มีหลายเหตุผลที่สนับสนุนให้องค์กรธุรกิจดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR กับผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่างๆ ที่มาเกี่ยวข้อง หรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานขององค์กร
ในแง่หลักการ องค์กรจำเป็นต้องพิจารณาว่า ใครเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องกับองค์กรบ้าง มีผลกระทบใดที่หากองค์กรไม่ดำเนินการป้องกันหรือแก้ไขแล้ว จะมีแนวโน้มที่ก่อให้เกิดข้อร้องเรียน ข้อพิพาท หรือปัญหาในวันข้างหน้า การคิดทำ CSR ในรูปแบบนี้ มักจะเรียกว่าเป็นแบบ Responsive CSR คือ เป็นการมุ่งตอบสนองต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น หรือที่ยังไม่เกิด แต่คาดว่าจะก่อให้เกิดเป็นประเด็นปัญหาขึ้นระหว่างองค์กรกับผู้มีส่วนได้เสียนั้นๆ
เมื่อองค์กรเริ่มเรียนรู้และมีพัฒนาการในการทำ CSR มากขึ้น ก็จะเริ่มตั้งโจทย์ที่ท้าทายและน่าสนใจยิ่งขึ้นว่า จะนำเอาเรื่อง CSR มาสนับสนุนการทำธุรกิจ หรือใช้เป็นกลยุทธ์ในทางธุรกิจ โดยมิได้จำกัดวงแค่การพิจารณาเรื่องการจัดการกับผลกระทบ แต่เป็นเรื่องการส่งมอบคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียที่องค์กรสามารถสร้างขึ้นเพิ่มเติมได้อย่างไร แนวคิดนี้ ก่อให้เกิดรูปแบบของการคิดทำ CSR ที่เรียกว่า Strategic CSR คือ เป็นการมุ่งสร้างให้เกิดคุณค่าระหว่างองค์กรกับผู้มีส่วนได้เสีย จากการใช้ความสามารถทางธุรกิจตอบสนองต่อประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่องค์กรเลือกมาดำเนินการ
ปัจจุบัน การทำ CSR ของภาคธุรกิจส่วนใหญ่ อยู่ภายใต้สองรูปแบบดังที่กล่าวมา ซึ่งในองค์กรหนึ่งๆ จะมีอยู่ทั้งสองรูปแบบ โดยแบบแรก เป็นความจำเป็นที่องค์กรต้องดำเนินการ หากองค์กรไม่ต้องการมีปัญหากับสังคม โดยมีโจทย์เรื่องผลกระทบเป็นตัวตั้ง ส่วนแบบที่สอง เป็นทางเลือกที่องค์กรสามารถดำเนินการ หากต้องการสร้างโอกาสทางการตลาดในสังคมเพิ่มเติม โดยมีโจทย์เรื่องคุณค่าเป็นตัวตั้ง
ในความเป็นจริง ที่เป็นภาคปฏิบัติการทำ CSR ขององค์กร แม้จะเป็นไปตามหลักการดังว่า แต่มีหลายองค์กรที่นำไปดัดแปลง บิดเบือน จะด้วยความที่ไม่เข้าใจก็ดี หรือเจตนาที่จะลดภาระงาน ลดงบประมาณก็ดี จนทำให้ผิดเพี้ยนไปจากโจทย์เดิมมาก ช่องว่างระหว่างหลักการและการทำจริงจึงเกิดมีขึ้น และกลายเป็นประเด็นด้านความน่าเชื่อถือและความสำเร็จในการทำ CSR ของภาคเอกชน
การบิดเบือนในรูปแบบแรกที่เป็น Responsive CSR จากการทำเพื่อตอบสนองต่อผลกระทบ กลายมาเป็นการทำเพื่อไม่ให้โดนต่อว่า ใช้การประชาสัมพันธ์หรือกิจกรรมเพื่อสังคมกลบเกลื่อน หรือเบี่ยงเบนความสนใจ แทนการมุ่งป้องกัน ปรับปรุง แก้ไขที่เหตุและผลกระทบของเรื่องนั้นๆ
ตัวอย่างที่มีให้เห็นอยู่เนืองๆ เช่น องค์กรดำเนินโรงงานที่ปล่อยมลอากาศ น้ำทิ้ง และของเสีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อชุมชน แต่มีการทำ CSR ด้วยการพาผู้นำชุมชนไปทัศนศึกษาดูโรงงาน เยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ หรือบริษัทแม่ในต่างประเทศ หรือมีกิจกรรมบริจาคทุน ข้าวของเครื่องใช้ หรือสาธารณสถานให้ชุมชน เป็นต้น
การบิดเบือนรูปแบบสองที่เป็น Strategic CSR จากการทำเพื่อสร้างคุณค่าร่วม กลายมาเป็นการทำเพื่อจะขายของ ใช้การตลาดหรือการส่งเสริมการขาย จูงใจหรือโน้มน้าวความสนใจในผลิตภัณฑ์และบริการที่มีอยู่ขององค์กร แทนการสร้าง พัฒนา และส่งมอบคุณค่าที่สังคมได้ประโยชน์จริงๆ
ตัวอย่างในกรณีนี้ ได้แก่ องค์กรใช้ความเชี่ยวชาญในธุรกิจอาหารเสริมสุขภาพ ดำเนินการรณรงค์ให้ผู้บริโภคห่วงใยในสุขภาพและโภชนาการ โดยมีการแนะนำ ให้ทดลอง รับสมัครสมาชิก เพื่อซื้อหาและจำหน่ายสินค้าของบริษัท คล้ายกับการใช้รถเร่ฉายหนังขายยาสมัยก่อน
จะเห็นว่า ความสำเร็จและความน่าเชื่อถือของการทำ CSR ที่ทุกองค์กรต่างปรารถนาให้เกิดขึ้นนั้น อยู่ที่ตัวองค์กรเองในการนำมาปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการและตอบให้ตรงกับโจทย์ที่ต้องการ ไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยแนวคิดใหม่หรือหลักการใหม่ นอกเหนือจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน
การที่มีองค์กรพยายามจะยกระดับการทำ CSR ให้เหนือกว่าที่เป็นอยู่ หรือให้มีความโดดเด่นกว่าองค์กรอื่น ด้วยการสร้างสรรค์คำใหม่ หรือวลีใหม่ๆ มองอีกนัยหนึ่ง ก็อาจตีความได้ว่า องค์กรนั้นกำลังใช้การสื่อสารหรือการสร้างภาพลักษณ์ในเรื่อง CSR เพื่อกลบเกลื่อนหรือเบี่ยงเบนความสนใจในสิ่งที่องค์กรกำลังสร้างผลกระทบต่อสังคมอยู่ก็เป็นได้
เหตุผลของการทำ CSR ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ และที่ปรากฎในตำราวิชา CSR มีอยู่มากมายหลายประการ แต่เหตุผลที่องค์กรทำ CSR ในความเป็นจริงนั้น มีอยู่ไม่กี่ประการ...(จากคอลัมน์ หน้าต่าง CSR) [Archived]
Thursday, July 04, 2013
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment