี้ยังตรงกับวันแห่งความรักอีกด้วย ทำให้ผมได้มีโอกาสหยิบข้อมูลที่บันทึกไว้ครั้งที่ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นระยะเวลา 45 วัน เมื่อปี 2547 หรือ 10 ปีที่แล้ว มาถ่ายทอดแบ่งปันเนื่องในโอกาสวันสำคัญนี้

วันมาฆบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 มีตำนานว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้มาเป็นเวลา 9 เดือน ขณะนั้นทรงประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ได้มีพระสงฆ์ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา 6 และเป็นพระสงฆ์ที่พระพุทธองค์ทรงประทานอุปสมบทให้ด้วยพระองค์เอง จำนวน 1,250 รูป มาชุมนุมโดยมิได้นัดหมายมาก่อน

พระพุทธองค์ทรงเห็นเป็นนิมิตอันดี จึงได้เสด็จท่ามกลางหมู่สงฆ์ ทรงทำวิสุทธิอุโบสถ ทรงแสดง “โอวาทปาติโมกข์” อันเป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา นับตั้งแต่นั้นมาในวันอุโบสถทุกกึ่งเดือน พระองค์ก็ทรง ยกขึ้นตรัสแก่พระภิกษุสงฆ์ในที่ประชุมเสมอ แต่ภายหลังได้ทรงยกเลิก และอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์นำเอาสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ มาสวดในที่ประชุมแทน ซึ่งในปัจจุบันนี้ เรียกว่า สวดปาติโมกข์ หรือ ลงปาติโมกข์ นั่นเอง

ในบทสวดโอวาทปาติโมกข์นั้น มีหลักธรรมสำคัญที่ประกอบกันอยู่ในพระคาถา คือ

พระคาถาที่ 1 ว่าด้วย “อุดมการณ์”
พระองค์ทรงแสดงถึงคุณธรรม คือ ขันติ ความอดทนอดกลั้น ว่าเป็นเครื่องอุดหนุนให้บุคคลบรรลุบรมธรรม คือ พระนิพพาน พร้อมทั้งทรงแสดงลักษณะของบุคคลผู้เป็นบรรพชิตหรือสมณะไว้ว่า บุคคลผู้ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นให้ลำบาก หาชื่อว่าเป็นบรรพชิตหรือสมณะไม่

พระคาถาที่ 2 ว่าด้วย “หลักการ”
พระองค์ทรงแสดงถึงหลักคำสอนที่สำคัญซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เพื่อให้พระสาวกได้นำไปใช้เป็นหลักในการเผยแผ่และสั่งสอนไว้ 3 ประการ คือ
- เว้นจากทุจริต คือ การประพฤติชั่วด้วยกาย วาจา ใจ (ไม่ทำชั่ว)
- ประกอบสุจริต คือ ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ (ทำแต่ความดี)
- ทำจิตใจของตนให้หมดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง มีโลภ โกรธ หลง (ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว)

พระคาถาที่ 3 (กับอีกครึ่งพระคาถา) ว่าด้วย “วิธีการ”
พระองค์ทรงแสดงถึงปฏิปทา คือ ข้อปฏิบัติของพระสงฆ์สาวก 6 ประการ คือ
- ห้ามมิให้ว่าร้ายผู้อื่น
- ห้ามมิให้เบียดเบียนผู้อื่น
- ต้องสำรวมในพระปาติโมกข์ คือ ไม่ล่วงละเมิดในสิกขาบทบัญญัติ
- ต้องรู้จักประมาณในการแสวงหา และในการบริโภคใช้สอย
- ควรอยู่ในสถานที่อันสงบเงียบ
- ประกอบความเพียรในอธิจิต คือ ชำระจิตให้ปราศจากนิวรณ์ เพื่อให้เกิดมีสมาธิและปัญญา รู้เท่าทันความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในที่สุด

หลังจากที่พระองค์ ได้ตรัสรู้และสั่งสอนพระธรรมมาเป็นระยะเวลา 45 ปี พระองค์ทรงปลงมายุสังขาร คือ ตั้งพระทัยว่า "ต่อแต่นี้ไปอีก 3 เดือน เราจักเสด็จดับขันธปรินิพพาน" การปลงอายุสังขาร ตรงกับวันมาฆบูชาในปีที่พระพุทธองค์มีพระชนมายุ 80 พระชันษา

ในวันมาฆบูชา ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า รวม 2 ประการ คือ เป็นวันที่แสดงโอวาทปาติโมกข์ และ เป็นวันปลงอายุสังขาร

ดังที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้เคยปรารภและรับสั่งว่า ถ้าจะถือว่ามีวันแห่งความรัก ก็ต้องถือว่า วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรักที่สูงส่งบริสุทธิ์ในพระพุทธศาสนา

ก็ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่าน หาโอกาสในวันพรุ่งนี้ ทำบุญตักบาตรในตอนเช้า ไปวัดรับศีล ฟังเทศน์ตอนกลางวัน และไปเวียนเทียนรอบโบสถ์ในเวลาเย็น เพื่อสร้างกุศลและเป็นสิริมงคลให้แก่ตนเองและครอบครัวโดยถ้วนหน้ากันครับ...(จากคอลัมน์ หน้าต่าง CSR)

No comments: