tag:blogger.com,1999:blog-36953293045053225242024-03-27T13:35:01.865+07:00พิพัฒน์ ยอดพฤติการ(www.pipat.com)นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.comBlogger578125tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-68984621180168114842024-03-23T11:46:00.001+07:002024-03-23T11:46:01.514+07:00ตลาดข้อมูล ESG โตไม่หยุด ไต่ระดับขึ้น 2 พันล้านเหรียญ<blockquote><b>แม้คำว่า ESG ได้พัฒนากลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองในสหรัฐ แต่ก็มิได้ทำให้นัยของเรื่อง ESG ด้อยความสำคัญลง ตรงกันข้าม ในปี ค.ศ. 2024 เราได้เห็นวิวัฒนาการอีกขั้นของการลงทุนโดยใช้ปัจจัย ESG ที่อวตารมาเป็น “การลงทุนเพื่อการปรับเปลี่ยน”</b></blockquote><br />
ตัวเลขการสำรวจของ<a href="https://www.opimas.com/research/982/detail/" target="_blank">ออพิมัส</a> ที่ปรึกษาด้านการจัดการลงทุนในตลาดทุนทั่วโลก ระบุว่า ขนาดของตลาดข้อมูล ESG (Environmental, Social and Governance) จะมีมูลค่าเกิน 2 พันล้านเหรียญในปีนี้ จากที่เพิ่งทำสถิติที่ระดับ 1 พันล้านเหรียญ ในปี ค.ศ. 2021 หรือเมื่อสามปีที่แล้ว<br /><br />
ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยเฉพาะอัตราการเติบโตเทียบปีต่อปี (YoY) ของตลาดข้อมูลวิจัยและบทวิเคราะห์ ESG ในปี ค.ศ. 2021 และปี ค.ศ. 2022 ที่มีอัตราสูงถึง 62% และ 42% เป็นผลพวงมาจากการออกข้อบังคับว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลการเงินที่ยั่งยืน (SFDR) ของสหภาพยุโรป ซึ่งถือเป็นจุดชนวนสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของตลาดข้อมูล ESG<br /><br />
สำหรับอัตราการเติบโตเทียบปีต่อปี (YoY) ของตลาดข้อมูล ESG ในปีที่ผ่านมา (ค.ศ. 2023) อยู่ที่ 17% โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.9 พันล้านเหรียญ และคาดว่าจะเติบโตอีก 14% ในปีนี้ โดยแบ่งเป็นการเติบโตของตลาดข้อมูลวิจัยและบทวิเคราะห์ ESG ที่ 12% และการเติบโตของตลาดข้อมูลดัชนี ESG ที่ 19%<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh32lE97bP9dpec3MUASjwViqoJdFeaMPo5yoxmB_Wq9H35SjkVn5llNr8ecqCMh9LI9rBCFYfUHV5DYI2lq9SpFgYlcjDmZNpJYJnJWV-xglxVGfyi0ITRpTpQzYnqJQ2V-IyMK7YVGYoq97lv5tNoqecOE5doOdqTC6-LWXbnuTu7PRi_34eHagQ5Bw0b/s2342/ESG_Data_Market_Sizing.jpg" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="1746" data-original-width="2342" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh32lE97bP9dpec3MUASjwViqoJdFeaMPo5yoxmB_Wq9H35SjkVn5llNr8ecqCMh9LI9rBCFYfUHV5DYI2lq9SpFgYlcjDmZNpJYJnJWV-xglxVGfyi0ITRpTpQzYnqJQ2V-IyMK7YVGYoq97lv5tNoqecOE5doOdqTC6-LWXbnuTu7PRi_34eHagQ5Bw0b/s600/ESG_Data_Market_Sizing.jpg"/></a></div>
จะเห็นว่า นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 ที่ตลาดข้อมูล ESG มีมูลค่าอยู่เพียง 305 ล้านเหรียญ ได้มีการเติบโตเทียบปีต่อปีเพิ่มขึ้นในอัตราที่เป็นเลขสองหลักมาโดยตลอด โดยโตสูงสุดถึง 59% ในปี ค.ศ. 2021 (ปีที่ SFDR ประกาศใช้) และในปีปัจจุบัน คาดการณ์ว่าจะมีตัวเลขมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2.1 พันล้านเหรียญ<br /><br />
ในฟากของประเทศสหรัฐอเมริกา คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ที่เพิ่งผ่านการอนุมัติหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศสำหรับบรรษัทขนาดใหญ่ กำลังจะพิจารณาผ่านร่างหลักเกณฑ์การรายงานสำหรับกองทุน ESG หรือเป็นการเปิดเผยข้อมูล ESG สำหรับผู้แนะนำการลงทุนและบริษัทจัดการลงทุน ซึ่งหลักเกณฑ์หลังนี้ คาดหมายว่าจะเป็นตัวเร่งทำให้เกิดความต้องการในข้อมูล ESG ยิ่งขึ้นจากเดิม แม้หลักเกณฑ์แรก จะยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านกฎหมายอยู่ก็ตาม<br /><br />
ทั้งกรณีการออกหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศของ ก.ล.ต. สหรัฐ และข้อกำหนดการรายงานข้อมูลความยั่งยืนของกิจการ (CSRD) ของสหภาพยุโรป ได้ส่งผลให้เกิดยอดใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับซอฟต์แวร์และบริการด้านการรายงานข้อมูล ESG และสร้างโอกาสการขยายตัวแนวดิ่งของบรรดาผู้ค้าข้อมูล ESG อย่างมีนัยสำคัญ<br /><br />
นอกจากพัฒนาการด้านกฎระเบียบที่กระตุ้นให้เกิดการเติบโตของตลาดข้อมูล ESG แล้ว การครอบงำและการควบรวมกิจการ (M&A) ระหว่างผู้ให้บริการข้อมูล ESG ยังคงดำเนินไปต่อเนื่อง ทั้งในแบบที่เป็นการยุบรวมระหว่างผู้ค้าในแนวราบ และในแบบที่เป็นการผนวกกิจการในแนวดิ่ง ที่ซึ่งธุรกิจข้อมูล ESG ควบรวมกับกิจการข้อมูลดัชนี หรือกับผู้ให้บริการรายงานข้อมูลกองทุน ฯลฯ<br /><br />
แม้คำว่า ESG ได้พัฒนากลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา แต่ก็มิได้ทำให้นัยของเรื่อง ESG ด้อยความสำคัญลง ตรงกันข้าม ในปี ค.ศ. 2024 เราได้เห็นวิวัฒนาการอีกขั้นของการลงทุนโดยใช้ปัจจัย ESG ที่อวตารมาเป็น <b>“การลงทุนเพื่อการปรับเปลี่ยน” (Transition Investing)</b> อีกหนึ่งภาค<br /><br />
จึงเป็นไปได้สูงที่ ยอดการลงทุนในหมวด ESG ซึ่งแสดงตัวเลขขนาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหารที่ลดลงมามากในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้ถูกถ่ายโอนไปอยู่ในหมวดการลงทุนเพื่อการปรับเปลี่ยนแทน<br /><br />
<i>(หมายเหตุ: ตัวเลขการลงทุนที่ยั่งยืนในสหรัฐอเมริกา ลดลงจาก 17.1 ล้านล้านเหรียญ มาอยู่ที่ 8.4 ล้านล้านเหรียญ หรือลดลงกว่าร้อยละ 50 ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.2020-2022 จากการรวบรวมของ <a href="https://www.gsi-alliance.org/members-resources/gsir2022/" target="_blank">GSIA</a>)</i>
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1119023" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaiesg.blogspot.com/2024/03/esg-2.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-43336984627488459672024-03-09T15:03:00.004+07:002024-03-09T15:03:31.695+07:00เมื่อ ESG กลายเป็น License to Earnนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ที่องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) หยิบเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ (CSR) ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจในวงกว้างขณะนั้น มายกร่างเป็นมาตรฐานแนวทางความรับผิดชอบต่อสังคม ISO 26000 โดยมีภาคสังคมร่วมผลักดัน (Social-driven) เพื่อให้ภาคธุรกิจมีการประกอบการอย่างรับผิดชอบ จนเป็นที่มาของคำว่า <b>License to Operate</b><br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXMZEVB8OOm-dXeP-A6lFaRi-vjH1MTD6R_QIDjrWG-D4ZdGD71MQR7kRdon7lqumi5jcBReksnC1zUL62Rr1DT5aVhJkaMSnZ5gmzmsXehjmy-qLNmJDWA-5wb9_pnGrORVasRt_2SjA7503w-0GNmZ9iqzVf8Z_qyA6_BUWHQ-baDiPYXMkyZ3GmwSIk/s1365/journey-of-business.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="792" data-original-width="1365" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXMZEVB8OOm-dXeP-A6lFaRi-vjH1MTD6R_QIDjrWG-D4ZdGD71MQR7kRdon7lqumi5jcBReksnC1zUL62Rr1DT5aVhJkaMSnZ5gmzmsXehjmy-qLNmJDWA-5wb9_pnGrORVasRt_2SjA7503w-0GNmZ9iqzVf8Z_qyA6_BUWHQ-baDiPYXMkyZ3GmwSIk/s600/journey-of-business.png"/></a></div>
CSR เป็นการนำข้อพิจารณาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมมาประกอบการตัดสินใจ และพร้อมรับผิดชอบในผลกระทบที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการตัดสินใจและการดำเนินงานดังกล่าว ด้วยความโปร่งใสและการปฏิบัติอย่างมีจริยธรรมอันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้กฎหมายและหลักปฏิบัติที่เป็นบรรทัดฐานสากล และมีลักษณะเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมที่ถูกบูรณาการอยู่ในการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กร โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์และประโยชน์ที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสียของกิจการ (ISO26000, 2010)<br /><br />
รูปแบบการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ ได้แก่ การกำกับดูแลองค์กร การปฏิบัติด้านแรงงาน ด้านสิทธิมนุษยชน การปฏิบัติดำเนินงานอย่างเป็นธรรม การดูแลผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการตัดสินใจและการดำเนินงานขององค์กรทั้งในแง่ของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ มลภาวะและของเสีย ผลกระทบจากการดำเนินงานขององค์กรต่อความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงความรับผิดชอบในตัวผลิตภัณฑ์และบริการที่มีต่อผู้บริโภค ตลอดจนการมีส่วนร่วมและพัฒนาชุมชน เป็นต้น<br /><br />
ถัดจากนั้น ในปี ค.ศ. 2011 กระแสของการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อผลกระทบทางลบที่เกิดจากการประกอบการ ได้ขยายวงไปสู่การขับเคลื่อนธุรกิจที่สามารถส่งผลกระทบทางบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบของการสร้างคุณค่าร่วม (CSV) ที่คำนึงถึงการเติบโตทางธุรกิจและความก้าวหน้าทางสังคมควบคู่กัน โดยมีตลาดเป็นตัวขับ (Market-driven) จนเกิดเป็นคำว่า <b>License to Grow</b><br /><br />
CSV เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ผสานการดำเนินงานเพื่อสร้างให้เกิดผลลัพธ์ในเชิงพาณิชย์ ควบคู่กับผลประโยชน์ที่สังคมกลุ่มเป้าหมายได้รับ ก่อให้เกิดเป็นความสำเร็จทางธุรกิจและความก้าวหน้าทางสังคมไปพร้อมกัน หรืออีกนัยหนึ่ง CSV คือ บทบาทของภาคธุรกิจที่จะร่วมพัฒนาสังคมด้วยการนำทรัพยากรและความเชี่ยวชาญหลักขององค์กรมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการสร้างคุณค่าร่วมระหว่างองค์กรและสังคมควบคู่ไปพร้อมกัน (Michael Porter and Mark Kramer, 2011)<br /><br />
ตัวอย่างของการสร้างคุณค่าร่วม ได้แก่ การออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ ในลักษณะที่ส่งเสริมการดูแลสุขภาพ เช่น การออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีการปรุงแต่งน้อย เพื่อป้องกันมิให้เจ็บป่วย โดยจะได้รับส่วนลดเบี้ยกรมธรรม์กรณีไม่เจ็บป่วย ซึ่งต่างจากกรมธรรม์ประกันสุขภาพทั่วไปที่เน้นให้สิทธิคุ้มครองการเข้ารับการรักษาพยาบาลหลังเจ็บป่วย และเสี่ยงต่อการถูกเพิ่มเบี้ยจากการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ทำให้กรมธรรม์ประเภทส่งเสริมสุขภาพถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างคุณค่าร่วมทั้งแก่ ผู้ถือกรมธรรม์ (ที่ลดโอกาสเจ็บป่วย) สังคม (ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข) และบริษัทผู้ออกกรมธรรม์ (ที่มีแนวโน้มการจ่ายค่าสินไหมทดแทนลดลง)<br /><br />
และในปี ค.ศ. 2021 ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่ริเริ่มนำมาใช้โดยกลุ่มผู้ลงทุน (Investor-driven) สำหรับเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุน ได้ยกระดับไปสู่การออกเป็นข้อบังคับว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลการเงินที่ยั่งยืน (SFDR) โดยรัฐสภายุโรป ที่กำหนดให้ผู้ออกผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนที่เข้าเกณฑ์ ต้องรายงานข้อมูลความยั่งยืนให้ผู้ลงทุนรับทราบ โดยมีผลบังคับใช้ในปี ค.ศ. 2023 ที่ผ่านมา<br /><br />
ข้อบังคับ SFDR (Sustainable Finance Disclosures Regulation) ในมาตรา 6 ระบุให้มีการเปิดเผยข้อมูลการบูรณาการความเสี่ยงด้านความยั่งยืนในการตัดสินใจลงทุน และข้อมูลผลกระทบจากความเสี่ยงด้านความยั่งยืนที่มีต่อผลตอบแทนการลงทุน ส่วนในมาตรา 8 ระบุให้มีการเปิดเผยข้อมูลการส่งเสริมลักษณะเฉพาะด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมในผลิตภัณฑ์ทางการลงทุน และข้อมูลการปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีในบริษัทที่เข้าลงทุน ขณะที่ในมาตรา 9 กำหนดให้เปิดเผยข้อมูลที่ระบุว่าการลงทุนที่ยั่งยืนเป็นวัตถุประสงค์และต้องมีการกำหนดดัชนีชี้วัดที่ใช้บรรลุวัตถุประสงค์โดยอธิบายให้เห็นถึงวิธีและเหตุผลซึ่งใช้บรรลุวัตถุประสงค์ที่แตกต่างจากดัชนีชี้วัดทั่วไปในตลาด<br /><br />
การดำเนินงานตามมาตรา 6 ถือเป็นประโยชน์ขั้นต้นที่เกิดกับผู้ลงทุนในการได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการพิจารณา ESG เป็นปัจจัยนำเข้า ส่วนการดำเนินงานตามมาตรา 8 ถือเป็นประโยชน์ขั้นกลางที่เกิดกับกิจการในการได้รับเม็ดเงินลงทุนจากการที่บริษัทให้ความสำคัญกับปัจจัย ESG ในธุรกิจ ขณะที่การดำเนินงานตามมาตรา 9 ถือเป็นประโยชน์ขั้นปลายที่เกิดกับสังคมและสิ่งแวดล้อมในการได้รับผลกระทบทางบวกจากการนำเอาปัจจัย ESG มาเป็นวัตถุประสงค์ของการลงทุนและผลักดันให้บริษัทที่เข้าลงทุนดำเนินการด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง<br /><br />
ทำให้จากนี้ไปเราจะได้เห็นกิจการที่ใส่ใจดูแลผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม จะนำเรื่อง ESG มาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย ในลักษณะที่เสริมกับการสร้างการเติบโตและเพิ่มผลิตภาพของกิจการ โดยยังส่งผลต่อมูลค่าของกิจการในทิศทางที่ตอบโจทย์ผู้ลงทุน เสมือนเป็น <b>License to Earn</b> หรือใบอนุญาตรับผลตอบแทนหรือเงินลงทุนจากการประกอบธุรกิจโดยใส่ใจเรื่อง ESG ในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/biz-bizweek/1116910" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaiesg.blogspot.com/2024/03/esg-license-to-earn.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>
นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-69157562301339616812024-02-24T08:42:00.005+07:002024-03-06T10:15:01.085+07:00มาตรวัดความยั่งยืน: จาก ESG Rating สู่ ESG Premium<blockquote><b>พัฒนาการของการประเมิน ESG ได้ยกระดับไปอีกขั้น จากเครื่องมือ ESG Rating หรือการจัดระดับความยั่งยืนด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ มาสู่การใช้เครื่องมือ ESG Premium</b></blockquote><br />
ปัจจุบัน การประเมินข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance) หรือ ESG Rating ของกิจการ ได้กลายเป็นชุดข้อมูลที่จำเป็นสำหรับผู้ลงทุน นอกเหนือจากข้อมูลทางการเงิน ในการใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุน<br /><br />
ในรายงาน <b>Rate the Raters 2023: ESG Ratings at a Crossroads</b> ที่จัดทำโดย SustainAbility Institute ระบุว่า แหล่งข้อมูล ESG จำนวน 6 แหล่ง ที่นิยมใช้ในการตัดสินใจลงทุน เมื่อเปรียบเทียบผลสำรวจระหว่างปี ค.ศ. 2018/19 กับ ค.ศ. 2022 มีแหล่งข้อมูลเดียว คือ In-house Research ที่มีอัตราเพิ่มขึ้นจาก 41% เป็น 53% ขณะที่การใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่นอีก 5 แหล่ง มีอัตราลดลงทั้งหมด<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIiKb4I1gchyphenhyphenRc7kSfLOzRE8F_oE7uxnLtMLnfMc3r79WoRMSUgyuhm3jumBEdGMtrjxZdEYJDwm5v7HgnGHP0pwGpRMgxdrgqEIb4MpH3X7Wqe6Z3kUJHP78N9vYFmSXGVvvkNhiCIl6I0ET0ecXqvqMIDTl_K7QgDLvb9q3DPDiEJK-D65keozDFepnb/s696/Most-ESG-Data-Common-Sources.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="669" data-original-width="696" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIiKb4I1gchyphenhyphenRc7kSfLOzRE8F_oE7uxnLtMLnfMc3r79WoRMSUgyuhm3jumBEdGMtrjxZdEYJDwm5v7HgnGHP0pwGpRMgxdrgqEIb4MpH3X7Wqe6Z3kUJHP78N9vYFmSXGVvvkNhiCIl6I0ET0ecXqvqMIDTl_K7QgDLvb9q3DPDiEJK-D65keozDFepnb/s600/Most-ESG-Data-Common-Sources.png"/></a></div>
สาเหตุหลักเนื่องมาจากแต่ละสำนักประเมินต่างก็มีระเบียบวิธีที่ใช้ประเมินเป็นของตนเอง ทำให้ผลประเมินที่ได้ มีความแตกต่างหลากหลาย ไม่ได้มีสหสัมพันธ์ระหว่างกัน ขณะที่การเปิดเผยข้อมูลโดยกิจการผ่านทางรายงานแห่งความยั่งยืนก็มีความน่าเชื่อถือที่ลดลง ทำให้ผู้ลงทุนสถาบันไว้วางใจในผลการจัดระดับ (Ratings) และการจัดอันดับ (Rankings) โดยสำนักประเมิน รวมทั้งการเปิดเผยข้อมูล (Disclosures) โดยกิจการ ลดน้อยถอยลง<br /><br />
<b>จึงเป็นที่มาว่า ผู้ลงทุนเริ่มหันมาพึ่งพาแหล่งข้อมูลภายในจาก In-house Research ในอัตราที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ</b><br /><br />
สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ และได้จัดตั้งหน่วยงาน ESG Rating ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2557 เพื่อทำการประเมินข้อมูลด้าน ESG ของบริษัทจดทะเบียน นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ได้พัฒนาเครื่องมือ ESG Premium ขึ้น สำหรับวัดมูลค่าความยั่งยืนของกิจการในเชิงปริมาณ เพื่อใช้ประกอบการวิเคราะห์และคัดเลือกหลักทรัพย์ตามเป้าหมายการลงทุนอย่างยั่งยืนที่ต้องการบรรลุ<br /><br />
ในการคำนวณ ESG Premium จะใช้ข้อมูล ESG Score ที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ มาดำเนินการทางคณิตศาสตร์กับข้อมูล ESG Portion ที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ เพื่อหาส่วนล้ำทางมูลค่า (Premium) ในผลตอบแทนจากการลงทุนของแต่ละหลักทรัพย์ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถใช้ค่า ESG Premium ในการเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่เกิดจากปัจจัย ESG ในรูปของตัวเลขทางการเงินระหว่างกิจการที่ไปลงทุนได้<br /><br />
ตัวอย่างเช่น บริษัท A มีตัวเลข ESG Premium อยู่ที่ 6% และบริษัท B มีตัวเลข ESG Premium อยู่ที่ 4% หมายความว่า ในมูลค่าการลงทุน 100 บาท บริษัท A และบริษัท B มีส่วนล้ำทางมูลค่าจากปัจจัย ESG อยู่จำนวน 6 บาท และ 4 บาทตามลำดับ ทำให้ผู้ลงทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่ยั่งยืน สามารถใช้ตัวเลข ESG Premium พิจารณาเลือกลงทุนในหุ้น A มากกว่าหุ้น B เนื่องจากผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่สะท้อนในผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัท A มีมูลค่าที่สูงกว่าบริษัท B<br /><br />
<b>การพัฒนาเครื่องมือ ESG Premium ถือเป็นมิติใหม่แห่งการประเมินมูลค่าความยั่งยืนของกิจการ ที่ผู้ลงทุนสามารถใช้ในการเปรียบเทียบว่าหลักทรัพย์ตัวใดในพอร์ตการลงทุน ที่ให้ Premium จากปัจจัย ESG ได้สูงกว่าหรือต่ำกว่าหลักทรัพย์ตัวอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถปรับสัดส่วนและน้ำหนักการลงทุนระหว่างหลักทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ต ตามวัตถุประสงค์การลงทุนที่เกี่ยวกับความยั่งยืนได้อย่างตรงจุด</b><br /><br />
บริษัทจัดการกองทุนรวมที่มีการดูแลบริหารกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน สามารถนำเครื่องมือ ESG Premium ไปใช้เป็นตัวช่วยในการติดตามตรวจสอบการลงทุน เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนของกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืนสอดคล้องกับหลักการด้านความยั่งยืนตามที่สากลยอมรับ รวมทั้งใช้เป็นเครื่องมือเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมที่ให้ภาพเชิงลึกกว่าการอ้างอิงดัชนีชี้วัดที่มีองค์ประกอบเป็นหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน<br /><br />
ทั้งนี้ เครื่องมือ ESG Premium ที่ถูกพัฒนาขึ้น ยังมุ่งตอบโจทย์การลงทุนที่ยั่งยืนในผลิตภัณฑ์ทางการเงิน (อาทิ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล กองอีทีเอฟ กองทรัสต์) ที่มีคุณลักษณะสอดคล้องกับมาตรา 9 ในข้อบังคับว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลการเงินที่ยั่งยืน (SFDR) ของสหภาพยุโรป ซึ่งเริ่มมีผลบังคับให้ต้องเปิดเผยในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2023 (สำหรับรอบบัญชีปี ค.ศ. 2022) เป็นต้นมา<br /><br />
<b>พัฒนาการของการประเมิน ESG ได้ยกระดับไปอีกขั้น จากเครื่องมือ ESG Rating หรือการจัดระดับความยั่งยืนด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ มาสู่การใช้เครื่องมือ ESG Premium หรือการคำนวณมูลค่าความยั่งยืนด้วยการวิเคราะห์เชิงปริมาณที่เสริมการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ เพื่อเพิ่มมิติข้อมูลแก่ผู้ลงทุนที่ใช้ปัจจัยด้าน ESG สำหรับประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกว่าเดิม</b>
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1114679" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaiesg.blogspot.com/2024/02/esg-rating-esg-premium.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-75925310767744157232024-02-10T11:13:00.003+07:002024-02-10T11:13:28.312+07:00เหรียญ 2 ด้านของความยั่งยืน<blockquote><b>ประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีกิจการอยู่ในห่วงโซ่อุปทานโลก จะต่างทยอยปรับมาตรฐานและแนวทางด้านความยั่งยืนในประเทศของตน ให้สอดคล้องกับมาตรฐานในระดับภูมิภาค เพื่อให้สามารถค้าขายและส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญ ๆ</b></blockquote><br />
ปัจจุบัน เราได้ยินภาคเอกชนออกมาสื่อสารกันอย่างแข็งขันว่า องค์กรของตนมุ่งมั่นและดำเนินกิจการโดยยึดโยงเรื่องความยั่งยืนเป็นที่ตั้ง มีการพูดถึงและบรรจุเรื่องความยั่งยืนไว้ทั้งในระดับนโยบาย แผนงาน กลยุทธ์ และตัววัดในแต่ละขั้นตอนการดำเนินงาน รวมทั้งการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานในรูปแบบเฉพาะเจาะจงที่เรียกกันว่า รายงานแห่งความยั่งยืน ซึ่งมีการจัดทำเป็นรายปี เหมือนกับรายงานประจำปี<br /><br />
สิ่งที่เป็นคำถามซึ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ไม่แพ้กับกระแสนิยมเรื่องความยั่งยืน คือ ธุรกิจส่วนใหญ่ที่นำเรื่องความยั่งยืนมาดำเนินการนั้น มุ่งตอบโจทย์ความยั่งยืนของใคร เป็นความยั่งยืนในส่วนตัวกิจการเอง หรือเป็นความยั่งยืนของส่วนรวม<br /><br />
ไม่ปฏิเสธว่า องค์กรธุรกิจย่อมต้องพิจารณาประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่ตอบสนองต่อความยั่งยืนของกิจการและความยั่งยืนของส่วนรวมควบคู่ไปพร้อมกัน แต่สิ่งที่ควรพิจารณาต่อ คือ การให้น้ำหนักความสำคัญของการดำเนินการระหว่างประเด็นความยั่งยืนของกิจการและประเด็นความยั่งยืนของส่วนรวม<br /><br />
<b>เครื่องมือที่องค์กรใช้ในการพิจารณาให้น้ำหนักความสำคัญของการดำเนินการประเด็นความยั่งยืน เรียกว่า การวิเคราะห์สารัตถภาพ (Materiality Analysis) ซึ่งเป็นการค้นหาและระบุประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญที่บริษัทจำเป็นต้องดำเนินการ อันถือเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน</b><br /><br />
ซึ่งหากองค์กรนำเครื่องมือดังกล่าวมาใช้ดำเนินการ โดยมิได้สะท้อนประเด็นสาระสำคัญในทั้งสองส่วน ก็หมายความว่า การดำเนินงานขององค์กรตามที่ตั้งใจ อาจมิได้ตอบโจทย์ความยั่งยืนตามที่ควรจะเป็น<br /><br />
จึงเป็นที่มาของการวิเคราะห์ประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญในรูปแบบของ <b>ทวิสารัตถภาพ (Double Materiality)</b> ที่ประกอบด้วย การพิจารณาที่ผนวกการวิเคราะห์สารัตถภาพทางการเงินที่เป็นผลจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (แบบ Outside-in) เข้ากับการวิเคราะห์สารัตถภาพเชิงผลกระทบที่เกิดจากองค์กรทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (แบบ Inside-out)<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-sjgFD4ug8VJurOS2b4BTi4w23VdkB7_Iyem1KZjXdaMThqy6z48e_IkBfJVkCE5xfDe2QIUaBX8YPK-UH4LODU6eWkbNGQv4-RioZAvz7kaFwMTl85SwH9KHnHaEWoW9BSHsQxtoKjY5G-JDEbcVRGLJi-ZjWJFuwaeq-uKI6cirWZzaeiChzRjrQd__/s1268/double-materiality-perspective-th.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="688" data-original-width="1268" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-sjgFD4ug8VJurOS2b4BTi4w23VdkB7_Iyem1KZjXdaMThqy6z48e_IkBfJVkCE5xfDe2QIUaBX8YPK-UH4LODU6eWkbNGQv4-RioZAvz7kaFwMTl85SwH9KHnHaEWoW9BSHsQxtoKjY5G-JDEbcVRGLJi-ZjWJFuwaeq-uKI6cirWZzaeiChzRjrQd__/s600/double-materiality-perspective-th.png"/></a></div>
สารัตถภาพที่ได้ตามการวิเคราะห์ทางการเงิน (Financial Materiality) จะเป็นข้อมูลส่วนที่สนองความต้องการของผู้ลงทุนและผู้ถือหุ้น (Shareholders) ที่มุ่งตอบโจทย์ความยั่งยืนของกิจการ ขณะที่สารัตถภาพที่ได้ตามการวิเคราะห์ผลกระทบ (Impact Materiality) จะเป็นข้อมูลส่วนที่สนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ที่มุ่งตอบโจทย์ความยั่งยืนโดยรวม<br /><br />
<b>การตอบโจทย์ความยั่งยืนทั้งในส่วนของกิจการและความยั่งยืนของส่วนรวม เปรียบเสมือนเหรียญสองด้านของความยั่งยืน ที่ต้องไปด้วยกัน ไม่สามารถละทิ้งด้านใดด้านหนึ่ง หรือเพิกเฉยต่อประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญของอีกด้านหนึ่งได้</b><br /><br />
อนึ่ง หลักการทวิสารัตถภาพ หรือ Double Materiality Principle ปรากฏอย่างเป็นทางการครั้งแรก ในเอกสารแนวทางการรายงานข้อมูลที่มิใช่ตัวเลขทางการเงิน: ส่วนเสริมของการรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปเป็นผู้เสนอ เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019<br /><br />
ทั้งนี้ คณะที่ปรึกษาการรายงานข้อมูลทางการเงินแห่งยุโรป (EFRAG) ได้เป็นผู้จัดทำร่างข้อกำหนดการรายงานข้อมูลความยั่งยืนของกิจการ (CSR Directive) รวมถึงหลักการทวิสารัตถภาพ ให้แก่คณะกรรมาธิการยุโรป เพื่อเสนอต่อสภายุโรปให้บังคับใช้ ซึ่งมีผลใช้บังคับสำหรับการรายงานในรอบบัญชี ปี ค.ศ. 2024 เป็นต้นไป<br /><br />
ทำให้บริษัทจดทะเบียนและบริษัทขนาดใหญ่ราว 50,000 แห่ง ที่เข้าเกณฑ์ของ CSR Directive ต้องเริ่มจัดทำรายงานความยั่งยืนตามหลักการทวิสารัตถภาพ และจะบังคับใช้กับบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม ตั้งแต่รอบบัญชี ปี ค.ศ. 2026 รวมทั้งสาขาของบริษัทนอกสหภาพยุโรปที่มีการดำเนินกิจการในสหภาพยุโรปซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ ตั้งแต่รอบบัญชี ปี ค.ศ. 2028 ตามลำดับ<br /><br />
และเป็นผลให้กิจการที่ต้องการยกระดับการรายงานความยั่งยืนให้สอดรับกับมาตรฐานสากล เนื่องจากมีการดำเนินการค้าขายหรือมีสาขากิจการอยู่ในสหภาพยุโรปซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ จะต้องริเริ่มเตรียมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนโดยมีการประเมินทวิสารัตถภาพที่สอดคล้องกับมาตรฐาน ESRS (European Sustainability Reporting Standards)<br /><br />
<b>และเป็นที่คาดหมายว่า ประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีกิจการอยู่ในห่วงโซ่อุปทานโลก จะต่างทยอยปรับมาตรฐานและแนวทางด้านความยั่งยืนในประเทศของตน ให้สอดคล้องกับมาตรฐานในระดับภูมิภาค เพื่อให้สามารถค้าขายและส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญ ๆ ของตนในภูมิภาคยุโรปได้อย่างราบรื่น</b>
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/biz-bizweek/1112534" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaiesg.blogspot.com/2024/02/2.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-85376968136916244572024-01-27T11:17:00.006+07:002024-01-27T11:17:51.754+07:00เพิ่มแต้มต่อในธุรกิจ ด้วยการเปิดเผยข้อมูล ESGหนึ่งในการดำเนินงานที่นำไปสู่ความยั่งยืน คือ การเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสแก่ผู้ที่สนใจหรือที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปของกิจการ อันได้แก่ บรรดาผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ของกิจการ<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s2000/pipat-sustainpreneur-25sep21.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="1125" data-original-width="2000" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s600/pipat-sustainpreneur-25sep21.png"/></a></div><br />
สาเหตุที่การเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสแก่ผู้มีส่วนได้เสียของกิจการ นำไปสู่ความยั่งยืน เนื่องเพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจที่พร้อมรับการซักถามและตรวจสอบ รวมทั้งข้อชี้แนะต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในทางที่ดีกับผู้มีส่วนได้เสียแต่ละกลุ่ม จนสามารถพัฒนาไปเป็นการสนับสนุนจากผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่าง ๆ ในที่สุด<br /><br />
โดยประโยชน์ที่กิจการจะได้รับจากการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส คือ การลดข้อพิพาทที่จะช่วยทั้งด้านทรัพยากรเวลา บุคลากร และงบประมาณที่สูญเสียไปกับการแก้ไขปัญหากับผู้มีส่วนได้เสีย ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่าย และมีเวลาในการมุ่งเน้นธุรกิจอย่างเต็มที่<br /><br />
สหพันธ์นักบัญชีระหว่างประเทศ (International of Federation of Accountants - IFAC) ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบสถานะการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนและการให้ความเชื่อมั่นในข้อมูลที่เปิดเผยของบริษัทจดทะเบียนใน 42 ประเทศ จำนวน 1,850 กิจการ เผยแพร่ในเอกสารชื่อว่า <b>The State of Play: Sustainability Disclosure & Assurance</b> เมื่อปี ค.ศ. 2023 ระบุว่า 95% ของกิจการที่สำรวจ (1,350 กิจการ) ในกลุ่มประเทศ G20 มีการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG และ 64% มีการให้ความเชื่อมั่นในข้อมูลที่เปิดเผย เทียบกับ 89% ของกิจการที่สำรวจ (500 กิจการ) นอกกลุ่มประเทศ G20 ที่มีการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG และ 48% ที่มีการให้ความเชื่อมั่นในข้อมูลที่เปิดเผย<br /><br />
กิจการที่เปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนจากผลสำรวจพบว่า ในกลุ่มประเทศ G20 มีการใช้หรืออ้างอิงมาตรฐาน GRI (Global Reporting Initiative) จำนวน 74% และผลสำรวจนอกกลุ่มประเทศ G20 มีจำนวน 79% โดยผลการสำรวจในประเทศไทย (จำนวน 25 กิจการ) มีการใช้หรืออ้างอิงมาตรฐาน GRI สูงถึง 96%<br /><br />
สำหรับผลสำรวจการให้ความเชื่อมั่นในข้อมูลที่เปิดเผยของกิจการในประเทศไทย 25 แห่ง โดย IFAC พบว่า ในปี ค.ศ. 2021 มีสัดส่วนอยู่ที่ 68% (เพิ่มขึ้นจาก 58% ในปี ค.ศ. 2020 และ 52% ในปี ค.ศ. 2019) โดยมาตรฐานการให้ความเชื่อมั่นที่ใช้อ้างอิงมากสุด ได้แก่ มาตรฐาน ISAE3000 (67%) รองลงมาเป็นมาตรฐาน AA1000 (44%) ตามลำดับ<br /><br />
ขณะที่ผลสำรวจข้อมูลสถานภาพความยั่งยืนของกิจการไทย จำนวน 904 แห่ง โดยสถาบันไทยพัฒน์ ในปี ค.ศ. 2023 พบว่า กิจการที่มีการจัดทำรายงานความยั่งยืนแยกเล่ม (จำนวน 172 แห่ง) มีการใช้หรืออ้างอิงมาตรฐาน GRI อยู่จำนวน 93% (เพิ่มขึ้นจาก 89% ในปี ค.ศ. 2022 และ 86% ในปี ค.ศ. 2021) และมีการให้ความเชื่อมั่นในข้อมูลที่เปิดเผยอยู่จำนวน 56 แห่ง หรือคิดเป็นสัดส่วน 33% (เพิ่มขึ้นจาก 31% ในปี ค.ศ. 2022 และ 24% ในปี ค.ศ. 2021)<br /><br />
ธุรกิจที่มีการรายงานข้อมูลอย่างโปร่งใส และยังสามารถเปิดเผยได้ตามมาตรฐานสากล จะได้รับการยอมรับทั้งจากหน่วยงานกำกับดูแล หน่วยงานภาครัฐ รวมถึงองค์กรผู้ประเมินทั้งในระดับประเทศและในต่างประเทศ ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือและเครดิตจากการดำเนินงานที่ปัจจุบันทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืน<br /><br />
โดยผลสำรวจของสถาบันไทยพัฒน์ในประเด็นด้านข้อปฏิบัติการเปิดเผยข้อมูล (Disclosure Practices) ในปี ค.ศ. 2023 ยังพบด้วยว่า ร้อยละ 74 ของกิจการที่อยู่ในทำเนียบ ESG100 มีคะแนนด้านข้อปฏิบัติการเปิดเผยข้อมูลที่โดดเด่น เมื่อเทียบกับกิจการทั้งหมดที่ได้รับการสำรวจ<br /><br />
นอกจากนี้ การให้ความเชื่อมั่นในข้อมูลที่เปิดเผย จะช่วยให้กิจการสามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องความเชื่อถือได้และคุณภาพของข้อมูลที่เปิดเผยในด้านการดำเนินงานความยั่งยืนของกิจการ ที่ไปเสริมหนุนการกำกับดูแล การตัดสินใจ และการจัดการความเสี่ยงองค์กรให้เกิดประสิทธิผล<br /><br />
กิจการที่ให้ความใส่ใจในเรื่องความยั่งยืน จะได้รับโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนที่มีต้นทุนต่ำ ในรูปของ GSSSB (Green, Social, Sustainable, and Sustainability-linked Bond) ซึ่ง S&P Global คาดการณ์ว่า ในปี ค.ศ. 2024 จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนราว 1 ล้านล้านเหรียญ (สรอ.)<br /><br />
ประโยชน์สำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน คือ การเพิ่มแต้มต่อในการเข้าถึงตลาดที่เน้นเรื่องการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ดังเช่นในภูมิภาคยุโรปที่มีการสร้างกลไกการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) หรือการออกข้อบังคับว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการทำลายป่า (EUDR) ทำให้ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานความยั่งยืน มีความได้เปรียบทางการแข่งขันเหนือกว่าธุรกิจปกติ ทั้งโอกาสการเพิ่มยอดขายในตลาดเดิม ไปจนถึงการเจาะตลาดใหม่ ๆ ที่นำไปสู่การเพิ่มผลประกอบการในระยะยาว
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1110367" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaiesg.blogspot.com/2024/01/esg.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-57212422119144260452024-01-13T12:34:00.005+07:002024-01-13T12:37:07.492+07:003 ความท้าทายและความเสี่ยง ESG ปี 2024<blockquote><b>มุมมองที่มีต่อเรื่อง ESG ของกิจการจึงมีความสำคัญ เพราะทางหนึ่ง สามารถนำไปสู่การสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับองค์กรบางกลุ่ม ในอีกทางหนึ่ง ก็สามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นความเสี่ยงให้กับอีกหลายองค์กรได้เช่นกัน</b></blockquote><br />
แม้เรื่อง ESG จะมีโมเมนตัมหรือแรงส่งที่ผลักให้ธุรกิจต้องดำเนินการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยกฎระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานใหม่ ๆ ที่ออกโดยรัฐหรือหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง หรือโดยแรงบีบจากตลาดระหว่างคู่ค้าด้วยกันเอง แต่ก็ใช่ว่าการขับเคลื่อนเรื่อง ESG จะเลื่อนไหลไปโดยปราศจากแรงเสียดทาน เนื่องจากเงื่อนไขภายในกิจการ อาทิ ความพร้อม ทรัพยากร และทัศนคติที่มีต่อเรื่อง ESG ของแต่ละกิจการไม่เหมือนกัน ประกอบกับเงื่อนไขภายนอกที่เป็นสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและกติกาทางสังคมที่เกี่ยวข้อง ทำให้การปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองเรื่องดังกล่าว จึงมีจังหวะก้าวที่แตกต่างกัน<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s2000/pipat-sustainpreneur-25sep21.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="1125" data-original-width="2000" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s600/pipat-sustainpreneur-25sep21.png"/></a></div><br />
<b>สำหรับความท้าทายที่สำคัญต่อการดำเนินการด้าน ESG ของธุรกิจไทย ในปี ค.ศ. 2024 ได้แก่</b><br /><br />
<b><span style="background-color:#ffff00;">การบังคับใช้กฎหมาย</span></b> แม้การดำเนินงานด้าน ESG ไม่จำเป็นต้องพึ่งการออกกฎหมายฉบับใหม่ เนื่องจากประเทศไทยมีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้าน ESG อยู่แล้ว ดังนั้นหนึ่งในอุปสรรคและความท้าทายในการดำเนินการด้าน ESG ของธุรกิจ ในปี ค.ศ. 2024 จึงไม่ได้อยู่ที่ประเด็นการไม่มีกฎหมายรองรับ แต่เป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายให้มีความเฉียบขาด เช่น กรณีทุจริตหุ้น STARK กรณีโกงหุ้น MORE หรือกรณีลักลอบนำเข้าหมู ฯลฯ<br /><br />
<b><span style="background-color:#ffff00;">การเปลี่ยนผ่าน</span></b> โดยประเด็นด้าน ESG ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการ เช่น การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีสาเหตุจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ถูกดึงให้มีความล่าช้าออกไป ตัวอย่างกรณีการประชุม COP28 ที่มีการแก้ไขถ้อยคำเรื่องการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล จากการทยอยเลิกใช้ (Phase out) มาเป็นการเปลี่ยนผ่าน (Transition away) โดยการผลักดันของกลุ่มประเทศที่มีผลประโยชน์ในเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะทำให้เป็นอุปสรรคและความท้าทายในการดำเนินการด้าน ESG ของธุรกิจโดยรวม ในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และยังได้กลายเป็นความเสี่ยงต่อการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของแต่ละประเทศ<br /><br />
<b><span style="background-color:#ffff00;">การฟอกเขียว</span></b> ปัจจุบันคำว่า ESG ได้ถูกหยิบมาใช้ในวงกว้าง ไม่เว้นในแวดวงการตลาดที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์และการสร้างภาพลักษณ์อย่างแพร่หลาย จนในปัจจุบัน กิจกรรม ESG ส่วนใหญ่ที่ปรากฏในสื่อ ถูกตีความว่าเป็นการฟอกเขียว (Green Washing) ซึ่งคือการดำเนินการที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดด้วยการโฆษณาสินค้าหรือองค์กรให้มีภาพลักษณ์ว่ารับผิดชอบต่อสังคมโดยการรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เช่น การประกาศตัวเลขการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกินจริงหรือที่พิสูจน์ไม่ได้ การแสดงเครื่องหมายรับรองที่ออกโดยหน่วยงานที่ขาดความน่าเชื่อถือหรือได้มาด้วยการซื้อเครื่องหมายรับรองที่ไม่ได้มีมาตรฐานรองรับ การฟอกเขียว จึงยังเป็นอุปสรรคและความท้าทายสำคัญในการดำเนินการด้าน ESG ของธุรกิจ ในปี ค.ศ. 2024 และมีแนวโน้มที่ขยายวงเพิ่มสูงขึ้น<br /><br />
<b>สำหรับธุรกิจที่ยังไม่ใส่ใจดำเนินการด้าน ESG ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือข้ออ้างใดก็ตาม ความเสี่ยงต่อการดำเนินงาน ในปี ค.ศ. 2024 ที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจเหล่านั้น ได้แก่</b><br /><br />
<b><span style="background-color:#ffff00;">ตกขบวน</span></b> เพราะ ESG เป็นเทรนด์ใหญ่ที่ธุรกิจไม่ว่าขนาดใหญ่ขนาดเล็ก ต้องนำมาดำเนินการในกิจการของตนไม่มากก็น้อย บริษัทขนาดใหญ่ที่มีห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยคู่ค้าจำนวนมาก นับเป็นหลายพันหลายหมื่นราย จำเป็นต้องทำเรื่อง ESG ในกิจการ เพราะได้รับแรงกดดันจากผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่าง ๆ และยังถูกคาดหวังให้ต้องดำเนินการในห่วงโซ่อุปทานด้วย นั่นหมายความว่า บริษัทที่มีการดำเนินการด้าน ESG จำเป็นต้องค้าขายกับคู่ค้าที่มี ESG ในระดับเดียวกัน หรือมีในเกณฑ์ขั้นต่ำที่บริษัทเป็นผู้กำหนด ซึ่งหากคู่ค้าหรือธุรกิจรายใดในเครือข่าย ไม่ดำเนินการหรือดำเนินการได้ไม่ถึงเกณฑ์ ก็อาจตกขบวนหรือหมดโอกาสที่จะค้าขายกับบริษัทเหล่านั้นได้ตามปกติ จนกว่าจะสามารถปรับปรุงสถานะเรื่อง ESG ให้ได้ตามเกณฑ์<br /><br />
<b><span style="background-color:#ffff00;">มีต้นทุนเพิ่ม</span></b> เพราะ ESG ในหลายประเด็นมาพร้อมกับการออกเป็นกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับให้ต้องปฏิบัติ มิฉะนั้นจะมีค่าปรับหรือบทลงโทษ หากยังไม่มีการดำเนินการด้าน ESG นั้น ๆ ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงด้านต้นทุนที่ธุรกิจต้องเผชิญ ในทางกลับกัน การดำเนินการด้าน ESG ให้เป็นไปตามกฎระเบียบ จะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมจากเดิมไม่มากก็น้อย ซึ่งก็เป็นภาระด้านต้นทุนที่ธุรกิจต้องเผชิญเช่นกัน ทำให้ธุรกิจจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักระหว่างต้นทุนดำเนินการด้าน ESG ที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงมิให้เกิดความเสียหายขึ้น กับต้นทุนที่เป็นค่าปรับหรือการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง<br /><br />
<b><span style="background-color:#ffff00;">เสียโอกาสในการเข้าถึงตลาด</span></b> เพราะ ESG ไม่ได้มาในรูปของการบังคับให้ปฏิบัติ ด้วยการออกเป็นกฎหมายอย่างเดียว แต่ยังมาในรูปของแรงกดดันหรือการกีดกันจากภาคธุรกิจด้วยกันเองในกรณีที่เป็น B2B ซึ่งหากกิจการไม่มีการดำเนินการด้าน ESG (แม้จะไม่มีกฎหมายบังคับ) ก็อาจทำให้ค้าขายต่อไปเหมือนเดิมไม่ได้ เพราะคู่ค้ารายใหญ่ผลักดันให้มีการดำเนินการ พร้อมกับเงื่อนไขที่หากไม่ดำเนินการหรือดำเนินการได้ไม่ถึงเกณฑ์ ก็จะปฏิเสธการซื้อสินค้าหรือบริการจากกิจการรายนั้น ๆ กลายเป็นความสูญเสียทางธุรกิจ ทั้งการเสียตลาดเดิมที่ผูกด้วยเงื่อนไขใหม่ และการเสียโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ที่มาพร้อมกับเงื่อนไขปกติ (ด้าน ESG) นอกจากนี้ ESG ยังมาในรูปของแรงกดดันหรือพฤติกรรมจากผู้บริโภคในกรณีที่เป็น B2C ซึ่งมีความต้องการที่จะอุดหนุนผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเฉพาะผู้บริโภคในกลุ่มที่เป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งกำลังเติบโตขึ้นมากในปัจจุบัน ทำให้กิจการที่ไม่ปรับตัวก็จะเสียโอกาสในการเข้าถึงตลาดกลุ่มนี้เช่นกัน<br /><br />
<b>ด้วยเหตุนี้ มุมมองที่มีต่อเรื่อง ESG ของกิจการจึงมีความสำคัญ เพราะทางหนึ่ง สามารถนำไปสู่การสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับองค์กรบางกลุ่ม ในอีกทางหนึ่ง ก็สามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นความเสี่ยงให้กับอีกหลายองค์กรได้เช่นกัน</b>
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1108209" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaiesg.blogspot.com/2024/01/3-esg-2024.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-82940056926443778052023-12-30T11:06:00.003+07:002024-02-01T16:06:22.283+07:00ธีม ESG ปี 2024 : Who cares earns<blockquote><b>ทิศทาง ESG ในปี ค.ศ. 2024 จะเป็นการเดินหน้าดำเนินงานในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล สำหรับกิจการที่เห็นประโยชน์เป็นรูปธรรม โดยไม่ต้องรอให้มีกฎหมายบังคับ</b></blockquote><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s2000/pipat-sustainpreneur-25sep21.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="1125" data-original-width="2000" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s600/pipat-sustainpreneur-25sep21.png"/></a></div><br />
นับตั้งแต่ที่คำว่า ESG ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.2004 โดยปรากฏอยู่ในเอกสารรายงานชื่อ “Who cares wins” (ผู้ใดใส่ใจ ผู้นั้นมีชัย) ที่สนับสนุนแนวคิดของการบูรณาการปัจจัยสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ในตลาดทุน ซึ่งเชื่อกันว่า ไม่เพียงนำไปสู่ผลลัพธ์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ตัวตลาดทุนเอง ด้วยการทำให้ตลาดทุนมีความยั่งยืนมากขึ้น<br /><br />
รายงานฉบับนี้ เป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากการที่ นายโคฟี อันนัน ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติในขณะนั้น ได้เขียนจดหมายถึงบรรดาซีอีโอของสถาบันการเงินชั้นนำ 55 แห่ง เพื่อให้ช่วยหาวิธีในการผนวกเรื่อง ESG เข้ากับตลาดทุน ฉะนั้น ต้นเรื่องของแนวคิด ESG จึงมาจากผู้มีส่วนได้เสียที่เป็นกลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน<br /><br />
โดยหนึ่งในความเคลื่อนไหวที่สำคัญขณะนั้น คือ การผลักดันการผนวกเรื่อง ESG ผ่านบริษัทที่ลงทุน (Investees) ซึ่งคือ บรรดาบริษัทจดทะเบียนในตลาดทุนทั่วโลก โดยหากบริษัทที่ลงทุนไม่สนใจหรือไม่ขานรับเรื่อง ESG ไปดำเนินการ ผู้ลงทุนอาจจะมีมาตรการในระดับขั้นที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การลดน้ำหนักการลงทุน การลดการถือครอง ไปจนถึงการขายหลักทรัพย์ออกจากพอร์ตการลงทุน<br /><br />
จึงเป็นเหตุให้บริษัทจดทะเบียน ขยับตัวรับเรื่อง ESG มาดำเนินการ และต่อมาได้นำเอา ESG มาเป็นคำที่ใช้สื่อสารกับผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องในวงกว้าง นอกเหนือจากที่ใช้สื่อสารกับผู้ลงทุนที่เป็นต้นเรื่อง<br /><br />
พัฒนาการของ ESG ในห้วงเวลา 20 ปี ตั้งแต่การจัดทำหลักการลงทุนที่รับผิดชอบโดยการสนับสนุนของสหประชาชาติ (United Nations-supported Principles for Responsible Investment: PRI) ในปี ค.ศ. 2006 มาจนถึงมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนฉบับล่าสุดที่ประกาศใช้โดยคณะกรรมาธิการยุโรป ที่มีชื่อว่า ESRS (European Sustainability Reporting Standards) ในปี ค.ศ. 2023 ที่ทำให้การเปิดเผยข้อมูล ESG ได้กลายเป็นข้อกำหนดสำหรับบริษัทที่มีถิ่นฐานในสหภาพยุโรป รวมทั้งสาขาของบริษัทนอกสหภาพยุโรปที่มีการดำเนินกิจการในสหภาพยุโรปซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ด้วย<br /><br />
นอกจากหลักการและมาตรฐานที่เป็นเรื่อง ESG โดยตรง ประเทศต่าง ๆ ยังมีการออกกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ESG ในทางใดทางหนึ่ง อาทิ กลไกการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งนำร่องกับสินค้า 6 กลุ่ม ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน โดยต้องเริ่มแจ้งปริมาณปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตสินค้าที่นำเข้า นับจากปี ค.ศ. 2023 และจะต้องสำแดงใบรับรอง CBAM ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้านั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2026 หรือการออกข้อบังคับว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ซึ่งจะใช้กับโภคภัณฑ์ในกลุ่มปศุสัตว์ ไม้ โกโก้ ถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม กาแฟ ยางพารา และผลิตภัณฑ์สืบเนื่อง เช่น เครื่องหนัง ช็อกโกแลต ยางรถยนต์ หรือเครื่องเรือน โดยจะมีผลตั้งแต่สิ้นปี ค.ศ. 2024 เป็นต้น<br /><br />
ในประเทศไทย คณะกรรมการกำกับตลาดทุน ได้ออกประกาศให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ต้องเปิดเผยข้อมูล ESG ในแบบแสดงรายการข้อมูล 56-1 One Report จัดส่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2022 เป็นต้นมา<br /><br />
เนื่องจาก ESG ถูกริเริ่มขึ้นจากภาคตลาดทุน หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญในการดำเนินงาน ESG ของกิจการ จะต้องมีความเชื่อมโยงกับผลประกอบการ และสะท้อนอยู่ในผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับ<br /><br />
จากมุมมองเดิมต่อเรื่อง ESG ที่กิจการส่วนใหญ่ เห็นว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้จัดการความเสี่ยง มาสู่การใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจสำหรับรองรับโอกาสที่เกิดขึ้นจากปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยที่หลายกิจการเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ทั้งการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และความสามารถในการทำกำไร (Profitability) จากการใช้ประโยชน์ในประเด็นด้าน ESG ที่สอดคล้องกับบริบทของกิจการ<br /><br />
<b>ทิศทาง ESG ในปี ค.ศ. 2024 จะเป็นการเดินหน้าดำเนินงานในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล สำหรับกิจการที่เห็นประโยชน์เป็นรูปธรรม โดยไม่ต้องรอให้มีกฎหมายบังคับ ซึ่งเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดี ก็จะเกิดความเชื่อมั่น และผลักดันการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นผลกระทบที่ดีทั้งกับกิจการและผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักกับการลงทุนที่ยั่งยืน ในลักษณะ “Who cares earns” (ยิ่งใส่ใจ ยิ่งได้รับ)</b><br /><br />
นั่นหมายถึง กิจการที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี ย่อมสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียในหลายระดับ คือ <b>ในระดับแรก</b> สังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวม ‘ได้รับ’ ประโยชน์จากการที่ธุรกิจใส่ใจดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้นหรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการประกอบการ <b>ในระดับต่อมา</b> กิจการจะมีโอกาส ‘ได้รับ’ รายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น จากการใช้ประเด็น ESG สร้างการเติบโตและเพิ่มผลิตภาพ และ<b>ในระดับท้ายสุด</b> ผู้ลงทุนควรจะ ‘ได้รับ’ ผลตอบแทนทั้งกำไรจากส่วนต่างของราคาหลักทรัพย์ (Capital Gain) และเงินปันผลที่สูงขึ้นจากการลงทุนในกิจการที่ ‘ใส่ใจ’ เรื่อง ESG<br /><br />
ต้องติดตามกันว่า ในปี ค.ศ. 2024 จะมีกิจการใดที่ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง แล้วทำให้ผู้มีส่วนได้เสียได้รับประโยชน์จากกิจการ และผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนได้มากน้อยเพียงใด
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/biz-bizweek/1106075" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaiesg.blogspot.com/2023/12/esg-2024-who-cares-earns.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-50651877284559803452023-12-16T11:13:00.000+07:002023-12-16T11:13:02.226+07:00เปิดผลสำรวจ ESG ธุรกิจไทย ปี 2566กระแสเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) ที่แต่เดิม ถูกขับเคลื่อนอยู่ภายในแวดวงตลาดทุน โดยเป็นเครื่องมือที่ผู้ลงทุนสถาบันใช้ผลักดันให้บริษัทที่ตนเข้าไปลงทุนมีการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคม เอาจริงเอาจังกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี มานับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 ได้ถูกหยิบมาใช้ในวงกว้าง ไม่เว้นในแวดวงการตลาดที่ ESG ถูกใช้เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์และการสร้างภาพลักษณ์อย่างแพร่หลาย จนในปัจจุบัน ถูกตีความว่า ส่วนใหญ่เป็นการฟอกเขียว (Green Washing)<br /><br />
กระทั่ง หน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ ต้องออกนิยามศัพท์ (Terminology) และการจัดหมวดหมู่ (Taxonomy) ที่เกี่ยวกับเรื่อง ESG เพื่อป้องกันการสื่อสารที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด และทำให้การฟอกเขียวเกิดได้ยากขึ้น<br /><br />
<b>จากมาตรการดังกล่าว ทำให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารที่ติดป้าย ESG ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องมาในทุกปี มีมูลค่าลดลงเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2022</b><br /><br />
และด้วยภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในทุกภูมิภาค มีการเติบโตที่หดตัวลง ประกอบกับการขึ้นดอกเบี้ยจากแรงกดดันของปัจจัยเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในรอบปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ที่มีผลตอบแทนลดลง ทำให้ความแตกต่างในเชิงผลตอบแทนระหว่างหุ้นกลุ่ม ESG กับหุ้นโดยทั่วไป มิได้สร้างแรงจูงใจผู้ลงทุนได้เหมือนในช่วงตลาดขาขึ้น<br /><br />
จากการสำรวจของ <a href="https://www.gsi-alliance.org/members-resources/gsir2022/" target="_blank"><b>GSIA</b></a> สัดส่วนของมูลค่าการลงทุนที่ยั่งยืน มีตัวเลขคิดเป็นร้อยละ 24.4 ของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารทั้งหมด ที่จำนวน 124.49 ล้านล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของเม็ดเงินลงทุนทั้งหมด (ณ สิ้นปี 2565) ลดลงจากร้อยละ 35.9 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของเม็ดเงินลงทุนทั้งหมด (ณ สิ้นปี 2563)<br /><br />
สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ ได้ทำการสำรวจข้อมูลสถานภาพความยั่งยืนของกิจการ เพื่อนำเสนอทิศทางและกระแสนิยมของการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนขององค์กร ทั้งในมุมมอง GRI, ESG และ SDG โดยริเริ่มสำรวจเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2561 ครอบคลุมกิจการจำนวน 100 แห่ง และได้ดำเนินการเรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน<br /><br />
<b>ผลสำรวจปี 66 ครอบคลุม 904 องค์กร</b><br />
ในปี 2566 สถาบันไทยพัฒน์ ได้ทำการสำรวจข้อมูลความยั่งยืนจากบริษัทจดทะเบียน 805 แห่ง กองทุนและองค์กรอื่นๆ อีก 99 ราย รวมทั้งสิ้น 904 ราย (เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่ทำการสำรวจ 854 ราย) พบว่า การเปิดเผยข้อมูลซึ่งมีสัดส่วนมากสุดอยู่ที่ด้านสิ่งแวดล้อม 52.25% ด้านเศรษฐกิจ 24.33% และด้านสังคม 23.41% ตามลำดับ<br /><br />
หากวิเคราะห์ข้อมูลกิจการที่สำรวจ จำแนกตามกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า กิจการที่ได้คะแนนการดำเนินงาน ESG รวมสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ กิจการในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (4.91 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10) รองลงมาเป็นกิจการในกลุ่มเทคโนโลยี (4.60 คะแนน) และกิจการในกลุ่มบริการ (4.05 คะแนน) ตามลำดับ<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhna0TwWq5S3eRmu9F2CXhrfbtuIw1ayzbxgc4rmhFxngPF-hapslMylS3CAWDf19cPxrlMcTaYzRcKCKXIO_coH45-XoWTHAEcXeVl3EvnbzI3LvIwx077cYPcki2a4vaqAp9GTetL-7sQ8IXgIVhM9Xp49pF3j8praSE9ivKp-Ogpbxu21iG0M4-xt7-m/s1270/ESG-Performance-by-Industry-Group-2023.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="449" data-original-width="1270" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhna0TwWq5S3eRmu9F2CXhrfbtuIw1ayzbxgc4rmhFxngPF-hapslMylS3CAWDf19cPxrlMcTaYzRcKCKXIO_coH45-XoWTHAEcXeVl3EvnbzI3LvIwx077cYPcki2a4vaqAp9GTetL-7sQ8IXgIVhM9Xp49pF3j8praSE9ivKp-Ogpbxu21iG0M4-xt7-m/s600/ESG-Performance-by-Industry-Group-2023.png"/></a></div><div align="center">ESG Performance by Industry Group</div><br />
สำหรับประเด็นความยั่งยืนที่มีการเปิดเผยสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ ผลเชิงเศรษฐกิจ 96.46% การฝึกอบรมและการให้ความรู้ 48.12% ความหลากหลายและโอกาสแห่งความเท่าเทียม 48.01% ส่วนการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่ภาคธุรกิจมีการเปิดเผยสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ เป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมทางเพศ เป้าหมายที่ 8 เศรษฐกิจและการจ้างงาน และเป้าหมายที่ 16 สังคมและความยุติธรรม ตามลำดับ<br /><br />
<b>ไฮไลต์ผลสำรวจ ESG ที่น่าสนใจ</b><br />
ในการประเมินสถานภาพการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของกิจการที่ทำการสำรวจทั้งหมด 904 ราย พบว่า <b>ในปี 2566 มีคะแนนรวมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 3.53 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน</b> เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วและปีก่อนหน้าที่มีคะแนนรวมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2.46 คะแนน (ปี 2565 จากการสำรวจ 854 ราย) และ 2.2 คะแนน (ปี 2564 จากการสำรวจ 826 ราย)<br /><br />
เมื่อพิจารณาผลสำรวจโดยใช้ประเด็นความยั่งยืนที่อ้างอิงจากมาตรฐาน GRI (Global Reporting Initiative) พบว่า<b>มีเพียง 2.32% ที่มีการรายงานเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) และมากถึง 66.37% ที่ไม่มีการเปิดเผยประเด็นมลอากาศ (Emissions)</b> นอกจากนี้ ยังพบว่ามีไม่ถึง 9% ที่เปิดเผยเรื่องการประเมินด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของผู้ส่งมอบ (Supplier Environmental / Social Assessment)<br /><br />
ขณะที่การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยปัจจัย ESG ที่อ้างอิงตามแนวทางและชุดตัวชี้วัดของ WFE (World Federation of Exchanges) จากผลสำรวจพบว่า มีประเด็นที่เข้าใหม่ในสิบอันดับแรกที่กิจการเปิดเผย ได้แก่ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (50%) และการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (49.23%) ส่วนประเด็นที่เคยอยู่ในสิบอันดับเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่อยู่ในปีนี้ ได้แก่ ประเด็นด้านแรงงานบังคับและแรงงานเด็ก<br /><br />
และเมื่อสำรวจข้อมูลการดำเนินงานที่มีการตอบสนองต่อ SDGs ตามแนวทาง GCI (Guidance on Core Indicators) ที่จัดทำโดย ISAR (International Standards of Accounting and Reporting) พบว่า มีประเด็นที่เข้าใหม่ในสิบอันดับแรกที่กิจการเปิดเผย ได้แก่ สัดส่วนหญิงในตำแหน่งจัดการ (91.15%) และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (53.32%) ส่วนประเด็นที่เคยอยู่ในสิบอันดับเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่อยู่ในปีนี้ ได้แก่ ประสิทธิภาพการใช้น้ำ และชั่วโมงเฉลี่ยการฝึกอบรมต่อปีต่อคน<br /><br />
ข้อมูลผลสำรวจข้างต้น สถาบันไทยพัฒน์จะจัดงานแถลง <b>“ผลสำรวจข้อมูลความยั่งยืนของบริษัทไทย ปี 2566”</b> และการเสวนา <b>“Double Materiality: The Financial + Impact Disclosure”</b> โดยจะมีการเผยแพร่เนื้อหาการสำรวจทางเว็บไซต์ของ<a href="https://thaipat.org/" target="_blank">สถาบันไทยพัฒน์</a>ต่อไป
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/biz-bizweek/1103846" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaiesg.blogspot.com/2023/12/esg-2566.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-79891328456019894792023-12-02T09:46:00.005+07:002023-12-04T09:49:06.059+07:00การลงทุนที่ยั่งยืน เริ่มมีขนาดสินทรัพย์ลดลงGlobal Sustainable Investment Alliance (GSIA) ได้ทำการเผยแพร่รายงาน <a href="https://www.gsi-alliance.org/members-resources/gsir2022/" target="_blank"><b>2022 Global Sustainable Investment Review</b></a> ที่จัดทำขึ้นทุกสองปี โดยจากงานสำรวจชิ้นล่าสุด พบว่า ในปี พ.ศ.2565 ตัวเลขการลงทุนที่ยั่งยืนทั่วโลก มีมูลค่าอยู่ที่ 30.3 ล้านล้านเหรียญ ลดลงจากตัวเลข 35.3 ล้านล้านเหรียญ ในปี พ.ศ.2563 หรือลดลงร้อยละ 14.1 ในช่วงเวลาสองปี<br /><br />
โดยสัดส่วนการลงทุนที่ยั่งยืนเมื่อเทียบกับขนาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ทั้งหมด ในปี พ.ศ.2565 มีตัวเลขคิดเป็นร้อยละ 24.4 ของมูลค่าจำนวน 124.49 ล้านล้านเหรียญ ลดลงจากสัดส่วน ในปี พ.ศ.2563 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 35.9 แสดงให้เห็นถึงสัดส่วนการลงทุนที่ยั่งยืนโดยรวม มีตัวเลขลดลงเป็นครั้งแรก<br /><br />
ปัจจัยหลักมาจากตัวเลขการลงทุนที่ยั่งยืนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งลดลงจาก 17.1 ล้านล้านเหรียญ มาอยู่ที่ 8.4 ล้านล้านเหรียญ หรือลดลงกว่าร้อยละ 50 ในช่วงเวลาสองปี สาเหตุมาจากการเปลี่ยนระเบียบวิธีการเก็บตัวเลขสินทรัพย์ที่ยั่งยืนในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลจากการปรับนิยามของกองทุนยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้น จากความกังวลเรื่องการฟอกเขียวที่ขยายวงเพิ่มขึ้น รวมทั้งการนำเรื่อง ESG มาใช้เป็นประเด็นการเมืองท้องถิ่นในสหรัฐฯ<br /><br />
ซึ่งหากไม่นับรวมตัวเลขสินทรัพย์ที่ยั่งยืนในสหรัฐอเมริกา สัดส่วนการลงทุนที่ยั่งยืน (ยกเว้นสหรัฐ) ในปี พ.ศ.2565 จะมีตัวเลขคิดเป็นร้อยละ 37.9 เทียบกับ AUM ทั้งหมด ซึ่งยังเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ.2563 ขณะที่มูลค่าการลงทุนที่ยั่งยืนรวม (ยกเว้นสหรัฐ) ยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ในช่วงเวลาสองปี<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgp8GcC_2HA9MMQt3097URCRCdWASay6VAQX0Bbc-Tgrqfc5kG2BmdjqhIgrSWu4tRg6JVTJzAf-YjugOZc2kB3nDvR-diN10-RYPmas6fqItkLAQ1gvcm0S8S_bOi5YLKGstPS34PvnR1e0WuaInAR8sks7LPXdqaFKeltEH1uNgElggbR_RUa8hdqWBaQ/s1384/sustainable-investment-strategies-2016-2022.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="597" data-original-width="1384" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgp8GcC_2HA9MMQt3097URCRCdWASay6VAQX0Bbc-Tgrqfc5kG2BmdjqhIgrSWu4tRg6JVTJzAf-YjugOZc2kB3nDvR-diN10-RYPmas6fqItkLAQ1gvcm0S8S_bOi5YLKGstPS34PvnR1e0WuaInAR8sks7LPXdqaFKeltEH1uNgElggbR_RUa8hdqWBaQ/s600/sustainable-investment-strategies-2016-2022.png"/></a></div>
ทั้งนี้ สัดส่วนเม็ดเงินลงทุนตามกลยุทธ์การลงทุนที่ยั่งยืน 7 รูปแบบตามการจำแนกของ GSIA พบว่า การลงทุนเพื่อใช้สิทธิผู้ถือหุ้นออกเสียงในกิจการ (Corporate engagement and shareholder action) มีมูลค่ามากสุด อยู่ที่ 8.05 ล้านล้านเหรียญ รองลงมาเป็นการลงทุนโดยผนวกเกณฑ์ด้าน ESG ในกระบวนการตัดสินใจลงทุน (ESG integration) อยู่ที่ 5.59 ล้านล้านเหรียญ การลงทุนโดยใช้เกณฑ์คัดกรองด้านลบ / ตัดออกจากกลุ่ม (Negative/exclusionary screening) อยู่ที่ 3.84 ล้านล้านเหรียญ การลงทุนโดยใช้เกณฑ์คัดกรองที่เป็นบรรทัดฐานนิยม (Norms-based screening) อยู่ที่ 1.81 ล้านล้านเหรียญ การลงทุนตามประเด็นความยั่งยืนที่สนใจ (Sustainability themed investing) อยู่ที่ 5.98 แสนล้านเหรียญ การลงทุนโดยใช้เกณฑ์คัดกรองด้านบวก / เลือกที่ดีสุดในกลุ่ม (Positive/best-in-class screening) อยู่ที่ 5.74 แสนล้านเหรียญ และการลงทุนเพื่อชุมชน / เป็นผลดีต่อโลก (Impact/community investing) อยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านเหรียญ ตามลำดับ<br /><br />
ขณะที่ข้อมูลกองทุนยั่งยืนจากการเปิดเผยของ<a href="https://www.morningstarthailand.com/th/news/243086/ภาพรวมกองทุนยั่งยืนใน-usa.aspx" target="_blank"><b>มอร์นิ่งสตาร์</b></a> ระบุว่า กองทุนยั่งยืนในสหรัฐฯ มีเงินไหลออกสี่ไตรมาสติดต่อกัน โดยมีเงินไหลออกสุทธิจำนวน 1.42 หมื่นล้านเหรียญในรอบปีที่ผ่านมา<br /><br />
สินทรัพย์ในกองทุนยั่งยืนลดลงกลับไปแตะระดับ 2.99 แสนล้านเหรียญ ณ สิ้นสุดไตรมาสที่สาม และลดลงสูงถึงร้อยละ 17 จากระดับสูงสุดที่ 3.58 แสนล้านเหรียญ ณ สิ้นสุดปี ค.ศ.2021<br /><br />
และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่การปิดกองทุนยั่งยืนมีมากกว่าการเปิดกองใหม่ โดยในไตรมาสสามของปีนี้ มีการเปิดตัวกองทุนยั่งยืนเพียง 3 กองทุน แต่มีการปิดกองทุนยั่งยืน 13 กองทุน และมีอีก 4 กองทุนได้ยกเลิกการลงทุนแบบ ESG ทำให้มีจำนวนกองทุนยั่งยืนในสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 661 กองทุน<br /><br />
โดยจาก 13 กองทุนยั่งยืนที่ปิดลงในไตรมาสที่สาม กองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด (ตามมูลค่าสินทรัพย์) ได้แก่ กองทุนจากบริษัท Columbia Threadneedle, Hartford และ BlackRock โดย Columbia Threadneedle ปิด Columbia U.S. Social Bond Fund เมื่อเดือนสิงหาคม มีทรัพย์สินรวม 35.8 ล้านเหรียญ และอยู่ในตลาดถึง 8 ปี ตามด้วย Hartford Schroders ESG US Equity ETF ที่มีมูลค่า 9.8 ล้านเหรียญในเดือนกรกฎาคม หลังจากอยู่ในตลาดประมาณ 2 ปี ส่วน BlackRock ได้ปิดกองทุน BlackRock U.S. Impact Fund และ BlackRock International Impact Fund ซึ่งมีทรัพย์สินรวม 5.4 ล้านเหรียญ และ 4.2 ล้านเหรียญ ตามลำดับ<br /><br />
จะเห็นว่า ภาพรวมของการลงทุนที่ยั่งยืนได้มาถึงจุดอิ่มตัว และในบางภูมิภาค เริ่มมีขนาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหารที่ลดลง จากที่เคยกล่าวไว้เมื่อสองปีที่แล้วว่า ในจำนวนเงินลงทุน 3 เหรียญ จะมีอยู่ราว 1 เหรียญ ที่เป็นการลงทุนที่ยั่งยืน ปัจจุบัน ขนาดการลงทุนที่ยั่งยืน ได้ลดลงมาเป็น 1 ใน 4 เมื่อเทียบกับเม็ดเงินลงทุนทั้งหมด
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1101661" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaiesg.blogspot.com/2023/12/blog-post.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-46568155241340423132023-11-18T12:25:00.003+07:002023-11-18T12:27:29.494+07:00'หุ้น ESG' ให้ผลตอบแทนชนะตลาดจริงหรือข้อมูลการลงทุนในกองทุนประเภท ESG (Environmental, Social and Governance) ในประเทศไทย จากการเปิดเผยของ<a href="https://www.morningstarthailand.com/th/news/242688/กองทุน-esg.aspx" target="_blank"><b>มอร์นิ่งสตาร์</b></a> ระบุว่า มีอยู่จำนวน 113 กองทุน แบ่งเป็นลงทุนในหุ้นไทย จำนวน 22 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 2.5 พันล้านบาท และลงทุนในต่างประเทศ จำนวน 91 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 4.3 หมื่นล้านบาท รวมมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท เรียกว่า กว่า 94% ของกองทุน ESG ที่ขายในไทยส่วนใหญ่ลงทุนในต่างประเทศ โดยมีเพียง 6 บลจ. ที่มีการออกกองทุน ESG ที่ลงทุนในหุ้นไทย<br /><br />
การที่ภาครัฐมีแนวคิดจัดตั้งกองทุน Thai ESG Fund เพื่อช่วยพยุงตลาด รวมทั้งสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ โดยมีลักษณะคล้ายกองทุน LTF แต่มุ่งเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ความสำคัญในเรื่อง ESG เชื่อว่าจะส่งเสริมให้เกิดการออกกองทุน ESG ที่ลงทุนในหุ้นไทยกันมากขึ้น<br /><br />
ในจำนวนหุ้นไทยทั้งหมด 886 หลักทรัพย์ (ไม่รวมบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน) จะมีหลักทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูล ESG อยู่ราว 1 ใน 4 ของหลักทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูง โดยมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนราว 3 ใน 4 ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมด<br /><br />
สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการจัดทำฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย ได้เล็งเห็นข้อจำกัดที่การเปิดเผยข้อมูล ESG มีการกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ จึงได้ก่อตั้ง<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2019/02/sustainability-disclosure-community.html" target="_blank"><b>ประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน</b></a> (Sustainability Disclosure Community) ขึ้นในปี พ.ศ. 2562 สำหรับใช้เป็นแพลตฟอร์มในการส่งเสริมให้ธุรกิจได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ข้อมูล ESG ให้กระจายครอบคลุมไปยังหลักทรัพย์อีกราว 3 ใน 4 ของตลาด เพื่อเป็นตัวเลือกในการลงทุนให้มีความหลากหลาย โดยรวมไปถึงบริษัทนอกตลาดและกิจการอื่น ๆ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG เพิ่มเติม<br /><br />
<b>ปัจจุบัน ข้อมูลผลประเมิน ESG ของกิจการในไทย ที่สถาบันไทยพัฒน์รวบรวม ครอบคลุมทั้งบริษัทจดทะเบียน กองทุน บริษัทนอกตลาด และกิจการอื่น มีจำนวนรวม 905 กิจการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูล ESG ดังกล่าวในวงกว้าง</b><br /><br />
ด้วยเหตุที่การใช้ประโยชน์จากข้อมูล ESG ในแง่ของการลงทุน จะมีส่วนที่ไปเติมเต็มการใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขทางการเงิน โดยที่รายงานทางการเงินนั้น เป็นข้อมูลที่ผู้ลงทุนใช้วิเคราะห์การดำเนินงานของบริษัทที่เป็นการสะท้อนถึงผลประกอบการในอดีต (Past Performance) ส่วนประเด็น ESG ซึ่งมีทั้งข้อมูลในเชิงปริมาณและคุณภาพนั้น ผู้ลงทุนจะใช้สำหรับประเมินการดำเนินงาน เพื่อคาดการณ์ถึง<b>แนวโน้มผลประกอบการในอนาคตของบริษัท (Forward-looking Perspective)</b><br /><br />
ตัวอย่างรายการการลงทุนสีเขียวที่บริษัทมีการปรับปรุงหม้อไอน้ำของโรงไฟฟ้าโดยเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินมาเป็นพลังงานหมุนเวียนในการผลิตกระแสไฟฟ้า จะทำให้ล่วงรู้ว่าตัวเลขผลประกอบการในอนาคตจะมีโอกาสเพิ่มขึ้น ด้วยการดำเนินงานในประเด็น ESG ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ประหยัดได้ เป็นต้น<br /><br />
ทั้งนี้ การใช้ข้อมูล ESG เพื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างบริษัท สำหรับตัดสินใจลงทุน จะไม่สามารถใช้ประเด็น ESG ชุดเดียวกันร่วมกันได้ในทุกธุรกิจ อาทิ ธุรกิจการเงิน จะมีประเด็น ESG สำคัญที่ต้องพิจารณา ได้แก่ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ ไม่ใช่ประเด็นสาระสำคัญสำหรับธุรกิจที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม ที่ซึ่งการจัดการด้านพลังงาน น้ำ มลอากาศ และของเสีย จะเป็นประเด็น ESG ที่สำคัญต่อการพิจารณามากกว่า<br /><br />
<b><i>ทำให้การประเมินการดำเนินงานโดยใช้ประเด็น ESG ทั่วไป (Generic Topics) ชุดเดียวกันสำหรับการให้คะแนน (Scoring) และการจัดระดับ (Rating) จะไม่มีนัยสำคัญในผลลัพธ์ที่ได้มากนัก</i></b><br /><br />
การประเมินข้อมูล ESG จึงจำเป็นต้องใช้<b>ประเด็นจำเพาะในอุตสาหกรรม (Industry-specific Topics)</b> สำหรับเปรียบเทียบ ให้คะแนน และจัดระดับบริษัทที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน<br /><br />
นอกจากนี้ ในการประเมินข้อมูลเชิงลึก ยังต้องอาศัยการพิจารณากลยุทธ์องค์กรใน<b>ประเด็นที่เป็นสาระสำคัญต่อบริษัท (Company-specific Topics)</b> เพื่อให้ล่วงรู้ถึงทิศทางต่อการดำเนินงานในประเด็น ESG นั้น ๆ ว่า องค์กรใช้เป็นตัวขับคุณค่าในแง่ของการสร้างการเติบโต (Growth) การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) หรือการจัดการความเสี่ยง (Risk Management) โดยส่งผลต่อบรรทัดสุดท้ายของกิจการที่แตกต่างจากบริษัทอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมนั้นอย่างไร<br /><br />
โดย<b>การประเมินข้อมูล ESG สำหรับคัดเลือกบริษัทเข้าเป็นองค์ประกอบของดัชนี Thaipat ESG จะครอบคลุมไปถึงการพิจารณาประเด็นจำเพาะในอุตสาหกรรม และประเด็นสาระสำคัญต่อบริษัทที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับผลประกอบการ เพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุนในมิติของการลงทุนที่ยั่งยืน</b>ว่า บริษัทที่มี ESG ดี จะสามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีด้วย<br /><br />
Thaipat ESG Index เป็นดัชนี ESG แรกในประเทศไทย ที่ใช้การคำนวณดัชนีด้วยวิธีถ่วงน้ำหนักหลักทรัพย์เท่ากัน (Equal Weighed Index) คือ ให้ความสำคัญกับหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของดัชนีโดยไม่ขึ้นกับขนาดของหลักทรัพย์ ซึ่งการขจัดปัจจัยในเรื่องขนาดหรือความใหญ่ของหลักทรัพย์ ทำให้ดัชนีสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างทัดเทียมกันในแต่ละหลักทรัพย์ และทำให้โอกาสที่หลักทรัพย์คุณภาพขนาดกลางและขนาดเล็กที่ผ่านเกณฑ์ด้าน ESG ของสถาบันไทยพัฒน์ สามารถส่งผลต่อค่าของดัชนีได้ทัดเทียมกับหลักทรัพย์ขนาดใหญ่<br /><br />
โดยหากเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่าง Thaipat ESG Index (Total Return) ตั้งแต่วันฐาน (30 มิ.ย. 58) จนถึงวันที่ 13 พ.ย. 66 กับดัชนี SET100 และ SET50 (Total Return) พบว่า ดัชนี Thaipat ESG ให้ผลตอบแทนรวมอยู่ที่ 22.70% (หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 2.47% ต่อปี) ขณะที่ดัชนี SET100 และ SET50 ให้ผลตอบแทนรวมอยู่ที่ 10.74% และ 11.18% (หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 1.22% และ 1.27% ต่อปี) ตามลำดับ<br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHvaBKzlV-YRlRyfxomluz6nqIBKprLU1ZXMU1lMCjl-59gUAoy9I-KVoPeAYySVgAzczyRDyivwtfRl81q7Umiyqwp5fxFdaXctifDjnSnX4FbNQf98OrDT2Q2sMWrxYFFfDCGfeSplPwh2C32VBZx0xpcgmH5-gbvfAeBlsl4YNgP4TIEgCkyGHNuOFV/s1472/thaiesgt-thse50-thse100-comparison-13nov23.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="975" data-original-width="1472" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHvaBKzlV-YRlRyfxomluz6nqIBKprLU1ZXMU1lMCjl-59gUAoy9I-KVoPeAYySVgAzczyRDyivwtfRl81q7Umiyqwp5fxFdaXctifDjnSnX4FbNQf98OrDT2Q2sMWrxYFFfDCGfeSplPwh2C32VBZx0xpcgmH5-gbvfAeBlsl4YNgP4TIEgCkyGHNuOFV/s600/thaiesgt-thse50-thse100-comparison-13nov23.png"/></a></div>
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในอดีตของดัชนี มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1099441" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaiesg.blogspot.com/2023/11/esg.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>
นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-30933576551576212372023-11-04T11:53:00.003+07:002023-11-04T11:53:43.185+07:00ตลาดข้อมูล ESG ในกลุ่มกิจการ Private Marketsประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อภาคธุรกิจอย่างเข้มข้น และกระทบกับกิจการในทุกขนาดทุกสาขา ไม่จำกัดอยู่เพียงบรรษัทขนาดใหญ่ หรือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ยังครอบคลุมถึงวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเฉพาะกิจการซึ่งอยู่ในห่วงโซ่อุปทานที่มีบริษัทรายใหญ่ดำเนินการเรื่อง ESG ได้ผลักดันให้คู่ค้าที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s2000/pipat-sustainpreneur-25sep21.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="1125" data-original-width="2000" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s600/pipat-sustainpreneur-25sep21.png"/></a></div><br />
<a href="https://www.opimas.com/research/898/detail/" target="_blank"><b>ออพิมัส</b></a> ที่ปรึกษาด้านการจัดการลงทุนในตลาดทุนทั่วโลก คาดการณ์ว่า ตลาดบริการข้อมูลด้าน ESG ทั่วโลก จะมีมูลค่าอยู่ที่ 1.59 พันล้านเหรียญในปี พ.ศ. 2566 โดยจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ในช่วง 5 ปี (พ.ศ.2564 – 2568) อยู่ที่ร้อยละ 23 ต่อปี ขณะที่<b>อัตราการเติบโตเฉลี่ยด้านบริการข้อมูล ESG ของบริษัทนอกตลาด (Private Markets) รวมถึง SMEs จะมีตัวเลขสูงถึงร้อยละ 42 ต่อปี</b>ในช่วงเดียวกัน<br /><br />
ในรายงานของออพิมัส ยังได้ระบุถึงผู้ให้บริการจำนวน 15 ราย ที่เป็นผู้เล่นในตลาด Private Markets โดยแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักตามลักษณะบริการ ได้แก่<br /><br />
กลุ่ม <b>Tool for self-collection</b> เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์แก่ผู้ลงทุน เพื่อใช้เก็บข้อมูลด้าน ESG ที่เกี่ยวข้องจากบริษัทที่เข้าลงทุนด้วยตนเอง โดยผู้ให้บริการในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย IHS Markit (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ S&P Global), ISS, และ Novata<br /><br />
กลุ่ม <b>Database of information</b> เป็นผู้ให้บริการข้อมูลด้าน ESG โดยทำหน้าที่เก็บรวบรวม บันทึกข้อมูล และนำเสนอเป็นชุดข้อมูลสำเร็จรูปให้แก่ผู้ใช้บริการ โดยผู้ให้บริการในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย CDP, Clarity AI, FactSet, Moody's, Preqin, S&P, และ Sustainalytics<br /><br />
กลุ่ม <b>On-demand evaluation</b> เป็นผู้ให้บริการประเมินข้อมูลด้าน ESG ตามสั่ง หรือตามความต้องการของลูกค้าเป็นรายครั้ง และจัดทำเป็นรายงานข้อมูล ESG เป็นรายบริษัท หรือกลุ่มบริษัทที่เข้าลงทุน โดยผู้ให้บริการในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย APEX Group, EcoVadis, ERM, EthiFinance, และ Metric<br /><br />
ด้วยแนวโน้มการเติบโตในความต้องการข้อมูล ESG ของบริษัทนอกตลาดที่เพิ่มขึ้น การประเมินข้อมูลด้าน ESG ของกลุ่มกิจการ Private Markets จะเป็นกลไกสำคัญที่สร้างให้เกิดระบบนิเวศแห่งความยั่งยืนที่ครอบคลุมกิจการในทุกภาคส่วน และตอบสนองความต้องการในข้อมูลด้าน ESG ของผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาด Private Markets<br /><br />
ในประเทศไทย สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจ ด้วยการตั้งหน่วยงาน ESG Rating ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2557 เพื่อพัฒนาชุดข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจที่อิงกับมาตรฐานสากล และเป็นผู้ริเริ่มการประเมินข้อมูลด้าน ESG ของบริษัทจดทะเบียนนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 จวบจนปัจจุบัน จึงได้มีโครงการ ESG Rating for Private Markets และการจัดทำรายชื่อกลุ่มกิจการ <a href="http://thaiesg.blogspot.com/2023/10/esg-private-list.html"><b>ESG Private List</b></a> สำหรับบริษัทนอกตลาด เพื่อทำการรวบรวมและประเมินข้อมูลด้าน ESG ของบริษัทนอกตลาด เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูลดังกล่าวในวงกว้าง<br /><br />
โดยประโยชน์ของการจัดทำรายชื่อกลุ่มกิจการ ESG Private List จะทำให้เกิดข้อมูล ESG สำหรับสถาบันการเงินใช้ออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน หรือบริการอื่นที่เกี่ยวข้องให้แก่กลุ่ม SMEs เป้าหมาย รวมทั้งการได้ข้อมูล ESG ในการจัดกลุ่ม SMEs เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดซื้อ/จัดจ้าง ที่ต้องใช้เกณฑ์ ESG ในการเพิ่ม/จำกัดสิทธิประโยชน์ที่คู่ค้าพึงได้รับ<br /><br />
สำหรับหน่วยงานที่ร่วมโครงการ สามารถใช้ต่อยอดเป็นการจัดกิจกรรม/เวทีมอบรางวัล ESG Award ให้แก่ SMEs ที่เป็นคู่ค้า/ลูกค้า ในนามขององค์กร และยังเป็นโอกาสการลงทุนในบริษัทนอกตลาด ที่มีศักยภาพและเป็นไปตามเกณฑ์ ESG สำหรับผู้ลงทุนสถาบันหรือบริษัทจัดการลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาด Private Markets อีกด้วย<br /><br />
หน่วยงานหรือสถาบันการเงินที่สนใจขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนในกลุ่มกิจการ Private Markets สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศแห่งความยั่งยืนของกิจการไทย ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1097109" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaiesg.blogspot.com/2023/11/esg-private-markets.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-57156019618754023182023-10-21T10:15:00.003+07:002023-10-21T10:16:11.171+07:001 ใน 5 ของธุรกิจยั่งยืน มีการรายงานผลกระทบ SDGจากผลสำรวจของ <b>GRI</b> และ <b>Support the Goals</b> ที่เผยแพร่ในเอกสาร <a href="https://www.globalreporting.org/news/news-center/most-companies-align-with-sdgs-but-more-to-do-on-assessing-progress/" target="_blank"><b>State of Progress: Business Contributions to the SDGs</b></a> ระบุว่า สี่ในห้าของกิจการที่สำรวจมีการให้คำมั่นในรายงานแห่งความยั่งยืนต่อการตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) แต่มีกิจการไม่ถึงครึ่งที่มีการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานสำหรับใช้วัดผล<br /><br />
โดย 83% ของกิจการที่ทำการสำรวจ จำนวนกว่า 200 แห่งทั่วโลก มีการสนับสนุน SDGs และเห็นคุณค่าในการเชื่อมโยงรายงานให้ตอบสนองต่อเป้าหมายดังกล่าว ขณะที่ 69% มีการแสดงชุดเป้าหมาย SDGs ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจ และ 61% ระบุถึงข้อปฏิบัติในการสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว อย่างไรก็ดี มีกิจการในสัดส่วน 40% ที่เปิดเผยตัววัดที่ใช้บรรลุเป้าหมาย และมีจำนวน 20% ที่แสดงหลักฐานสนับสนุนผลกระทบทางบวกที่เกิดขึ้น<br /><br />
ในรายละเอียดของผลการวิจัยฉบับดังกล่าว ได้ประเมินธุรกิจที่ทำการสำรวจโดยแบ่งผลคะแนนออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มี<b>แผน (Plans)</b> ในการดำเนินงานเพื่อสนับสนุน SDGs (1 ดาว) กลุ่มที่มี<b>การให้คำมั่น (Commitments)</b> โดยแสดงให้เห็นเป้าหมายขององค์กรสำหรับใช้วัดผลที่เชื่อมโยงกับ SDGs ที่เกี่ยวข้อง (2 ดาว) กลุ่มที่มีการระบุถึง<b>รายละเอียดการดำเนินงาน (Actions)</b> ในการที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว (3 ดาว) กลุ่มที่มีการเปิดเผยข้อมูลหลักฐานที่เป็นตัวเลขหรือในเชิงปริมาณซึ่งแสดง<b>ความก้าวหน้า (Progress)</b> ของการดำเนินงาน (4 ดาว) และกลุ่มที่มีการผลักดันให้คู่ค้าหรือ<b>ผู้ส่งมอบ (Suppliers)</b> สนับสนุน SDGs (5 ดาว)<br /><br />
โดยจากการสำรวจ กลุ่มบริษัทที่มีแผนหรือได้ 1 ดาว มีสัดส่วนอยู่ที่ 7.3% กลุ่มบริษัทที่มีคำมั่นหรือได้ 2 ดาว มีอยู่ 13.6% กลุ่มบริษัทที่มีรายละเอียดการดำเนินงานหรือได้ 3 ดาว มีอยู่ 14.1% กลุ่มบริษัทที่มีข้อมูลแสดงความก้าวหน้าหรือได้ 4 ดาว มีอยู่ 34.9% และกลุ่มบริษัทที่มีการผลักดันคู่ค้าให้ร่วมดำเนินการหรือได้ 5 ดาว มีอยู่ 0.5% ส่วนบริษัทที่มีการรายงานด้านความยั่งยืนแต่มิได้เอ่ยถึง SDGs มีสัดส่วนอยู่ที่ 29.6%<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCRrGDHqaSTehO6AEYn4HqPsrzAnjNCTKzgnP-k6Lm5xYraG6fdcbbwJh1aXZZ6TCr4P7NDpsRF8xoj1AoUhfMt7TLU5Qdz4Sng-ISD98ITj0PUNIuorbblm7G763YiPSwnUvnrgZc79OQnDTdqVkIwud_lG2AOasEXutjOrOdNAyT1Gph8mVBwWVaIb4w/s1103/SDG-Ratings.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="647" data-original-width="1103" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCRrGDHqaSTehO6AEYn4HqPsrzAnjNCTKzgnP-k6Lm5xYraG6fdcbbwJh1aXZZ6TCr4P7NDpsRF8xoj1AoUhfMt7TLU5Qdz4Sng-ISD98ITj0PUNIuorbblm7G763YiPSwnUvnrgZc79OQnDTdqVkIwud_lG2AOasEXutjOrOdNAyT1Gph8mVBwWVaIb4w/s600/SDG-Ratings.png"/></a></div>
ในแง่ของการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบที่มีต่อ SDGs พบว่า <b>มีบริษัทจำนวน 20.4% ที่มีการรายงานผลกระทบทางบวกด้วยข้อมูลหลักฐานผลการดำเนินงานที่แสดงการตอบสนองต่อ SDGs ที่เกี่ยวข้อง</b> ขณะที่ มีบริษัทเพียง 6.3% ที่มีการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบทางลบจากการดำเนินงานซึ่งอาจส่งผลต่อการบรรลุ SDGs<br /><br />
ในส่วนของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 อันดับแรก ที่กิจการมีการเชื่อมโยงการดำเนินงานมากสุดจากการสำรวจ ได้แก่ เป้าที่ 8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป้าที่ 12 การผลิตและการบริโภคที่รับผิดชอบ และเป้าที่ 13 การดำเนินการทางสภาพภูมิอากาศ<br /><br />
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นผลจากการสำรวจข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านรายงานแห่งความยั่งยืนตามมาตรฐาน GRI ในรอบปี ค.ศ.2020 ขององค์กรผู้จัดทำรายงาน 206 แห่ง โดยประกอบด้วย กิจการ 86 แห่งในภูมิภาคยุโรป 19 ประเทศ ภูมิภาคเอเชีย 40 แห่งใน 17 ประเทศ ภูมิภาคอเมริกาเหนือ 39 แห่งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ภูมิภาคแอฟริกา 13 แห่งใน 5 ประเทศ ภูมิภาคอเมริกาใต้ 11 แห่งใน 5 ประเทศ ภูมิภาคโอเชียเนีย 7 แห่งในออสเตรเลีย เป็นต้น<br /><br />
สำหรับภาพรวมการตอบสนอง SDGs ของกิจการไทยที่ทำการสำรวจ 854 ราย ในปี พ.ศ.2565 โดยสถาบันไทยพัฒน์ พบว่า มีความคืบหน้าในการดำเนินงานอยู่ที่ 28.2% อ้างอิงจากการเปิดเผยข้อมูลตามรายการและตัวชี้วัดหลัก GCI (Guidance on Core Indicators) ที่จัดทำโดยคณะทำงานผู้ทรงคุณวุฒิระหว่างรัฐบาลด้านมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการบัญชีและการรายงาน (ISAR)<br /><br />
ทั้งนี้ ISAR ได้มีการเผยแพร่เอกสาร <a href="http://thaicsr.blogspot.com/2021/01/gci-resources.html" target="_blank"><b>Guidance on Core Indicators for Sustainability and SDG Impact Reporting</b></a> ฉบับปรับปรุงใหม่ ปี ค.ศ. 2022 ซึ่งเป็นแนวทางการใช้ชุดตัวชี้วัดหลัก GCI ในการจัดทำรายงานการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืนในรูปแบบ SDG Impact ที่บริษัทจดทะเบียนสามารถใช้เชื่อมโยงข้อมูลที่เปิดเผยในรายงาน 56-1 One Report ให้ตอบสนองต่อเป้าหมาย SDGs และใช้ตอบสนองต่อ SDG ในเป้าหมายที่ 12.6 ได้ด้วย<br /><br />
ในการนี้ สถาบันไทยพัฒน์ จะจัดให้มี <a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/10/thaipat-runners-up-2023-forum.html" target="_blank">Thaipat Runners-up 2023 Online Forum</a> ในหัวข้อ <b>SDG Impact Disclosure</b> แนวทางสำหรับรายงานการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืนที่ตอบสนองต่อเป้าหมาย SDGs ในระดับตัวชี้วัด (Indicator-level SDGs) เพื่อประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน ในรูปแบบ Webinar (ไม่มีค่าใช้จ่าย) โดยสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์สถาบันไทยพัฒน์ <a href="https://thaipat.org" target="_blank">https://thaipat.org</a>
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1094853" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/10/1-5-sdg.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-53357843142989276252023-10-07T10:29:00.003+07:002023-10-07T10:29:34.921+07:00'การฟอกเขียว' ในกลุ่มธนาคารกำลังขยายวงในงานวิจัยชิ้นล่าสุดของ <b>RepRisk</b> บริษัทด้านวิทยาการข้อมูล ESG (Environmental, Social and Governance) ที่ใหญ่สุดของโลก ซึ่งเปิดเผยในรายงาน <a href="https://www.reprisk.com/news-research/reports/on-the-rise-navigating-the-wave-of-greenwashing-and-social-washing" target="_blank"><b>2023 Report on Greenwashing</b></a> เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2566 แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงจากการฟอกเขียว โดยจากการสำรวจความเสี่ยงด้าน ESG ที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศของกิจการทั่วโลก (ระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ.2565 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ.2566) พบว่าทุก ๆ หนึ่งในสี่ของอุบัติการณ์ (Incident) ที่เกิดขึ้น มีความเชื่อมโยงกับการฟอกเขียว โดยเพิ่มขึ้นจากที่เกิดขึ้นทุก ๆ หนึ่งในห้ากรณี จากข้อมูลในรายงานของปีก่อนหน้า<br /><br />
การฟอกเขียว (Greenwashing) คือ การทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดด้วยการโฆษณาสินค้าหรือองค์กรให้มีภาพลักษณ์ว่ารับผิดชอบต่อสังคมโดยการรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น<br /><br />
<b>จากการสำรวจข้อมูลของปี พ.ศ.2565 กลุ่มธนาคารและบริการทางการเงิน มีกรณีของการฟอกเขียวที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศอยู่ที่ 109 กรณี (คิดเป็น 16% ของกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด) โดยเพิ่มขึ้นถึงกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และสูงเป็นอันดับสอง รองจากกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซ ซึ่งมีจำนวนอยู่ที่ 160 กรณี (คิดเป็น 23% ของกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด)</b><br /><br />
ทั้งนี้ เป็นการฟอกเขียวด้านสภาพภูมิอากาศที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภค จำนวน 71 กรณี (10%) กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 62 กรณี (9%) กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมและก่อสร้าง จำนวน 60 กรณี (9%) กลุ่มธุรกิจค้าปลีก ของใช้ในครัวเรือนและของใช้ส่วนตัว จำนวน 55 กรณี (8%) กลุ่มธุรกิจสายการบินและการเดินทางท่องเที่ยว จำนวน 47 กรณี (7%) และกลุ่มธุรกิจเหมืองแร่ จำนวน 27 กรณี (4%) นอกนั้นอยู่ในกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ อีกจำนวน 104 กรณี (15%)<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiktf0TjJaXhyphenhyphenuHCwaAh4bPJ1g1pOPTP_aIOBFQYqodiO0ILKO-lY63x36Py17rZkMvE_IXmsVr3KEeqvyjohEi7iB6gZIEPIbDp-eCa3iV2aM-0mapH8E08TS-RoyPt9YecdCsv-BHO0jDR32FZJIG3L0yCx8jqqftYgVihMko85JnGEkL2aZ1XqU7vf6j/s824/reprisk-report-2023-bg.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="637" data-original-width="824" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiktf0TjJaXhyphenhyphenuHCwaAh4bPJ1g1pOPTP_aIOBFQYqodiO0ILKO-lY63x36Py17rZkMvE_IXmsVr3KEeqvyjohEi7iB6gZIEPIbDp-eCa3iV2aM-0mapH8E08TS-RoyPt9YecdCsv-BHO0jDR32FZJIG3L0yCx8jqqftYgVihMko85JnGEkL2aZ1XqU7vf6j/s600/reprisk-report-2023-bg.png"/></a></div><br />
ตัวอย่างการฟอกเขียวที่เกิดขึ้นในหลายบริษัท ส่งผลร้ายต่อชื่อเสียงและกระทบกับสถานะทางการเงินของกิจการ อาทิ DWS Group ถูกกล่าวหาว่าทำการตลาดในผลิตภัณฑ์กองทุนที่ทำให้ผู้ลงทุนหลงผิดว่ามีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเกินจริง หรือ H&M ถูกวิจารณ์ว่าใช้ระบบแต้มคะแนนสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ผู้บริโภคหลงผิดเกี่ยวกับความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์<br /><br />
โดยในกลุ่มธนาคารและบริการทางการเงิน มากกว่า 50% ของการฟอกเขียวด้านสภาพภูมิอากาศ เป็นกรณีที่เอ่ยถึงเชื้อเพลิงฟอสซิล หรือมีความเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการเงินกับบริษัทน้ำมันและก๊าซ ซึ่งระเบียบวิธีที่ RepRisk ใช้ประเมิน จะพิจารณาทั้งผลร้ายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดำเนินการโดยตรง และจากการให้สินเชื่อหรือลงทุนในบริษัทหรือกิจกรรมประเภทดังกล่าว เช่น การให้สินเชื่อในโครงการ/กิจกรรมด้านน้ำมันและก๊าซ<br /><br />
กรณีการฟอกเขียวที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นถึงการขยายขอบเขตและความซับซ้อนของกิจกรรม จากการทำให้ผู้บริโภคหลงผิด ไปสู่การให้คำมั่นสัญญา การรับรอง และข้อผูกมัดที่ไม่ใสสะอาด และมักง่ายต่อการประกาศเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต โดยปราศจากการลงมือปฏิบัติในปัจจุบันเพื่อให้เกิดผลจริง (หลายกรณี มีการยกเป้าหมายและขยับเงื่อนเวลาออกไป เมื่อจวนตัว)<br /><br />
วิธีสำรวจการฟอกเขียวของ RepRisk ใช้การหาจุดตัดของประเด็น ESG สองชุด คือ ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม และการสื่อสารที่ทำให้หลงผิด ซึ่งชี้ให้เห็นถึงกรณีการฟอกเขียวอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่การติดฉลากหลอกลวงแบบชัดแจ้ง ไปจนถึงกรณีที่ซับซ้อนอย่างการบิดเบือนจากผู้กุมอำนาจ<br /><br />
ในปีที่แล้ว มีบริษัท 1,850 แห่ง ที่เกี่ยวโยงกับกรณีการสื่อสารที่ทำให้หลงผิด ในจำนวนนี้ 63% หรือ 1,160 บริษัท ทำเป็นครั้งแรก และไม่ได้เกิดเฉพาะกับกิจการมหาชน แต่ยังพบในบริษัทเอกชนด้วย โดยมีบริษัทมหาชน ในสัดส่วน 12% ที่พบอย่างน้อยหนึ่งกรณีซึ่งเกี่ยวโยงกับการสื่อสารที่ทำให้หลงผิด เมื่อเทียบกรณีที่เกิดขึ้นกับบริษัทเอกชน ในสัดส่วน 3% ที่มีอย่างน้อยหนึ่งกรณีซึ่งเกี่ยวโยงกับการสื่อสารที่ทำให้หลงผิด<br /><br />
ความคาดหวังที่จะสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันจากภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืน ได้เปิดประตูบานใหญ่สู่การฟอกเขียว และประตูยิ่งจะเปิดค้างยาวนานขึ้น ท่ามกลางภูมิทัศน์ความยั่งยืนของกิจการที่ผันเปลี่ยนเร็ว โดยไร้การติดตามตรวจสอบและภาระความรับผิดต่อการกระทำดังกล่าว<br /><br />
<b>การระบุและป้องกันมิให้เกิดการสื่อสารเรื่องความยั่งยืนที่กิจการลวงให้หลงผิด จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือภายนอก ที่มิใช่ข้อมูลความยั่งยืนที่กิจการเปิดเผยโดยลำพัง</b><br /><br />
ผู้สนใจที่ต้องการอ่านรายละเอียดผลการสำรวจการฟอกเขียวฉบับเต็มของ RepRisk สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ <a href="https://www.reprisk.com/news-research/reports/on-the-rise-navigating-the-wave-of-greenwashing-and-social-washing" target="_blank">On the rise: navigating the wave of greenwashing and social washing</a>
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1092472" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/10/blog-post.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-40879738834514256832023-09-23T18:41:00.010+07:002023-09-24T10:53:35.493+07:00ครึ่งทาง SDG : โลกทำได้ตามเป้า 12%องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศใช้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDG) เมื่อปี ค.ศ.2015 อันประกอบด้วย 17 เป้าประสงค์ (Goals) 169 เป้าหมาย (Targets) และ 231 ตัวชี้วัด (Indicators) โดยมีอายุการใช้งาน 15 ปี จวบจนถึงปี ค.ศ.2030<br /><br />
ในเอกสาร <a href="https://hlpf.un.org/sites/default/files/2023-07/SDG%20Progress%20Report%20Special%20Edition.pdf" target="_blank"><b>Sustainable Development Report 2023</b></a> ฉบับพิเศษ ได้เปิดเผยตัวเลขความคืบหน้าครึ่งทางการใช้ SDG จากการประมวลข้อมูลราว 140 เป้าหมาย พบว่า <b>สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายเพียง 12%</b> โดยเป้าหมายกว่าครึ่งมีความคืบหน้าเล็กน้อยหรือหลุดเป้า ขณะที่เป้าหมายอีกเกือบหนึ่งในสาม ไม่มีความเคลื่อนไหวหรือถดถอยลงต่ำกว่าเส้นฐานในปี ค.ศ.2015<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5nqZ3G7Y3I93HL1SQkhhbUUOEohE1i4giNA1mM8yufQaWcu4Y5E3MG72nGvw1AApESYy2McJLbBOfidRt58vwQGLpB-aPXL1_wfWVyNf1ppvdkxIyqy5SIZtkJa_QOufctE2fmibmXPKl9Nths23zbuuaW4pjs_kwm8SsLRP1bX662gmkgmr7yWwz-dF-/s1025/SDG-progress-assessment-2023.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="715" data-original-width="1025" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5nqZ3G7Y3I93HL1SQkhhbUUOEohE1i4giNA1mM8yufQaWcu4Y5E3MG72nGvw1AApESYy2McJLbBOfidRt58vwQGLpB-aPXL1_wfWVyNf1ppvdkxIyqy5SIZtkJa_QOufctE2fmibmXPKl9Nths23zbuuaW4pjs_kwm8SsLRP1bX662gmkgmr7yWwz-dF-/s600/SDG-progress-assessment-2023.png"/></a></div>
สาเหตุมาจากผลพวงของความไม่ยุติธรรมในระดับโลกที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ประกอบกับผลกระทบจากสภาพภูมิกาศ โรคโควิด-19 และความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจที่ไปจำกัดประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกให้เหลือทางเลือกน้อยลง หรือทำให้ไม่มีทรัพยากรที่เพียงพอต่อการทำให้เป้าหมายเป็นจริงขึ้นได้<br /><br />
ที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ได้มีการคำนวณต้นทุนที่จะต้องใส่เพิ่มเพื่อเร่งการบรรลุเป้าหมาย SDG สำหรับเป็นแนวทางการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลในแต่ละประเทศทั่วโลก ไว้ที่จำนวน 2.35 ล้านล้านเหรียญ ใน 7 วิถี (Pathway) ได้แก่ การแปลงเป็นดิจิทัล ความเสมอภาคทางเพศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระบบอาหาร การคุ้มครองทางสังคม การเปลี่ยนผ่านพลังงาน และการปฏิรูปการศึกษา ตามลำดับ<br /><br />
สำหรับความคืบหน้าการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของกิจการในประเทศไทย สถาบันไทยพัฒน์ ได้ทำการสำรวจข้อมูลสถานภาพความยั่งยืนของกิจการทุกปี โดยเริ่มดำเนินการในปี ค.ศ.2018 เป็นปีแรก และเผยแพร่เป็นเอกสาร <a href="http://thaicsr.blogspot.com/2022/12/the-state-of-corporate-sustainability.html" target="_blank">รายงานสถานภาพความยั่งยืนของกิจการ</a> เป็นประจำทุก ๆ 2 ปี<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhr9eOrOv0BK0JzNw_SW_Dk6I1qqp7FlhB9oKjlUmElR_4NgDy9QUbYE8l-vmMopLJDt36CLEEuTJUExZwwvSyE6hphnxlFmNaMRzf8xkvXw7Em_33SlUE0B0u68nm9NUGqqK1E9R5tDNkB4q78-UPQBMWugfUcQbC3SBXfzwGqnBFHGz4NlHM0vOdSO2zj/s701/sdg-2022.png" imageanchor="1" style="clear:right; float:right; margin-left:1em; margin-bottom:1em"><img border="0" height="320" width="266" data-original-height="701" data-original-width="583" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhr9eOrOv0BK0JzNw_SW_Dk6I1qqp7FlhB9oKjlUmElR_4NgDy9QUbYE8l-vmMopLJDt36CLEEuTJUExZwwvSyE6hphnxlFmNaMRzf8xkvXw7Em_33SlUE0B0u68nm9NUGqqK1E9R5tDNkB4q78-UPQBMWugfUcQbC3SBXfzwGqnBFHGz4NlHM0vOdSO2zj/s320/sdg-2022.png"></a></div>
การสำรวจข้อมูลในปี ค.ศ.2022 ครอบคลุมทุกบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และกิจการที่อยู่นอกตลาดฯ รวมทั้งสิ้น 854 กิจการ โดยทำการประมวลข้อมูลการดำเนินงานของกิจการที่มีการตอบสนองต่อ SDG ตามแนวทาง GCI (Guidance on Core Indicators) ที่จัดทำโดยคณะทำงานผู้ทรงคุณวุฒิระหว่างรัฐบาลด้านมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการบัญชีและการรายงาน (ISAR) พบว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่กิจการมีการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ เป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมทางเพศ เป้าหมายที่ 8 เศรษฐกิจและการจ้างงาน และเป้าหมายที่ 16 สังคมและความยุติธรรม ตามลำดับ<br /><br />
โดย 10 ตัวชี้วัดหลัก GCI ซึ่งใช้ตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่มีการเปิดเผยสูงสุด <b>ด้านเศรษฐกิจ</b> ได้แก่ ยอดรายได้ และภาษีและเงินอื่นที่จ่ายแก่รัฐ <b>ด้านสิ่งแวดล้อม</b> ได้แก่ ประสิทธิภาพการใช้น้ำ <b>ด้านสังคม</b> ได้แก่ ชั่วโมงเฉลี่ยการฝึกอบรมต่อปีต่อคน และสัดส่วนค่าจ้างและสวัสดิการพนักงานต่อรายได้จำแนกตามชนิดการจ้างและมิติหญิงชาย และ<b>ด้านสถาบัน</b> ได้แก่ จำนวนครั้งของการประชุมคณะกรรมการและอัตราการเข้าร่วมประชุม จำนวนและร้อยละของกรรมการหญิง ช่วงอายุของกรรมการ จำนวนครั้งของการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและอัตราการเข้าร่วมประชุม และค่าตอบแทนรวมต่อกรรมการ<br /><br />
ภาพรวมการตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของกิจการไทยที่ทำการสำรวจ 854 ราย พบว่า <b>มีความคืบหน้าในการดำเนินงานอยู่ที่ 28.2% อ้างอิงจากการเปิดเผยข้อมูลตามรายการและตัวชี้วัดหลัก GCI</b> โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ดำเนินการได้สูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ กลุ่มทรัพยากร (33.7%) กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (33%) และกลุ่มธุรกิจการเงิน (30%) ตามลำดับ<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMCAuKsMvQXLYtW3wDSzqcjzPHgWO0UdW_nrYavUc9B9qwEj7W9hhz_WNaWLlEiD0CTR-jpPqZPJsq_KKGg8arLvqnJE26wsDT8TorKnWfmmsYm2857rqhWzA5pm4hMQFDo9fhIgm1Etzw7VqbgnCT7mwJilSst9Azv05OQsDvWuTCGiNTzK4vVN8bb0J2/s805/diae2022d1_en_cover.png" imageanchor="1" style="clear:left; float:left; margin-right:1em; margin-bottom:1em"><img border="0" height="200" width="141" data-original-height="805" data-original-width="569" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMCAuKsMvQXLYtW3wDSzqcjzPHgWO0UdW_nrYavUc9B9qwEj7W9hhz_WNaWLlEiD0CTR-jpPqZPJsq_KKGg8arLvqnJE26wsDT8TorKnWfmmsYm2857rqhWzA5pm4hMQFDo9fhIgm1Etzw7VqbgnCT7mwJilSst9Azv05OQsDvWuTCGiNTzK4vVN8bb0J2/s200/diae2022d1_en_cover.png"></a></div>
ทั้งนี้ ชุดตัวชี้วัดหลัก GCI ที่ ISAR จัดทำขึ้นภายใต้คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (ECOSOC) ซึ่งมีอังค์ถัดทำหน้าที่เป็นเลขาธิการ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นจุดตั้งต้นหรือจุดนำเข้าในการรายงานผลการดำเนินงานที่ตอบสนองต่อ SDG และถือเป็นการเปิดเผยข้อมูลขั้นต่ำ (Minimum Disclosures) ของกิจการ ที่แสดงถึงการมีส่วนในการตอบสนองต่อ SDG และเป็นตัวชี้วัดที่กิจการจำเป็นต้องใช้ในการประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล ซึ่งหาพบได้ในรายงานของกิจการ และในกรอบการรายงานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน<br /><br />
การอ้างอิงชุดตัวชี้วัด GCI จะช่วยให้ภาคธุรกิจแสดงความเชื่อมโยงของการดำเนินงานในการตอบสนองต่อ SDG ในระดับตัวชี้วัด (Indicator-level) ตามแนวทางที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา และสามารถใช้เป็นข้อมูลแสดงความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามตัวชี้วัด SDG ที่ 12.6.1 ในส่วนของกิจการได้อีกด้วย<br /><br />
องค์กรธุรกิจที่สนใจเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานที่มีการตอบสนองต่อ SDG ตามแนวทาง GCI สามารถศึกษารายละเอียดได้จากเอกสาร <a href="https://unctad.org/isar/publication/guidance-core-indicators-sustainability-and-sdg-impact-reporting" target="_blank"><b>Guidance on Core Indicators for Sustainability and SDG Impact Reporting</b></a> ฉบับปรับปรุงใหม่ ปี ค.ศ.2022 โดยดาวน์โหลดได้ที่ <a href="https://unctad.org/isar" target="_blank">https://unctad.org/isar</a>
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/biz-bizweek/1089970" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/09/sdg-12.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-24360695604279552062023-09-09T12:27:00.004+07:002023-09-09T12:27:30.031+07:00นโยบายรัฐบาลในมุมมอง ESGในวันจันทร์นี้ (11 ก.ย.) นายกรัฐมนตรีจะมีการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ซึ่งมีเนื้อหารายละเอียดเป็นเอกสารที่เผยแพร่ออกมา 43 หน้า (ฉบับไม่เป็นทางการ) ที่ประกอบด้วย กรอบระยะสั้น กรอบระยะกลางและระยะยาว รวมถึงการแสดงตารางความสอดคล้องระหว่างนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีกับหน้าที่ของรัฐและแนวนโยบายแห่งรัฐของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และยุทธศาสตร์ชาติ<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s2000/pipat-sustainpreneur-25sep21.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="1125" data-original-width="2000" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s600/pipat-sustainpreneur-25sep21.png"/></a></div><br />
จึงถือโอกาสนี้ ทำการสรุปคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี โดยจำแนกออกเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และด้านธรรมาภิบาล รวมทั้งสิ้น 23 นโยบาย ในมุมมองของ ESG (Environmental, Social and Governance) ดังนี้<br /><br />
<b><big>10 นโยบายด้านเศรษฐกิจ</big></b> โดยในกรอบระยะสั้น รัฐบาลจะกระตุ้นการใช้จ่าย ด้วย<i><b>การเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet</b></i> เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายรอบ รัฐบาลก็จะได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบของภาษี และการดำเนินนโยบายนี้ จะใช้เป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความโปร่งใสให้กับกลไกการชำระเงินของระบบเศรษฐกิจและรัฐบาล <i><b>การแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน</b></i> โดยจะลดภาระพี่น้องเกษตรกรด้วยการพักหนี้เกษตรกรตามเงื่อนไขและคุณสมบัติที่เหมาะสม รวมถึงมาตรการช่วยประคองภาระหนี้สินและต้นทุนทางการเงินสำหรับภาคประชาชนที่ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) <i><b>การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน</b></i> โดยจะสนับสนุนให้เกิดการบริหารจัดการราคาพลังงานทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในทันที พร้อมกันกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานของประเทศ โดยวางแผนความต้องการและสนับสนุนการจัดหาแหล่งพลังงานอย่างเหมาะสม <i><b>การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว</b></i> ด้วยการอำนวยความสะดวก ปรับปรุงขั้นตอนการขอวีซ่า และการยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศเป้าหมาย ผลักดันการพัฒนาการบริหารจัดการทุกขั้นตอนการบริการที่เป็นประตูสู่ประเทศไทย และเพิ่มปริมาณเที่ยวบินให้สามารถนำนักท่องเที่ยวมาได้มากขึ้น<br /><br />
ในกรอบระยะกลางและระยะยาว รัฐบาลจะเสริมขีดความสามารถให้กับประชาชน ผ่านการสร้างรายได้ด้วย<i><b>การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก เพื่อเปิดประตูการค้าสู่ตลาดใหม่ ๆ</b></i> โดยการออกไปพบผู้นำประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มสหภาพยุโรป กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง อินเดีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ รวมทั้งการเร่งการเจรจากรอบความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ (FTA) <i><b>การส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่</b></i> ด้วยการจัดทำ Matching Fund ระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อลงทุนพัฒนา Start-up ที่มีศักยภาพให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก รวมทั้งการพัฒนาต่อยอดเขตเศรษฐกิจพิเศษและระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 4 ภาค ตลอดจนการพัฒนาพื้นที่และเมืองให้เกิดการกระจายความเจริญและกิจกรรมทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาค <i><b>การพัฒนาเศรษฐกิจการค้าที่ถูกกฎหมายตามแนวชายแดน</b></i> เพื่อสร้างเงิน สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน และเป็นการบริหารสถานการณ์ภูมิศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ สนับสนุนให้เกิดเสถียรภาพและผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเหมาะสม <i><b>การสร้างรายได้ในภาคการเกษตร</b></i> โดยใช้หลักการ ตลาดนำ-นวัตกรรมเสริม-เพิ่มรายได้ ใช้การบริหารจัดการแปลงเกษตรด้วยนวัตกรรมเกษตรแม่นยำ (Precision Farming) การวิจัยพัฒนาพันธุ์ เพื่อเพิ่มผลผลิตและเพิ่มมูลค่าผลตอบแทนต่อไร่ให้สูงขึ้น ตลอดจนการหาตลาดให้สินค้าเกษตรได้ขายในราคาที่เหมาะสม <i><b>การฟื้นชีวิตอุตสาหกรรมประมง</b></i> ให้กลับมาเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของประชาชน ด้วยการแก้ไขข้อกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายให้เหมาะสม อันเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลให้อยู่กับประเทศอย่างยั่งยืน <i><b>การเปิดรับแรงงานต่างด้าวและกลุ่มผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ</b></i> เพื่อตอบสนองความต้องการทรัพยากรบุคคลและแรงงานทั้งภาคการผลิต ภาคการบริการ ภาคการพัฒนาเทคโนโลยี ที่แรงงานกลุ่มดังกล่าวยังมีความจำเป็นในการสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ<br /><br />
<b><big>7 นโยบายด้านสังคม</big></b> ประกอบด้วย <i><b>การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ</b></i> ทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ เพื่อเปิดประตูค้าขายและเปิดโอกาสของประเทศไทยให้เพิ่มขึ้น และเป็นการสร้างประโยชน์จากสินทรัพย์ของประเทศและของประชาชน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ของโลก <i><b>การให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์</b></i> เพื่อสร้างโอกาสในการมีอาชีพ รายได้ และความมั่นคงในชีวิต โดยจะเร่งดำเนินการให้ประชาชนมีสิทธิในที่ดิน มีชีวิตที่มั่นคง พิจารณาเอกสารสิทธิการใช้ประโยชน์ให้เป็นโฉนด เพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดให้เข้าถึงแหล่งทุนได้ นำมาพัฒนาที่ดินเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว <i><b>การสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ของประเทศ</b></i> ให้สร้างมูลค่าและสร้างรายได้ ผ่านการส่งเสริม 1 ครอบครัว 1 ทักษะ Soft Power รวมทั้งการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาต่อยอดศิลปวัฒนธรรม และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนการส่งเสริมและพัฒนาด้านกีฬาอย่างเป็นระบบ <i><b>การปฏิรูปการศึกษาและสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต</b></i> ส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาทั้งในด้านสังคม ด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ และการวิจัยขั้นแนวหน้า ให้ความสำคัญต่อความมีคุณภาพของครูทั้งประเทศ รวมไปถึงการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจของนักเรียน และเน้นดำเนินการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา <i><b>การสร้างความมั่นคงปลอดภัยทั้งภายในและภายนอกที่สอดคล้องกับสภาวะของโลก</b></i> โดยสนับสนุนให้มีการปรับโครงสร้างของหน่วยงานความมั่นคงให้มีความทันสมัยและสามารถตอบสนองต่อการคุกคามและภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ และการพัฒนากองทัพให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของประเทศพร้อมกับประชาชน <i><b>การสร้างและพัฒนาระบบสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพ</b></i> สามารถรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินและโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งสร้างความมั่นคงทางวัคซีนของประเทศในระยะยาว ตลอดจนการเข้าถึงบริการสาธารณสุขผ่านบัตรประชาชนใบเดียว สามารถเข้ารับบริการได้ทุกที่ทั่วประเทศไทย <i><b>การสร้างความเท่าเทียมของคนทุกกลุ่ม</b></i> ทั้งกลุ่มเปราะบาง คนพิการ ผู้สูงอายุ และกลุ่มชาติพันธุ์ ด้วย ‘สวัสดิการโดยรัฐ’ โดยการผลักดันให้มีกฎหมายสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ การสนับสนุนให้มีความร่วมมือระหว่างประชาชนที่มีความแตกต่างทางความคิด ศาสนา และอุดมการณ์ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข<br /><br />
<b><big>3 นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม</big></b> ประกอบด้วย <i><b>การส่งเสริมการปลูกไม้ยืนต้นให้เหมาะสมกับประเภทและลักษณะของพื้นที่</b></i> และส่งเสริมให้เจ้าของที่ดินหรือชุมชนโดยรอบได้รับประโยชน์จากการเพิ่มพูนของระบบนิเวศ การขายคาร์บอนเครดิตอย่างยุติธรรม และได้รับการยอมรับจากระดับสากล <i><b>การส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่มีสิ่งแวดล้อมที่สะอาดสำหรับทุกคน</b></i> โดยการส่งเสริมและเร่งฟื้นฟูความสมบูรณ์ของดินและน้ำ การรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและอนุรักษ์ความหลากหลายพันธุ์สัตว์ป่า การแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมและมลภาวะ โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นควัน PM2.5 รวมทั้งวางแผนรับมือและป้องกันวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต <i><b>การสานต่อนโยบาย Carbon Neutrality</b></i> ที่เป็นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ และใช้การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อเปิดประตูบานใหญ่สู่การค้าโลก ภายใต้กฎกติกาใหม่ที่ให้ความสำคัญต่อการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม<br /><br />
<b><big>3 นโยบายด้านธรรมาภิบาล</big></b> ประกอบด้วย นโยบายเร่งด่วนใน<i><b>การแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ</b></i> โดยจะหารือแนวทางในการทำประชามติที่ให้ความสำคัญกับการทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมออกแบบกฎ กติกาที่เป็นประชาธิปไตย ทันสมัยและเป็นที่ยอมรับร่วมกัน รวมถึงการหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในรัฐสภา เพื่อให้ประเทศสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง <i><b>การเปลี่ยนบทบาทของรัฐจากผู้กำกับดูแลเป็นผู้สนับสนุน</b></i> จากเดิมที่เต็มไปด้วยกฎ ระเบียบ และข้อบังคับ มาเป็นการปลดล็อกข้อจำกัด เช่น การปลดล็อกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสุราพื้นบ้าน เพื่อสร้างโอกาสในการสร้างรายได้และเจริญเติบโตให้กับประชาชน <i><b>การบริหารในรูปแบบของการกระจายอำนาจ (ผู้ว่า CEO)</b></i> เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการบริหารงานในแต่ละจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการให้บริการมาเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความโปร่งใส ขจัดช่องโหว่ในการทุจริต ลดค่าใช้จ่าย และปรับปรุงการทำงานของภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น<br /><br />
เมื่อพอจัดหมวดหมู่นโยบายในลักษณะนี้ได้ ไว้อีก 6 เดือนหลังจากการทำงานไประยะหนึ่งแล้ว จะถือโอกาสติดตามการดำเนินงาน โดยนำการประเมินตามเกณฑ์ ESG หรือ ESG Rating มาใช้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนไม่มากก็น้อย
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/biz-bizweek/1087724" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/09/esg.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-30337497455370073612023-08-26T14:01:00.001+07:002023-08-26T14:01:05.662+07:00ระบบ IT: จิกซอว์สำคัญของ 'ความยั่งยืน'<b>Paessler AG</b> ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเครือข่ายและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ให้บริการนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1997 ซึ่งมีผู้ใช้มากกว่า 5 แสนรายในกว่า 170 ประเทศ ได้เผยแพร่รายงานวิจัยที่มีชื่อว่า <b>“<a href="https://go.paessler.com/th/offer/keeping-watch-monitoring-your-path-to-a-sustainable-it" target="_blank">ทิศทางที่ต้องจับตา: การมอนิเตอร์ระบบ คือ เส้นทางสู่ระบบ IT ที่ยั่งยืน</a>”</b> เพื่อทำความเข้าใจแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนในปัจจุบันของธุรกิจต่าง ๆ โดยเจาะลึกไปถึงปัจจัยขับเคลื่อนและอุปสรรคต่อการดำเนินแผนด้าน IT ที่ยั่งยืน<br /><br />
งานวิจัยชิ้นนี้ เป็นผลจากการสำรวจผู้มีอำนาจตัดสินใจระดับอาวุโสกว่า 200 คน ในธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีรายได้ระหว่าง 50 ล้าน ถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงระหว่างเดือนธันวาคม ปี 2565 ถึงเดือนมีนาคม ปี 2566 ครอบคลุมธุรกิจในภาคการผลิต ภาคบริการที่สำคัญต่อสาธารณะ และภาคเทคโนโลยี/โทรคมนาคม/ศูนย์ข้อมูล ใน 6 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์<br /><br />
ผลสำรวจพบว่า การแปลงเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) หรือการเปลี่ยนวิธีปฏิบัติงานจากระบบที่ใช้แรงงานคนไปสู่การใช้ระบบดิจิทัลหรือระบบอัตโนมัติ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและต้นทุน เป็นเรื่องที่ผู้ถูกสำรวจในตลาดอาเซียนให้ความสำคัญในลำดับแรกของธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้า (โดยมีสัดส่วน 66%) รองลงมาเป็นเรื่องความยั่งยืน (61%) และการเพิ่มประสิทธิภาพ/ผลิตผล (56%)<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgk9j8-A9FJXU0BjGrpH0T7NhuwSLoaoEeGgeSzRbelVHe7zflrzwDrcei9KWsBxodqOIOmeCPvX83DVxoyweSkfCh2yR42tHTymY10eViNM-oFe4NfDy7x5VrIBX8Uyvc_mOSrcsxvU5J_TKH6PJfGACPz29XS7e7B9RYn7fnI3rzPUMINBF83m9JY8fk9/s1255/Top-business-priorities-for-next-3-years.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="656" data-original-width="1255" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgk9j8-A9FJXU0BjGrpH0T7NhuwSLoaoEeGgeSzRbelVHe7zflrzwDrcei9KWsBxodqOIOmeCPvX83DVxoyweSkfCh2yR42tHTymY10eViNM-oFe4NfDy7x5VrIBX8Uyvc_mOSrcsxvU5J_TKH6PJfGACPz29XS7e7B9RYn7fnI3rzPUMINBF83m9JY8fk9/s600/Top-business-priorities-for-next-3-years.png"/></a></div>
แม้ความยั่งยืนจะเป็นเรื่องที่ธุรกิจในทุกตลาดให้ความสำคัญในลำดับต้น ๆ แต่ธุรกิจในอาเซียนที่วางกลยุทธ์และมีแผนดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างชัดเจนกลับมีไม่ถึงครึ่ง โดยกว่า 52% ยังคงอยู่ในขั้นตอนการจัดทำกรอบการทำงานด้านความยั่งยืน<br /><br />
ทั้งนี้ ผลสำรวจในไทยพบว่า มีธุรกิจที่กำลังจัดทำกรอบการทำงานด้านความยั่งยืน และธุรกิจที่มีกลยุทธ์และแนวทางการเดินหน้าที่ชัดเจน อยู่ในอัตราเท่ากันที่ 48% ที่เหลือเป็นธุรกิจซึ่งระบุว่าไม่ต้องมีกลยุทธ์เพราะใช้ตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน (2%) และเป็นธุรกิจที่ไม่เคยมีและยังไม่มีแผนกลยุทธ์ความยั่งยืน (2%)<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIECZqJsLU0JEndtRRU1p2zMW5TUZVj20XLYk0btRmBWPXWHJZVUUJLQbgsspXGQcehpqKZMvBjqIakk2bMmaOZPDNsRDj9wHEPibCIGE5Wzht8Miae145POh9HcYWKMOsCDrj94sZ4SZbsZuGxYO4Q2OOYZxoKWfZkeh0enz5nzDCOFJWkpW479shWd-T/s989/Sustainability-and-ESG-adoption-journey.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="683" data-original-width="989" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIECZqJsLU0JEndtRRU1p2zMW5TUZVj20XLYk0btRmBWPXWHJZVUUJLQbgsspXGQcehpqKZMvBjqIakk2bMmaOZPDNsRDj9wHEPibCIGE5Wzht8Miae145POh9HcYWKMOsCDrj94sZ4SZbsZuGxYO4Q2OOYZxoKWfZkeh0enz5nzDCOFJWkpW479shWd-T/s600/Sustainability-and-ESG-adoption-journey.png"/></a></div>
เมื่อเจาะลึกเฉพาะเรื่องความยั่งยืน พบว่า กลยุทธ์ระบบ IT ที่ยั่งยืนอยู่ในแผนงานของบริษัทต่าง ๆ กว่า 90% แต่แม้จะอยู่ในแผนงานแล้วก็ตาม ธุรกิจส่วนใหญ่เชื่อว่า ยังมีสิ่งที่ต้องดำเนินการอีกมากในเรื่องกลยุทธ์ระบบ IT ที่ยั่งยืน โดยบริษัทราว 96% มองว่า ผู้บริหารระดับสูงยังขาดการรับรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้<br /><br />
<i>“เมื่อไม่เห็นความสำคัญและไม่เข้าใจ ผู้บริหารระดับสูงก็มองไม่ออกว่า กลยุทธ์ระบบ IT ที่ยั่งยืน จะช่วยให้เป้าหมายความยั่งยืนในภาพรวม ตลอดจนประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) บรรลุผลได้อย่างไร”</i> ผู้มีอำนาจตัดสินใจในธุรกิจศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่งกล่าว<br /><br />
ในแง่ของการมอนิเตอร์โครงสร้างระบบ IT แบบเรียลไทม์ มากกว่า 90% ของธุรกิจทั้งหมดในทุกตลาด เห็นถึงประโยชน์ โดยผู้ถูกสำรวจในไทย ระบุว่า การมอนิเตอร์โครงสร้างระบบ IT แบบเรียลไทม์ จะช่วยตรวจสอบปัจจัยสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น คาร์บอน (100%) ช่วยปรับปรุงการใช้พลังงาน (95%) ช่วยให้เห็นตัวเลขการประหยัดทรัพยากรที่วัดผลได้ (92%) ช่วยวิเคราะห์ความต้องการอุปกรณ์ IT ในอนาคตได้อย่างแท้จริง (86%) และช่วยลดการปล่อยคาร์บอน (78%) ตามลำดับ<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgYmwepMaV36bjeRhNet8dwB0unTJnB4kpsWWNPQd2K279ARMTBzpg8c8AG8w5WPS14fkIjIlUi72h8d2KqpRoO1ohz6XjhKId1M2QUAluvFyecOVgGE7nA5tiYrwg4eaXj58YeZuVhqT6wzFHDvsSP95KRTtxs7CIY1ZZlmsTUdcHjHkF8gCA_BVj1r5Y/s1270/Benefits-of-real-time-monitoring-of-IT-infrastructure.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="672" data-original-width="1270" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgYmwepMaV36bjeRhNet8dwB0unTJnB4kpsWWNPQd2K279ARMTBzpg8c8AG8w5WPS14fkIjIlUi72h8d2KqpRoO1ohz6XjhKId1M2QUAluvFyecOVgGE7nA5tiYrwg4eaXj58YeZuVhqT6wzFHDvsSP95KRTtxs7CIY1ZZlmsTUdcHjHkF8gCA_BVj1r5Y/s600/Benefits-of-real-time-monitoring-of-IT-infrastructure.png"/></a></div>
ในงานสำรวจชิ้นนี้ ยังพบว่า อุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินงานเรื่องความยั่งยืน เกิดจากการที่ธุรกิจส่วนใหญ่ (72%) มีองค์ความรู้เกี่ยวกับแนวปฏิบัติและกรอบการทำงานด้านความยั่งยืนอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง โดยธุรกิจในไทยที่ไม่มีหรือมีองค์ความรู้ระดับต่ำ มีสัดส่วนอยู่ที่ 37% มีองค์ความรู้ระดับปานกลางอยู่ที่ 48% และมีองค์ความรู้ระดับสูงอยู่ที่ 15%<br /><br />
ทำให้แทนที่บริษัทต่าง ๆ จะเดินหน้าตามกรอบการทำงานด้านความยั่งยืนในภาพรวม แต่กลับเลือกใช้วิธีดำเนินการตามเป้าหมายและตัวชี้วัดก้าวเล็ก ๆ ซึ่งทำได้ไม่ยากในหมวดที่เกี่ยวกับความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ (72%) การรีไซเคิล (60%) การประหยัดน้ำและพลังงาน (58%) และการรายงานงบการเงินที่โปร่งใส (59%) เป็นต้น<br /><br />
นอกจากการขาดความรู้ความสามารถภายในองค์กร อุปสรรคสำคัญด้านอื่น ๆ ประกอบด้วย สมดุลตัวชี้วัด ESG กับเป้าหมายการเติบโต (58%) ต้นทุนการดำเนินแผนงาน (48%) หน่วยงานรัฐขาดความชัดเจนเรื่องมาตรฐานการรายงาน (48%) และการขาดตัวชี้วัด ROI ของแผนงานด้านความยั่งยืน (38%)<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigWhUiy6glqi6ET--E9oV1iJuPRaEC6zuSsX8UyfCIpqLpnbdUKa3rDs8kWQQC0ORaXMsPU-NQpwHWcAbk21jev1ABEzdoEv4MJM06ASdhOTKOVNSz3qP6CAzfsdZvhKDLf-pnTDRdb126QNZjDcfZP3Muo55XNdgL4Xk8bHZ2_GPo7h6Nsgfc00OQgEh3/s1199/Barriers-to-adopting-sustainability-practices.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="672" data-original-width="1199" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigWhUiy6glqi6ET--E9oV1iJuPRaEC6zuSsX8UyfCIpqLpnbdUKa3rDs8kWQQC0ORaXMsPU-NQpwHWcAbk21jev1ABEzdoEv4MJM06ASdhOTKOVNSz3qP6CAzfsdZvhKDLf-pnTDRdb126QNZjDcfZP3Muo55XNdgL4Xk8bHZ2_GPo7h6Nsgfc00OQgEh3/s600/Barriers-to-adopting-sustainability-practices.png"/></a></div>
<i>“นักลงทุนต้องการให้เรามีเครื่องมือวัดผลด้านความยั่งยืน (ESG) แต่ก็อยากให้ธุรกิจทำผลกำไรให้ได้มากขึ้นในเวลาเดียวกันด้วย เรียกว่า อยากได้ความยั่งยืนโดยไม่กระทบกับกำไรบริษัท”</i> คำกล่าวจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายหนึ่งในประเทศไทย<br /><br />
อย่างไรก็ดี ธุรกิจจำนวนมากมองว่า ความยั่งยืนและผลกำไรไปด้วยกันไม่ได้ แต่ในความเป็นจริง หากมีการมอนิเตอร์ระบบและวัดผลด้วยค่าที่ถูกต้อง จะทำให้ทราบว่า การประหยัดค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นได้จริง เช่น ศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานลดลง เพราะการปรับปรุงด้านระบบความร้อน ความเย็น และการระบายอากาศ<br /><br />
การจัดทำกลยุทธ์ด้าน IT และการแปลงเป็นดิจิทัล ตลอดจนการจัดทำกรอบการทำงานด้านความยั่งยืน ล้วนเชื่อมโยงและสัมพันธ์เสมือนเป็นจิกซอว์ของภาพเดียวกัน แต่ธุรกิจบางส่วนมองเป็นคนละส่วนกัน ทำให้การจัดทำกรอบการทำงานด้านความยั่งยืนและกลยุทธ์การแปลงเป็นดิจิทัลแยกจากกัน ทั้งที่กลยุทธ์ระบบ IT ที่ยั่งยืน ถือเป็นจิกซอว์สำคัญในการช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ เดินหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนโดยรวม
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1085376" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/08/it.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-26880089616295210902023-08-12T16:45:00.003+07:002023-08-12T16:45:23.723+07:00สร้างแต้มต่อให้ SME ด้วย ESG Profileในธุรกิจไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือเป็นเอสเอ็มอี เอกสารสำคัญสองชิ้นที่ทุกองค์กรต้องมี คือ <b>Product Catalogue</b> กับ <b>Company Profile</b> เอาไว้สำหรับนำเสนอลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างให้เกิดธุรกรรมตามที่องค์กรได้ตั้งเป้าหมายไว้<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s2000/pipat-sustainpreneur-25sep21.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="1125" data-original-width="2000" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s600/pipat-sustainpreneur-25sep21.png"/></a></div><br />
หน้าที่ของ <b>Product Catalogue</b> มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้คนรู้ว่า <b>เราขายอะไร (what)</b> ผลิตภัณฑ์ของเราช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ท่าน หรือใช้แล้วจะได้ประโยชน์อะไร พร้อมสรรพคุณกำกับว่า สินค้าและบริการของเรามีดีและโดดเด่นกว่าเจ้าอื่นอย่างไร<br /><br />
ส่วนหน้าที่ของ <b>Company Profile</b> มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้คนเชื่อมั่นว่า <b>ทำไม (why) ต้องซื้อจากเรา</b> องค์กรของเราน่าเชื่อถือและมั่นคงอย่างไร มีขอบข่ายการให้บริการกว้างขวางขนาดไหน และเมื่อเป็นลูกค้าแล้ว ย่อมไว้วางใจได้อย่างแน่นอน<br /><br />
แต่ในวันนี้ ลูกค้าและกลุ่มเป้าหมาย มิได้คำนึงถึงเพียงคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือที่องค์กรมอบให้ตนเองอย่างไรเท่านั้น แต่ยังพิจารณาเพิ่มต่อว่าผลิตภัณฑ์ที่ตนใช้หรือองค์กรที่ตนเป็นลูกค้าอยู่นั้น สร้างผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไรด้วย<br /><br />
ความต้องการในเอกสารหรือข้อมูลที่ทำให้คนเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์และองค์กรในมุมมองของการแสดงถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำกับดูแลที่ดีของกิจการ ที่เรียกรวมว่าข้อมูล ESG (Environmental, Social and Governance) จึงเกิดขึ้น ข้อมูลเหล่านี้มักจัดทำในรูปของรายงานที่เรียกกันว่า Sustainability Report หรือ ESG Report และมักจะมีให้เห็นแต่เฉพาะองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ โดยในปัจจุบันมีกิจการอยู่นับหมื่นแห่งทั่วโลกที่ดำเนินการจัดทำรายงานเผยแพร่ดังกล่าว<br /><br />
แต่ก็ใช่ว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีจะมีข้อมูลหรือจัดทำเอกสารประเภทนี้ไม่ได้ เพียงแต่เรายังไม่ค่อยเห็นเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ให้ความสนใจมากนัก สาเหตุหลักก็คงเป็นเพราะขาดแรงจูงใจหรือไม่เห็น Benefits มากเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับเวลาและทรัพยากรที่ต้องใช้และมีอยู่ค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว<br /><br />
ทว่าก็มีเอสเอ็มอีหลายแห่งที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงประโยชน์ทางธุรกิจต่อการเผยแพร่ข้อมูล ESG ดังกล่าว เพียงแต่ไม่ได้ทำในรูปแบบที่เป็นทางการ เหมือนอย่างรายงานแห่งความยั่งยืนในองค์กรขนาดใหญ่ แต่เราสามารถเรียกได้ว่าเป็นการเผยแพร่ <b>“ข้อมูลเด่นด้าน ESG”</b> หรือ <b>ESG Profile</b> เพื่อตอบโจทย์ทั้งทางธุรกิจที่สะท้อนในรูปของกำไร (Profit) และผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (People and Planet) ควบคู่ไปพร้อมกัน<br /><br />
<b>ESG Profile จึงมีหน้าที่ในการทำให้คนรู้ว่า ผลิตภัณฑ์และองค์กรที่เขาเหล่านั้นใช้บริการอยู่นั้น ไม่สร้างผลลบ และ/หรือ สร้างผลบวกให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง (how good)</b><br /><br />
เมื่อพิจารณาเทียบกับ Product Catalogue ซึ่งมีข้อมูลที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ (สินค้าและบริการ) เป็นหลัก หรือใน Company Profile ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและสายผลิตภัณฑ์ในภาพรวม เนื้อหาในเอกสารประเภท ESG Profile จะให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับผลดีหรือผลกระทบในเชิงบวกของผลิตภัณฑ์และองค์กรที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการแก้ไข (หรือคำมั่นว่าจะแก้ไข) ผลเสียหรือผลกระทบในเชิงลบที่ผ่านมาของกิจการ<br /><br />
ในทางปฏิบัติ เราอาจรวมข้อมูลใน ESG Profile ไว้ในเอกสาร Product Catalogue หรือ Company Profile ด้วยได้ แต่เนื่องจากเรื่องความยั่งยืนในทุกวันนี้ ได้รับความสนใจจากสังคม และผู้บริโภคก็มีความตื่นตัวมาก การเน้นให้ความสำคัญกับข้อมูลนี้ ด้วยการแยกเป็นเอกสาร ESG Profile จึงเป็นเรื่องที่หลายองค์กรดำเนินการเพื่อตอบสนองต่อกระแส ESG ดังกล่าว<br /><br />
<b>ESG Profile จึงสามารถพัฒนามาเป็นแค็ตตาล็อกทางธุรกิจอันทรงคุณค่าของกิจการ</b> ที่ทำให้คู่ค้า/ลูกค้า รู้ว่าองค์กรของเรามีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี สามารถสร้างเป็นจุดขาย และการต่อยอดธุรกิจ ด้วยการค้นหาจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ในเชิง ESG การแปลงจุดด้อยของผลิตภัณฑ์ให้เป็นโอกาสทาง ESG และการค้นหาตลาดใหม่จากการสำรวจความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่างๆ ของกิจการ
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/biz-bizweek/1083125" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/08/sme-esg-profile.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-82412458245240974082023-07-29T12:04:00.005+07:002023-07-31T11:27:35.742+07:00'7 เทรนด์' เปลี่ยนเกมความยั่งยืน ปลายเดือนที่ผ่านมา (20 มิ.ย.) หน่วยงาน <b>AccountAbility</b> องค์กรผู้กำหนดมาตรฐานและให้คำปรึกษาด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) ระดับโลก ที่ก่อตั้งมากว่า 30 ปี ได้ออกรายงานที่มีชื่อว่า <b>“7 Sustainability Trends 2023 Report”</b> โดยเนื้อหาสะท้อนให้เห็นภูมิทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และการประมวลแนวโน้มที่สำคัญด้าน ESG ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดวาระทางธุรกิจนับจากนี้ไป<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://www.accountability.org/insights/accountability-7-sustainability-trends-2023-report-shaping-the-global-business-agenda/" target="_blank" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEizKY9drymaU_BBlpMTF0M3YBbPsMyXoZgMKYmPcJ5I9NCvUyu3PvJQPGWJRzYzdUrk3sLPYlk3tSYtjGJXrvr6agW1-lLB423CEuwkF_cvpZWuXYK4iHET-j0ogQPJZ6SfcAGZm9IImtlHVFMJEQYimBorV0MmVU7lFTd3DPjw2exQHt5VuAuMAKYeTOh-/s320/7-sustainability-trends-2023-report-cover2.png" width="320" height="307" data-original-width="622" data-original-height="597" /></a></div>ข้อมูลในรายงานฉบับนี้ จะช่วยให้องค์กรใช้วางแผนเชิงกลยุทธ์ สนับสนุนการตัดสินใจ และสานสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งการปรับแนวกลยุทธ์ขององค์กรให้สอดคล้องและเท่าทันกับประเด็นความยั่งยืนที่เป็นปัจจุบัน ตลอดจนการรับมือกับโอกาสและความเสี่ยงในเชิงรุก รองรับการพัฒนาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า<br /><br />
อนึ่ง แนวโน้มความยั่งยืนในรายงานฉบับดังกล่าว ประมวลขึ้นจากการวิจัยและการทำงานร่วมกับองค์กรในหลายภาคส่วน ทั้งกิจการในภาคบริการทางการเงิน ภาคพลังงานและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ภาคสุขภาพและเภสัชภัณฑ์ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคสินค้าอุปโภคบริโภค ภาคโทรคมนาคมและเทคโนโลยี รวมทั้งหน่วยงานในภาครัฐและภาคประชาสังคม ฯลฯ ครอบคลุมในหลายภูมิภาค ทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร ตะวันออกกลาง และเอเชีย<br /><br />
สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้ให้บริการงานให้ความเชื่อมั่นรับอนุญาตในประเทศไทย ที่รับรองโดย AccountAbility มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 ได้เรียบเรียงเนื้อหาในส่วนที่เป็น 7 แนวโน้มความยั่งยืน โดยย่อ เพื่อนำมาเผยแพร่ ดังนี้<br /><br />
<b>1. Navigating the Net Zero landscape</b><br />
<b><i>หาเส้นทางสู่ภูมิทัศน์ (การปล่อยก๊าซเรือนกระจก) สุทธิเป็นศูนย์</i></b><br />
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้กลายเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนและมีนัยสำคัญสูงสุดเรื่องหนึ่งที่สังคมต้องเผชิญ รวมถึงเป็นได้ทั้งความเสี่ยงสำคัญต่อธุรกิจที่เพิกเฉย และเป็นโอกาสชัดแจ้งต่อกิจการที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการขจัดคาร์บอนให้มีค่าสุทธิเป็นศูนย์ โดยบริษัทที่ต้องการรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขันและยังคงดึงดูดกลุ่มผู้ลงทุน ต้องแสดงให้เห็นถึงแนวทางการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากภายนอก ควบคู่กับแผนงานกลยุทธ์ที่ปฏิบัติได้จริง<br /><br />
<b>2. Stakeholder activism is getting louder</b><br />
<b><i>ขบวนเคลื่อนไหวฝั่งผู้มีส่วนได้เสีย ส่งเสียงดังขึ้น</i></b><br />
ธุรกิจต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้นจากผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม มีการผลักดันให้กิจการต้องแถลงจุดยืนและแสดงความคืบหน้าในทางปฏิบัติต่อชุดประเด็น ESG ที่เกี่ยวข้อง โดยการแสดงภาวะผู้นำของกิจการ ๆ ควรตระหนักถึงการรักษาสมดุลแห่งประโยชน์ระหว่างผู้ถือหุ้นกับพนักงานไปจนถึงลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียซึ่งผลักดันให้องค์กรดำเนินการตามบทบาทที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ กิจการพึงดำเนินการสานสัมพันธ์แต่เนิ่น ๆ และอย่างต่อเนื่องกับผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง เพื่อปรับแนวทางให้สอดรับกันอย่างสูงสุดทั้งในกลุ่มพนักงาน ลูกค้า ผู้ลงทุน ฯลฯ<br /><br />
<b>3. Geopolitics: The new “G” in ESG</b><br />
<b><i>ภูมิรัฐศาสตร์ กลายเป็นประเด็นใหม่ด้านธรรมาภิบาล</i></b><br />
ในภาวการณ์หลังยุคโลกาภิวัตน์ ประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ นับเป็นองค์ประกอบสำคัญภายใต้กรอบ ESG เป็นประเด็นที่ถือเป็นความเสี่ยงและปัจจัยความไม่แน่นอนทางธุรกิจ จนกระทั่งกลายเป็นข้อพิจารณาภาคบังคับในการประเมินและในกระบวนการตัดสินใจขององค์กร ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงควรผนวกความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์เข้าไว้ในกรอบการจัดการความเสี่ยงของกิจการ เพื่อให้สามารถมอบหมายความรับผิดชอบในการจัดการตามตัวแบบแนวป้องกัน 3 ด่าน (Three lines of defense model) และหลักการหลีกเลี่ยง การบรรเทา และการจัดการความเสี่ยงของกิจการ<br /><br />
<b>4. Building an effective, future-focused board</b><br />
<b><i>สร้างคณะกรรมการสำหรับวันหน้า ที่มีประสิทธิผล</i></b><br />
คณะกรรมการบริษัทถูกคาดหวังให้เป็นผู้นำการปฏิบัติที่เป็นแบบอย่าง (Tone at the top) ริเริ่มให้เกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กร สร้างเป็นตัวแบบของค่านิยมบริษัท และข้อปฏิบัติที่ดีทางธุรกิจ โดยกรรมการแต่ละท่านเปรียบเสมือน “จุดเชื่อมโยง” ในสายโซ่ร้อยระหว่างค่านิยมหลักของบริษัทกับผลการดำเนินงานท้ายสุดทางธุรกิจ ที่ซึ่งองค์ประกอบของคณะกรรมการควรมีความหลากหลาย มีสมรรถนะและประสบการณ์ที่เอื้อต่อหน้าที่ทางธุรกิจและบทบาทในอุตสาหกรรม สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทจะแข็งแกร่งได้ ตราบเท่าที่มีกรรมการที่เข้มแข็ง ในการนำองค์กร<br /><br />
<b>5. Next generation ESG disclosure and reporting</b><br />
<b><i>โฉมหน้าการรายงานและการเปิดเผยข้อมูล ESG รุ่นถัดไป</i></b><br />
การรายงานความยั่งยืนและการเปิดเผยข้อมูล ESG เป็นกติกาทางธุรกิจที่กลายมาเป็นข้อกำหนดภาคบังคับเพิ่มเติมในตลาดการค้าขนาดใหญ่สุดของโลก การเปิดเผยข้อมูล ESG ที่ดี มิได้หมายถึงการเปิดเผยข้อมูลให้ได้ปริมาณมาก แต่ขาดซึ่งสาระสำคัญ เพราะท่ามกลางแรงกดดันที่ให้กิจการต้องรายงาน ทำให้เกิดมาตรฐานข้อแนะนำเป็นจำนวนมาก ธุรกิจจึงควรพิจารณาเลือกเปิดเผยข้อมูลตามแบบแผนที่สอดคล้องกับเป้าประสงค์ โพรไฟล์ และวุฒิภาวะ (Maturity) ด้าน ESG ขององค์กร และเป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมายที่มีผลบังคับกับกิจการ<br /><br />
<b>6. The road to a sustainable value chain</b><br />
<b><i>เส้นทางสู่สายโซ่คุณค่าที่ยั่งยืน</i></b><br />
องค์กรจำเป็นต้องเสาะหาวิธีการแบบองค์รวมในการขับเคลื่อนสายอุปทานที่ยั่งยืน โดยผนวกหลักการด้าน ESG อันก่อให้เกิดภาวะพร้อมผันและความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ นับตั้งแต่การจัดหาที่ยั่งยืน จวบจนการส่งมอบผลิตภัณฑ์ถึงมือลูกค้า อาทิ การสรรหาวัสดุต้นทาง ข้อปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนของผู้ส่งมอบ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามขอบเขตที่ 3 ทั้งนี้ กิจการควรมีการสานสัมพันธ์เชิงรุกและการทำงานร่วมกันกับคู่ค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้รับทราบถึงความคาดหวังในด้าน ESG โดยมีเกณฑ์ชี้วัดการดำเนินงานและการให้คุณ (Reward) แก่คู่ค้าที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์อย่างเหมาะสม<br /><br />
<b>7. Nature-based assets will drive valuations</b><br />
<b><i>สินทรัพย์ธรรมชาติ จะเป็นตัวกำหนดมูลค่ากิจการ</i></b><br />
ปัจจัยนำเข้าที่เป็นวัตถุดิบสำคัญต่อการผลิตและเป็นการบริการทางระบบนิเวศที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ จัดเป็นสินทรัพย์ธรรมชาติที่ใช้กำหนดมูลค่ากิจการและใช้ประเมินสถานะความอยู่รอดทางธุรกิจในระยะยาว ในทำนองเดียวกัน ผลจากกิจกรรมทางธุรกิจก่อให้เกิดจุดพลิกผันของการดำรงอยู่ทางธรรมชาติ อาทิ ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว การพังทลายของพืดน้ำแข็ง การแผ้วถางป่าเขตร้อน รวมทั้งผลกระทบต่อทุนธรรมชาติอื่น ๆ เช่น ดินและน้ำ ตลอดจนผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ที่เดิมมิได้ถูกบันทึกอยู่ในงบดุลของกิจการ จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการรายงานความยั่งยืนและการกำหนดมูลค่าของกิจการ<br /><br />
หน่วยงานหรือองค์กรธุรกิจที่สนใจข้อมูลแต่ละแนวโน้มความยั่งยืนอย่างละเอียด สามารถดาวน์โหลดรายงาน <b>“7 Sustainability Trends 2023 Report”</b> ฉบับเต็ม ได้ที่เว็บไซต์ <a href="https://www.accountability.org/insights/accountability-7-sustainability-trends-2023-report-shaping-the-global-business-agenda/" target="_blank">accountability.org</a> ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป<br /><br /><br />
<hr>
<img alt="" border="0" width="14" data-original-height="32" data-original-width="32" src="https://www.youtube.com/s/desktop/2c75094a/img/favicon_32x32.png"/> <a href="https://youtu.be/IHQEU8oIG9s&t=2255" target="_blank">ฟังบทสัมภาษณ์ในรายการ CEO Vision ทาง FM 96.5 MHz</a> (29 ก.ค. 66)<br />
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/biz-bizweek/1080831" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/07/7.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-65468136750525062132023-07-15T10:47:00.006+07:002023-07-15T10:47:54.565+07:007 Green Habits : สร้างอุปนิสัยสีเขียวเพื่อโลกภัยพิบัติและภัยทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายประเทศต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นมากกว่าสองเท่าของค่าเฉลี่ยทั่วโลก วิกฤติไฟป่าที่สร้างความเสียหายมหาศาล น้ำท่วมใหญ่ในหลายภูมิภาค สภาพอากาศสุดขั้วและภัยแล้งในหลายทวีป ฯลฯ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นผลจากภาวะโลกร้อนซึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์<br /><br />
<b>อุปนิสัยสีเขียว (Green Habits)</b> จะช่วยลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่โลกกำลังเผชิญอยู่ และเป็นพฤติกรรมของผู้บริโภคที่แสดงออกถึงความห่วงใยในความปลอดภัย สุขอนามัย และคุณภาพชีวิต ภายใต้วิถีแห่งการบริโภคที่ยั่งยืนซึ่งเป็นกระแสหลักของโลก จนเป็นเหตุให้องค์กรธุรกิจจำต้องปรับปรุงและพัฒนากระบวนการดำเนินงาน สายผลิตภัณฑ์ รวมทั้งบริการต่างๆ ให้อิงกับอุปนิสัยสีเขียวเพิ่มขึ้น<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s2000/pipat-sustainpreneur-25sep21.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="1125" data-original-width="2000" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s600/pipat-sustainpreneur-25sep21.png"/></a></div><br />
ความจำเป็นที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อช่วยเยียวยาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มิให้เป็นภัยอันตรายต่อคนรุ่นปัจจุบัน รวมทั้งต้องพิทักษ์ระบบนิเวศให้ยืนยาวสืบต่อไปยังคนรุ่นหลัง ผ่าน 7 อุปนิสัยสีเขียว ประกอบด้วย<br /><br />
<b>Rethink</b><br />
ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อเรามีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง กระแสการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมจะไม่เกิดผลสำเร็จใดๆ หากทุกคนที่ได้รับฟังข้อมูลไม่ตระหนักว่าตนเองต้องเปลี่ยนแปลง การคิดใหม่ ไม่จำเป็นต้องสร้างหรือนำเสนอสิ่งใหม่ (Reinvent) ที่ต้องเริ่มจากศูนย์เสมอไป การต่อยอดขยายผลหรือปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่เดิมด้วยความคิดใหม่ อาจดีกว่า ประหยัดกว่า และทุ่นเวลากว่าการต้องเริ่มใหม่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ เมื่อคิดได้แล้ว ต้องลงมือทำ<br /><br />
<b>Reduce</b><br />
โลกร้อน เมื่อเราเผาผลาญทรัพยากรเกินขีดจำกัดที่ธรรมชาติจะหมุนเวียนได้ทัน โลกบูด เพราะเราบริโภคเกินจนเกิดขยะและของเสียที่ไม่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ทัน ช่วยกันลดการใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็น และช่วยกันลดการบริโภคเพื่อไม่ให้เกิดขยะและของเสียอย่างที่เป็นอยู่<br /><br />
<b>Reuse</b><br />
สำรวจของที่ซื้อมาแล้วเพิ่งใช้เพียงหนเดียวว่า สามารถใช้ประโยชน์ซ้ำได้หรือไม่ หาวิธีการใช้บรรจุภัณฑ์ซ้ำ หรือหลีกเลี่ยงบรรจุภัณฑ์ชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง การซื้อของมีคุณภาพที่ราคาสูงกว่า แต่ใช้งานได้ทนนาน จะดีกว่าซื้อของที่ด้อยคุณภาพในราคาถูก แต่ใช้งานได้เพียงไม่กี่ครั้ง<br /><br />
<b>Recycle</b><br />
เป็นการนำวัสดุที่หมดสภาพหรือที่ใช้แล้วมาปรับสภาพเพื่อนำมาใช้ใหม่ เริ่มลงมือปรับแต่งของใช้แล้วในบ้านให้เกิดประโยชน์ใหม่ ช่วยกันคัดแยกขยะหรือวัสดุเหลือใช้ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้เองมอบให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดีกว่าทิ้งหรือเก็บไว้เฉยๆ โดยเปล่าประโยชน์<br /><br />
<b>Recondition</b><br />
ของหลายอย่างสามารถปรับแต่งซ่อมแซม (Repair) แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ดังเดิม พยายามใช้ของให้ถูกวิธีเพื่อหลีกเลี่ยงการชำรุดเสียหายก่อนเวลาอันควร และหากสิ่งของใดมีกำหนดเวลาที่ต้องบำรุงรักษา ให้หมั่นตรวจสอบและปฏิบัติตามตารางการบำรุงรักษา เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น ขณะที่อุปกรณ์บางจำพวกอาจต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนหรือทดแทน (Replace) ด้วยอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่า เช่น เครื่องปรับอากาศ เพื่อลดการสิ้นเปลืองค่าไฟฟ้า และประหยัดพลังงาน<br /><br />
<b>Refuse</b><br />
การปฏิเสธเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดไม่ให้ถูกนำมาใช้หรือถูกทำลายเร็วขึ้น และเพื่อให้เวลาธรรมชาติในการฟื้นสภาพตัวเองตามระบบนิเวศ เริ่มจากสิ่งนอกตัว เช่น สินค้าฟุ่มเฟือย สิ่งที่เราต้องเติมใส่ร่างกาย เช่น อาหารนำเข้า จนถึงสิ่งที่อยู่ข้างในกาย คือ จิตใจ เพราะเมื่อจิตร้อน กายก็ร้อน สิ่งรอบข้างก็ได้รับกระแสร้อนตามไปด้วย<br /><br />
<b>Return</b><br />
หน้าที่หนึ่งของมนุษย์ในฐานะผู้อาศัยโลกเป็นที่พักพิง คือ การตอบแทนคืนแก่โลก ใครใช้ทรัพยากรใดจากธรรมชาติเยอะ ก็ต้องคืนทรัพยากรนั้นกลับให้มากๆ ผลกระทบใดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการดำเนินงาน ก็ต้องพยายามฟื้นฟู ทำให้คืนสภาพ หรือทำให้สมบูรณ์ (Replenish) ดังเดิม เมื่อใดที่ริเริ่มเป็นผู้ให้ได้โดยมิต้องบังคับหรือร้องขอ เมื่อนั้นเราก็จะได้รับกลับคืนอย่างไม่ต้องสงสัยเช่นกัน
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1078657" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/07/7-green-habits.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-72594577253274612142023-07-01T09:52:00.003+07:002023-07-02T15:02:16.633+07:00กลยุทธ์น่านน้ำหลากสี : Colorful Ocean Strategyเมื่อว่าด้วยเรื่องกลยุทธ์ ในแวดวงธุรกิจก็มีหลากหลายกลยุทธ์จากร้อยแปดสำนัก กลยุทธ์ที่มีอิทธิพลและได้รับการกล่าวขานกันอย่างแพร่หลายชุดหนึ่ง คือ กลยุทธ์จำพวกน่านน้ำหลากสี (colorful ocean strategy) ทั้ง red ocean, blue ocean, green ocean<br /><br />
กลยุทธ์น่านน้ำเหล่านี้มีทั้งความเหมือนและต่างกันในบริบทที่ตัวมันเองเป็นกลยุทธ์ประเภทหนึ่งในทางธุรกิจ ความเหมือนกัน ก็คือ ทั้งสามกลยุทธ์มุ่งให้ความสำคัญที่คุณค่า (value) ในการประกอบการ เพื่อนำมาซึ่งความสำเร็จขององค์กร<br /><br />
การนิยามความสำเร็จเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างทางกลยุทธ์ บางกิจการ ความสำเร็จ คือการมีชัยชนะเหนือคู่แข่งในสนามการแข่งขัน บางกิจการวัดความสำเร็จจากการพัฒนาธุรกิจให้ล้ำหน้าการแข่งขันอยู่ตลอดเวลาจนทำให้คู่แข่งหมดความหมาย ขณะที่กิจการอีกส่วนหนึ่งประเมินจากที่องค์กรมีความยั่งยืนด้วยการพัฒนาอย่างสมดุล<br /><br />
<b>Red ocean strategy</b> คือ กลยุทธ์ที่ใช้สร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยมุ่งพัฒนาและส่งมอบคุณค่าที่เหนือกว่า (Beating Value) คู่แข่งขัน<br /><br />
<b>Blue ocean strategy</b> คือ กลยุทธ์ที่ใช้สร้างและจับจองอุปสงค์ในตลาดใหม่ ด้วยการคิดค้นนวัตกรรมทางคุณค่า (Innovating Value) ที่ล้ำหน้าจากสภาพการแข่งขัน<br /><br />
<b>Green ocean strategy</b> คือ กลยุทธ์ที่ใช้สร้างและผนวกคุณค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่เน้นดำรงความยั่งยืนทางคุณค่า (Sustaining Value)<br /><br />
<table width="100%" cellpadding="1" cellspacing="0" border="1"><tbody><tr><td bgcolor="#EEEEEE" width="33%" align="center" valign="top"><b>Red Ocean</b></td><td bgcolor="#EEEEEE" width="34%" align="center" valign="top"><b>Blue Ocean</b></td><td bgcolor="#EEEEEE" width="33%" align="center" valign="top"><b>Green Ocean</b></td></tr><tr><td align="center" valign="top">Competition-based Strategy</td><td align="center" valign="top">Innovation-based Strategy</td><td align="center" valign="top">Sustainability-based Strategy</td></tr><tr><td align="center" valign="top">Beating Value</td><td align="center" valign="top">Innovating Value</td><td align="center" valign="top">Sustaining Value</td></tr></tbody></table><br />
ในกลยุทธ์การแข่งขันแบบน่านน้ำสีแดง องค์กรต้องเลือกระหว่างกลยุทธ์ต้นทุนต่ำ การสร้างความแตกต่าง หรือการมุ่งเฉพาะส่วน เพราะพื้นที่ตลาดเดิมได้ถูกกำหนดไว้อย่างแจ้งชัด<br /><br />
สำหรับกลยุทธ์น่านน้ำสีคราม องค์กรสามารถพัฒนากลยุทธ์ที่ได้ทั้งความแตกต่างและต้นทุนต่ำ เนื่องจากพื้นที่ตลาดได้ถูกสร้างขึ้นใหม่และยังไร้ซึ่งการแข่งขัน<br /><br />
ส่วนกลยุทธ์สู่ความยั่งยืนแบบน่านน้ำสีเขียว องค์กรจะต้องทบทวนกิจกรรมในสายคุณค่าทั้งหมด เพื่อฝังเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) เข้าไว้ในทุกกระบวนการ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการพัฒนาสู่ความยั่งยืน<br /><br />
เครื่องมือที่ไมเคิล อี พอร์เตอร์ ใช้ในการวิเคราะห์สภาวการณ์การแข่งขันในอุตสาหกรรม ภายใต้ Red Ocean คือ Five Competitive Forces หรือ แรงที่กำหนดสภาพการแข่งขันจาก 5 ทิศทาง คือ แรงผลักดันจากผู้เล่นหน้าใหม่ (New Entrants) แรงบีบจากผู้ส่งมอบ (Suppliers) แรงผูกมัดจากผู้ซื้อ (Buyers) แรงกดดันจากผู้เข้าแทนที่ (Substitutes) และแรงห้ำหั่นจากคู่แข่งขัน (Competitors)<br /><br />
ชาน คิม ผู้ให้กำเนิดกลยุทธ์ Blue Ocean ที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมเชิงคุณค่า (Value Innovation) ระบุว่า เครื่องมือที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับใช้ในการวิเคราะห์เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ในกลยุทธ์น่านน้ำสีคราม คือ Four Action Frameworks ซึ่งใช้ทลายข้อจำกัดของการต้องเลือกระหว่างการสร้างความแตกต่างและต้นทุนต่ำในสมรภูมิการแข่งขันแบบเดิม ประกอบไปด้วย 4 คำถามหลักที่มุ่งท้าทายตรรกะเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรมและแบบจำลองในธุรกิจ<br /><br />
<table width="100%" cellpadding="1" cellspacing="0" border="0"><tbody>
<tr><td width="3%" valign="top">•</td><td width="97%" valign="top">มีปัจจัยใดบ้างที่อุตสาหกรรมปฏิบัติสืบเนื่องจนเคยชินและควรค่าแก่การ<u>ขจัด</u>ให้หมดไป</td></tr>
<tr><td valign="top">•</td><td valign="top">มีปัจจัยใดบ้างที่ควรค่าแก่การ<u>ลด</u>ไม่ให้เกินกว่ามาตรฐานในอุตสาหกรรม</td></tr>
<tr><td valign="top">•</td><td valign="top">มีปัจจัยใดบ้างที่ควรค่าแก่การ<u>ยก</u>ระดับให้สูงกว่ามาตรฐานในอุตสาหกรรม</td></tr>
<tr><td valign="top">•</td><td valign="top">มีปัจจัยใดบ้างที่อุตสาหกรรมยังไม่เคยมีการนำเสนอและควรค่าแก่การ<u>สร้าง</u>ให้เกิดขึ้น</td></tr>
</tbody></table><br />
ส่วนกลยุทธ์ Green Ocean นอกเหนือจากการวิเคราะห์คุณค่าเชิงเศรษฐกิจที่ถูกสร้างขึ้นจากกิจกรรมหลัก (Primary Activities) และกิจกรรมสนับสนุน (Support Activities) ในสายแห่งคุณค่า (Value Chain) แล้ว ยังคำนึงถึงการดำรงคุณค่าเชิงสังคมและคุณค่าเชิงสิ่งแวดล้อมด้วย<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_qKXplGGnfQ_Ijen0j1pMdCir-GoxNsDMFS12TduX0O0MibOxx1N9e3EMJbLAI7QfcjOuWIla8vMwcNuP8ecmTCJghJ2-qlfuhuy-SOeiNpo6NcObUsR4VuC05SOU6m5VIi8zD2TnLnZEQHCJip1GEsasokIF7gE8ycdqfVqH682G6y751Xg4cI6AUykf/s1194/sustaining-value-chain.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="738" data-original-width="1194" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_qKXplGGnfQ_Ijen0j1pMdCir-GoxNsDMFS12TduX0O0MibOxx1N9e3EMJbLAI7QfcjOuWIla8vMwcNuP8ecmTCJghJ2-qlfuhuy-SOeiNpo6NcObUsR4VuC05SOU6m5VIi8zD2TnLnZEQHCJip1GEsasokIF7gE8ycdqfVqH682G6y751Xg4cI6AUykf/s600/sustaining-value-chain.png"/></a></div>
ทั้งสามกลยุทธ์น่านน้ำ มุ่งให้ความสำคัญกับการปรับทิศทางการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ที่เป็นเป้าหมายรวมของกิจการ มากกว่าการปรับเปลี่ยนแค่กิจกรรมที่ดำเนินอยู่เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในแต่ละแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ขององค์กร
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1076305" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/07/colorful-ocean-strategy.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-57934638343732851542023-06-17T13:29:00.002+07:002023-06-17T13:29:15.128+07:00นับหนึ่งการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนภาครัฐเมื่อพูดถึงการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของกิจการ เราเข้าใจเป็นอื่นไปไม่ได้ว่า นั่นเป็นบทบาทของกิจการในภาคเอกชนที่ดำเนินธุรกิจ พึงจะต้องรายงานให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียได้รับทราบ ไม่ว่าจะเป็นไปโดยสมัครใจ หรือมีกฎระเบียบบังคับให้ดำเนินการก็ตาม<br /><br />
ในภาคสมัครใจ มาตรฐานการรายงานขัอมูลความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลและใช้อ้างอิงอย่างแพร่หลายในวงกว้าง คือ <b>มาตรฐาน GRI (Global Reporting Initiative)</b> โดยจากการสำรวจของเคพีเอ็มจี ในปี ค.ศ.2022 ระบุว่า ร้อยละ 68 หรือราวสองในสามของบริษัทในกลุ่ม N100 ซึ่งประกอบด้วยบริษัทที่มีรายได้สูงสุด 100 แห่ง จากประเทศที่ทำการสำรวจ 58 ประเทศทั่วโลก รวม 5,800 บริษัท ใช้มาตรฐาน GRI อ้างอิงในการจัดทำรายงานความยั่งยืนของกิจการ<br /><br />
<b>ในประเทศไทย จากการสำรวจของสถาบันไทยพัฒน์กับกิจการในประเทศจำนวน 854 แห่ง ในปี พ.ศ.2565 พบว่า ร้อยละ 88.89 ของกิจการที่มีการเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบรายงานความยั่งยืน จำนวน 153 แห่ง ใช้การอ้างอิงมาตรฐาน GRI เช่นเดียวกัน</b><br /><br />
ในภาคบังคับ ปัจจุบัน ทุกบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถูกกำหนดให้บริษัทต้องมีการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนตามแบบ 56-1 One Report ในหัวข้อ “การขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืน” เพื่อให้สะท้อนการดำเนินการเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนที่รวมอยู่ในกระบวนการทางธุรกิจ (ESG-in-process) ที่เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการตลาดทุน (ก.ต.ท.)<br /><br />
สำหรับความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของกิจการภาครัฐ <a href="https://www.ipsasb.org/focus-areas/sustainability-reporting" target="_blank"><b>คณะกรรมการมาตรฐานการบัญชีภาครัฐระหว่างประเทศ (IPSASB)</b></a> ได้ออกแนวทางการปฏิบัติที่แนะนำ (RPG) ว่าด้วยการรายงานข้อมูลชุดโครงการความยั่งยืน หรือ Reporting Sustainability Program Information แก้ไขเพิ่มเติมการรายงานความยั่งยืนทางการเงินของกิจการในระยะยาว (RPG 1) และการรายงานข้อมูลผลการให้บริการสาธารณะ (RPG 3) เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา<br /><br />
สาระสำคัญในการแก้ไขเพิ่มเติม คือ การรายงานผลกระทบของชุดโครงการความยั่งยืนที่มีต่อฐานะทางการเงินของกิจการในระยะยาวทั้งในมิติการให้บริการ รายได้ และหนี้สิน ตลอดจนการให้รายละเอียดและข้อมูลตัวชี้วัดของชุดโครงการความยั่งยืนที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกรีนบอนด์ จากภาษีคาร์บอน และเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนเพื่อความยั่งยืน เป็นต้น<br /><br />
<b>ปัจจุบัน IPSASB กำลังผลักดันการออกเอกสารที่มีความเร่งด่วนใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1) ข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืน 2) การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ และ 3) การเปิดเผยข้อมูลที่มิใช่ตัวเงิน: ทรัพยากรธรรมชาติ</b><br /><br />
โดยในเดือนมิถุนายนนี้ IPSASB ได้มีการนำเสนอโครงการฉบับย่อในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ที่จะพัฒนาขึ้นโดยอาศัยมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) และมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนสากล (GRI) โดยมีกำหนดออกเป็นร่าง (Exposure Draft) ที่ผ่านการอนุมัติ ในเดือนมิถุนายน ปีหน้า และประกาศใช้เป็นมาตรฐาน ภายในครึ่งปีหลังของปี พ.ศ.2568<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAa0CciY36hS41DmCSaJY08OSCT10lX24b5hfUSEnlX1XCr_k1dciJa89trfMlrQ2rhmo6iGC7axycjxEFDWEDO0c7xIN2z__WJThEr6w9u5RAIoUCaWd5KnEyUUR8sqp1iMsEDHDoa0_r_kK3a0je15faYfqMIlgJU1XxHk-NsyAWrQe2WeEBItcmsA/s767/ipsasb.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="352" data-original-width="767" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAa0CciY36hS41DmCSaJY08OSCT10lX24b5hfUSEnlX1XCr_k1dciJa89trfMlrQ2rhmo6iGC7axycjxEFDWEDO0c7xIN2z__WJThEr6w9u5RAIoUCaWd5KnEyUUR8sqp1iMsEDHDoa0_r_kK3a0je15faYfqMIlgJU1XxHk-NsyAWrQe2WeEBItcmsA/s600/ipsasb.png"/></a></div>
จะเห็นว่า กระแสการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนที่มีมาอย่างต่อเนื่อง มิได้จำกัดอยู่เพียงกิจการในภาคเอกชนแล้วเท่านั้น แต่กำลังขยายวง ครอบคลุมไปถึงกิจการในภาครัฐ ซึ่งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หน่วยงานภาครัฐในประเทศ จำเป็นต้องเฝ้าติดตามและเตรียมรับมือกับความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่างไม่ชักช้า<br /><br />
<b>ซึ่งก็น่าจะเหมาะเจาะกับจังหวะเวลาที่เรากำลังจะมีรัฐบาลใหม่ ที่มีศักยภาพนำการเปลี่ยนแปลงในระบบราชการและหน่วยงานภาครัฐ ให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง</b>
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1073877" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/06/blog-post.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-50807065506985928912023-06-03T12:16:00.005+07:002023-06-03T12:17:22.891+07:00'หุ้นเข้าใหม่' ในทำเนียบ ESG100 ปี 2566จากการสำรวจของมอร์นิ่งสตาร์ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่าการลงทุนยั่งยืนทั่วโลกมีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิน้อยลง ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ประเด็นเงินเฟ้อ และแนวโน้มของสภาวะเศรษฐกิจถดถอย<br /><br />
แต่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิยังคงเพิ่มขึ้นมาที่ 2.74 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเติบโต 7.5% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าภาพรวมกองทุนทั่วโลกที่ 4%<br /><br />
กองทุนในยุโรปยังคงเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สุดของการลงทุนอย่างยั่งยืน คิดเป็น 84% ของมูลค่ากองทุนยั่งยืนทั่วโลก รองลงมาเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาในสัดส่วน 11% ตามมาด้วยกลุ่มประเทศในเอเชีย (ไม่นับรวมญี่ปุ่น) เป็นอันดับสามของโลก<br /><br />
โดยในภูมิภาคเอเชีย เม็ดเงินลงทุนในกองทุนยั่งยืน มีมูลค่ารวม 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 3.1% ในจำนวนนี้เป็นมูลค่าการลงทุนในประเทศจีนถึง 68% ตามมาด้วยไต้หวันและเกาหลีใต้ที่ 17% และ 11.6% ตามลำดับ<br /><br />
สำหรับในประเทศไทย เนื่องจากกองทุนยั่งยืนส่วนใหญ่ เป็นการลงทุนต่างประเทศ ทำให้การฟื้นตัวของตลาดหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะทางฝั่งสหรัฐฯ ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนยั่งยืนในประเทศไทยขึ้นมาอยู่ที่ 5.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% จากสิ้นปีที่แล้ว โดยมีเงินไหลออกสุทธิ ราว 2 ร้อยล้านบาท<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibXWyJyZFxe_Xjb3OkIamhdne4zY6UX9v2GlZNN9_Jq8uP9g5o9ktMBp22yiCbLnJlJeMz-XTFf-mjL48TxzJ6wAroiyHUc4-aUjqCXX85DUOJOnIFoNf66PyeI18w8JGCf5MaKKFSkBdz7ikmg6ECprwbh00FY5pshkr9xIeYD1EXKHaPwsVg7y7PBg/s1500/sustainable-fund-Q1-2023.webp" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="844" data-original-width="1500" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibXWyJyZFxe_Xjb3OkIamhdne4zY6UX9v2GlZNN9_Jq8uP9g5o9ktMBp22yiCbLnJlJeMz-XTFf-mjL48TxzJ6wAroiyHUc4-aUjqCXX85DUOJOnIFoNf66PyeI18w8JGCf5MaKKFSkBdz7ikmg6ECprwbh00FY5pshkr9xIeYD1EXKHaPwsVg7y7PBg/s600/sustainable-fund-Q1-2023.webp"/></a></div>
อย่างไรก็ดี หากมองย้อนกลับไปในช่วงสองปีที่ผ่านมา พบว่ากองทุนยั่งยืนมีเม็ดเงินไหลเข้า-ออกอย่างจำกัด โดยเฉพาะหลังจากปี ค.ศ.2021 เป็นต้นมา ซึ่งอาจมีส่วนมาจากสภาวะการลงทุนที่มีปัจจัยลบค่อนข้างมากในช่วงปี ค.ศ.2022<br /><br />
ในส่วนของสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย และเป็นผู้จัดทำข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 นับตั้งแต่ปี ค.ศ.2015 ได้จัดทำรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี ค.ศ.2023 ด้วยการคัดเลือกจาก 888 บริษัท/กองทุน/ทรัสต์เพื่อการลงทุน ทำการประเมินโดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ESG จาก 6 แหล่ง จำนวนกว่า 16,445 จุดข้อมูล<br /><br />
โดยการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนกลุ่ม ESG Emerging ในปีนี้ นับเป็นปีที่สี่ของการประเมิน ซึ่งพิจารณาจากข้อมูลการดำเนินงานที่สะท้อนปัจจัยด้าน ESG ตามที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ และผ่านเกณฑ์คัดกรองเบื้องต้นที่ใช้ในการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 ของสถาบันไทยพัฒน์ ตามหลักการ CORE Framework เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแก่ผู้ลงทุน<br /><br />
สำหรับหลักทรัพย์ที่ติดกลุ่ม ESG Emerging ปี ค.ศ.2023 ซึ่งได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นครั้งแรก มีจำนวน 15 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย AAI AWC BRR BVG DEXON ITC PLANB POLY PRI PRIME SICT SISB TLI WHA WHAIR<br /><br />
ในปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ยังได้คัดเลือกและจัดทำรายชื่อหลักทรัพย์ที่มีผลประกอบการพลิกฟื้นกลุ่ม ESG Turnaround เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ด้วยโอกาสการสร้างผลตอบแทนจากหลักทรัพย์ที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวและมีปัจจัย ESG สนับสนุน<br /><br />
สำหรับหลักทรัพย์กลุ่ม ESG Turnaround ประกอบด้วย AOT BA BAFS CENTEL ERW MINT SEAFCO SHR SPA THRE รวมจำนวน 10 หลักทรัพย์<br /><br />
โดยการพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์ที่มีผลประกอบการพลิกฟื้นกลุ่ม ESG Turnaround ในปีนี้ นับเป็นปีแรกของการจัดทำรายชื่อบริษัทที่มี ESG ซึ่งได้ตามเกณฑ์ในรอบปีการประเมิน แต่ยังมีผลประกอบการติดลบหรือต่ำกว่าตลาด (Underperform) โดยมีสัญญาณการพลิกฟื้นและโอกาสในการไต่ระดับขึ้น (Upside) ของราคาหลักทรัพย์ จากการฟื้นตัวของตลาด และศักยภาพในธุรกิจแกนหลัก (Core Business) ของกิจการที่มี ESG เป็นปัจจัยสนับสนุน<br /><br />
ผู้ลงทุนที่สนใจศึกษาข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ <a href="https://thaipat.esgrating.com" target="_blank">https://thaipat.esgrating.com</a><br /><br /><br />
<font color="#BFB186"><i>* หมายเหตุ: การนำเสนอข้อมูลกลุ่มหลักทรัพย์จดทะเบียน ESG100, ESG Emerging, ESG Turnaround รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่สถาบันไทยพัฒน์เป็นผู้ประเมิน เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้เป็นข้อมูลเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นคำแนะนำในการลงทุน หรือการเสนอซื้อเสนอขายใดๆ</i></font>
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1071653" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/06/esg100-2566.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-45491552772223072212023-05-20T12:53:00.004+07:002023-05-20T12:53:26.142+07:00คนรุ่นใหม่เลือกทำงานกับบริษัทที่ใฝ่ ESGดีลอยท์ ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ ในเอกสาร <a href="https://www.deloitte.com/global/en/issues/work/content/genzmillennialsurvey.html" target="_blank"><b>2023 Gen Z and Millennial Survey</b></a> ต่อค่านิยมในการทำงานกับองค์กร พบว่า 44% ของกลุ่ม Gen Z (อายุระหว่าง 19-28 ปี) และ 37% ของกลุ่ม Millennial (อายุระหว่าง 29-40 ปี) ไม่ยอมรับที่จะทำงานที่ได้รับมอบหมายจากข้อกังวลด้านจริยธรรม ขณะที่ 39% ของกลุ่ม Gen Z และ 34% ของกลุ่ม Millennial ปฏิเสธที่จะทำงานกับบริษัทที่ดำเนินงานขัดกับค่านิยมของตน<br /><br />
การสำรวจนี้ มาจากการสอบถามกลุ่ม Gen Z จำนวน 14,483 คน และกลุ่ม Millennial จำนวน 8,373 คน รวม 22,856 คน จาก 44 ประเทศทั่วโลก<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s2000/pipat-sustainpreneur-25sep21.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="1125" data-original-width="2000" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s600/pipat-sustainpreneur-25sep21.png"/></a></div><br />
ประเด็นที่กลุ่ม Gen Z และกลุ่ม Millennial ให้ความสำคัญสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ <b>ค่าครองชีพ</b> (35% ในกลุ่ม Gen Z และ 42% ในกลุ่ม Millennial) <b>การว่างงาน</b> (22% ในกลุ่ม Gen Z และ 20% ในกลุ่ม Millennial) และ<b>การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ</b> (21% ในกลุ่ม Gen Z และ 23% ในกลุ่ม Millennial)<br /><br />
ข้อห่วงใยด้านสภาพภูมิอากาศ ยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจในอาชีพ โดยมากกว่าครึ่งของผู้ถูกสำรวจทั้งในกลุ่ม Gen Z (55%) และในกลุ่ม Millennial (54%) จะมีการศึกษานโยบายและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของแบรนด์บริษัทก่อนที่จะตอบรับเข้าทำงาน ขณะที่หนึ่งในหกของกลุ่ม Gen Z (17%) และกลุ่ม Millennial (16%) ได้มีการเปลี่ยนงานหรือสาขาอาชีพแล้วจากข้อห่วงใยด้านสภาพภูมิอากาศ และอีก 25% ของกลุ่ม Gen Z กับอีก 23% ของกลุ่ม Millennial แสดงความประสงค์ที่จะทำเช่นนั้นในอนาคต<br /><br />
สิ่งที่ผู้ถูกสำรวจ ต้องการให้บริษัทเพิ่มน้ำหนักความสำคัญต่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่<br /><br />
<table width="100%" cellpadding="2" cellspacing="0" border="0"><tbody>
<tr><td width="3%" valign="top">•</td><td width="97%" valign="top">การอุดหนุนค่าใช้จ่ายพนักงานที่ใช้ตัวเลือกความยั่งยืน ประกอบด้วย รถยนต์ไฟฟ้า แผงพลังงานแสงอาทิตย์ ตัวควบคุมอุณหภูมิประหยัดพลังงาน เบี้ยจูงใจสำหรับใช้ระบบขนส่งมวลชน ฯลฯ</td></tr>
<tr><td valign="top">•</td><td valign="top">การให้ความรู้และฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับวิถีความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน</td></tr>
<tr><td valign="top">•</td><td valign="top">การห้าม / ลดใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งในสำนักงาน / สถานประกอบการ</td></tr>
<tr><td valign="top">•</td><td valign="top">การปรับปรุงซ่อมแซมสำนักงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อาทิ การติดตั้งระบบจัดการสำนักงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน</td></tr>
<tr><td valign="top">•</td><td valign="top">การปรับสภาพชุมชนในถิ่นที่ตั้งของสถานประกอบการให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม</td></tr>
</tbody></table><br />
นอกจากนี้ ผลสำรวจความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ต่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม พบว่า สี่ในห้าของผู้ถูกสำรวจต้องการให้ธุรกิจเพิ่มทางเลือกในการซื้อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในราคาที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ มีการปรับสายอุปทานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือมีการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ขณะที่ สามในสิบของกลุ่ม Gen Z (30%) และกลุ่ม Millennial (29%) มีความอ่อนไหวต่อการฟอกเขียว (Greenwashing) โดยจะดูสิ่งที่บริษัทอ้างในการทำตลาดว่ามีการรับรองจากหน่วยงานภายนอกหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ และอีกราวหนึ่งในสาม (34%) ของทั้งกลุ่ม Gen Z กับกลุ่ม Millennial แสดงความประสงค์ที่จะทำเช่นนั้นในอนาคต<br /><br />
สำหรับประเด็นด้านสังคมที่กลุ่ม Gen Z และกลุ่ม Millennial มีความกังวล ได้แก่ <b>สุขภาพจิต</b> (19% ในกลุ่ม Gen Z และ 14% ในกลุ่ม Millennial) <b>การคุกคามทางเพศ</b> (16% ในกลุ่ม Gen Z และ 8% ในกลุ่ม Millennial) และ<b>ความเหลื่อมล้ำ</b> (16% ในกลุ่ม Gen Z และ 10% ในกลุ่ม Millennial)<br /><br />
ผลสำรวจระบุว่า ความกดดันในการทำงาน เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กลุ่ม Gen Z (52%) และกลุ่ม Millennial (49%) เกิดความเหนื่อยล้า (Burnout) โดย 36% ของกลุ่ม Gen Z และ 30% ของกลุ่ม Millennial รู้สึกหมดแรงหรือกำลังถดถอยในงาน ขณะที่ 35% ของกลุ่ม Gen Z และ 28% ของกลุ่ม Millennial รู้สึกไม่ผูกพันกับงานที่ทำ ไปจนถึงมีความรู้สึกแง่ลบหรือต่อต้านงานที่ทำ และอีก 42% ของกลุ่ม Gen Z กับอีก 40% ของกลุ่ม Millennial รู้สึกดิ้นรนที่ต้องให้งานออกมาดีสมกับความสามารถ<br /><br />
ปัญหาเรื่องสุขภาพจิตของคนกลุ่ม Gen Z และกลุ่ม Millennial ยังเกิดจากสภาวะเดอะแบก หรือภาระที่โดนประกบแบบแซนวิช ที่ต้องดูแลรับผิดชอบทั้งลูกเล็กและพ่อแม่สูงวัย โดย 34% ของกลุ่ม Gen Z และ 39% ของกลุ่ม Millennial มีภาระประจำที่ต้องดูแลรับผิดชอบทั้งลูกเล็กและพ่อแม่หรือญาติสูงวัย ขณะที่ มากกว่าสี่ในสิบของคนกลุ่ม Gen Z และกลุ่ม Millennial ระบุว่าภาระรับผิดชอบดังกล่าวมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพจิตของตน<br /><br />
ทำให้กว่า 80% ของผู้ถูกสำรวจ ระบุว่า จะมีการพิจารณานโยบายและการสนับสนุนของบริษัทในด้านสุขภาพจิต ก่อนตัดสินใจตอบรับเข้าทำงาน ซึ่งการให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้คงอยู่กับองค์กรได้อีกด้วย
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1069290" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/05/esg.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-69707969764221842412023-05-06T12:18:00.002+07:002023-05-06T12:18:30.068+07:00Climate Reporting: กิจการไทย ยืนหนึ่งในอาเซียนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ถูกบรรจุเป็นวาระสำคัญ ที่ทุกประเทศในโลก รวมทั้งประเทศในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน ผลักดันให้ภาคส่วนต่าง ๆ ลุกขึ้นมาดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง รวมถึงภาคเอกชนที่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนวาระดังกล่าว ด้วยการผนวกเข้ากับกลยุทธ์การดำเนินงานทางธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศควบคู่ไปพร้อมกัน<br /><br />
องค์การแห่งความริเริ่มว่าด้วยการรายงานสากล (GRI) โดยศูนย์ภูมิภาคอาเซียน GRI ร่วมกับคณะธุรกิจมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS Business School) โดยศูนย์ธรรมาภิบาลและความยั่งยืน (CGS) ทำการศึกษากิจการในภูมิภาคอาเซียน 6 ประเทศ (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม) จำนวน 600 บริษัท โดยคัดเลือกจากบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดร้อยอันดับในตลาดหลักทรัพย์ของแต่ละประเทศ ต่อการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศของกิจการ<br /><br />
ผลการศึกษาได้ถูกจัดทำเป็นรายงานที่มีชื่อว่า <a href="http://bschool.nus.edu.sg/cgs/wp-content/uploads/sites/7/2022/11/CGS-GRI-Climate-Reporting-in-ASEAN-State-of-Corporate-Practices-Report-2022.pdf" target="blank"><b>Climate Reporting in ASEAN: State of Corporate Practices</b></a> เผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2565 พบว่า ในบรรดา 600 บริษัทที่ทำการศึกษา มีบริษัท 420 แห่ง ได้มีการจัดทำรายงานแห่งความยั่งยืนที่เปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ ประกอบด้วย บริษัทในประเทศอินโดนีเซีย 55 แห่ง มาเลเซีย 98 แห่ง ฟิลิปปินส์ 66 แห่ง สิงคโปร์ 98 แห่ง ไทย 63 แห่ง และเวียดนาม 40 แห่ง<br /><br />
การวิเคราะห์การเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศของกิจการในอาเซียน พิจารณาใน 7 ด้านหลัก ได้แก่ กรอบการรายงาน (reporting framework) สารัตถภาพ (materiality) ความเสี่ยงและโอกาส (risks and opportunities) ธรรมาภิบาล (governance) กลยุทธ์ (strategy) เป้าหมาย (targets) และผลการดำเนินงาน (performance)<br /><br />
<b>โดยอัตราการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศของกิจการโดยรวม (Overall Rating) ใน 6 ประเทศภูมิภาคอาเซียน อยู่ที่ 46% นำโดยประเทศไทยอยู่ในอันดับสูงสุดของกลุ่มในอัตรา 57% รองลงมาเป็นมาเลเซียและสิงคโปร์ในอัตราที่ 48% เท่ากัน ตามมาด้วยอินโดนีเซียที่ 44% ฟิลิปปินส์ที่ 42% และเวียดนามที่ 24% ตามลำดับ</b><br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgYqhesBTltUq6b_1ABXzrhKBjwF_AjQbwTp0a9uBPhI1OYnadE_S4TMEecmlFCUMAQKPzsW_aBHe33LPRs6YAeOgNL1e9AXSarqUteUuNkydez6y7ZlNvjjYe3kLVzw5GeuI2j9JItwpk7bkcKOxUeckXoBNn78rWcxVmlp_-TdCIV8Hyh4P9Ya_hHrw/s871/Climate-Reporting-in-ASEAN.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="623" data-original-width="871" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgYqhesBTltUq6b_1ABXzrhKBjwF_AjQbwTp0a9uBPhI1OYnadE_S4TMEecmlFCUMAQKPzsW_aBHe33LPRs6YAeOgNL1e9AXSarqUteUuNkydez6y7ZlNvjjYe3kLVzw5GeuI2j9JItwpk7bkcKOxUeckXoBNn78rWcxVmlp_-TdCIV8Hyh4P9Ya_hHrw/s600/Climate-Reporting-in-ASEAN.png"/></a></div>
ประเทศไทยมีอัตราการเปิดเผยข้อมูลสูงสุดในด้านสารัตถภาพ (74.6%) ความเสี่ยงและโอกาส (66.9%) ธรรมาภิบาล (61.2%) เป้าหมาย (69.4%) และผลการดำเนินงาน (59.4%) และยังมีการเปิดเผยข้อมูลด้านการใช้เชื้อเพลิงทดแทนสูงที่สุดในกลุ่ม (38%)<br /><br />
มาเลเซียมีอัตราการเปิดเผยข้อมูลสูงสุดในด้านการระบุโอกาสที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (74.5%) และข้อพิจารณาขององค์กรที่เกี่ยวเนื่องกับกลยุทธ์ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในระยะยาว (41.8%)<br /><br />
สิงคโปร์มีความโดดเด่นในการติดตามและการเปิดเผยตัววัดที่สามารถเปรียบเทียบข้อมูลการดำเนินงานในอดีตสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้ม (77.6%) การชี้แจงถึงที่มาของเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ (70.4%) และการแสดงถึงการผูกโยงค่าตอบแทนกับผลลัพธ์ในการจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (14.3%)<br /><br />
<b>ผลการศึกษาด้านกรอบการรายงานที่ใช้ในการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศ พบว่า กิจการใน 6 ประเทศภูมิภาคอาเซียน ใช้ GRI Standards มากสุดในอัตรา 85% รองลงมาเป็น SDG Framework ที่อัตรา 76% เมื่อเทียบกับกรอบการเปิดเผยข้อมูลอื่น (ได้แก่ IIRC, SASB, TCFD) ที่ถูกใช้อ้างอิงในอัตราที่ไม่ถึง 50%</b><br /><br />
ส่วนการวิเคราะห์การเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศของกิจการในอีก 6 ด้าน ที่ประกอบด้วย ด้านสารัตถภาพ ด้านความเสี่ยงและโอกาส ด้านธรรมาภิบาล ด้านกลยุทธ์ ด้านเป้าหมาย และด้านผลการดำเนินงาน พบว่า <b>หัวข้อที่มีการเปิดเผยมากสุดในสามอันดับแรก</b> ได้แก่ ประเด็นสาระสำคัญที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การมอบหมายความรับผิดชอบที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศแก่คณะกรรมการระดับบริหาร และการเปิดเผยตัววัดที่เป็นข้อมูลผลการดำเนินงานในอดีตสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้ม<br /><br />
ขณะที่ <b>หัวข้อที่มีการเปิดเผยน้อยสุดในสามอันดับแรก</b> ได้แก่ ข้อชี้แจงถึงกลยุทธ์ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในระยะกลาง ข้ออธิบายการใช้การวิเคราะห์ฉากทัศน์ที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเป็นข้อมูลนำเข้าสำหรับการจัดทำกลยุทธ์ และการแสดงการผูกโยงค่าตอบแทนกับผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)<br /><br />
อนึ่ง การพัฒนากรอบการศึกษาเพื่อใช้ประเมินความครบถ้วนต่อการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศของกิจการในอาเซียนครั้งนี้ อ้างอิงกรอบการรายงานและมาตรฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ประกอบด้วย Global Reporting Initiative (GRI), Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD), Greenhouse Gas (GHG) Protocol, Science-based Target initiative (SBTi), Carbon Disclosure Project (CDP) และ United Nations Sustainable Development Goals (SDG)<br /><br />
แนวโน้มการดำเนินงานและการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศของกิจการ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะทวีความเข้มข้นมากขึ้น และกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้ทันต่อวิกฤตการณ์ที่เป็นภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งสภาพอากาศสุดขั้ว อุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในหลายภูมิภาค ภัยแล้ง วิกฤตไฟป่า รวมทั้งอุทกภัยที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งภัยทางธรรมชาติเหล่านี้ เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1066734" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/05/climate-reporting.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3695329304505322524.post-42401734838312633462023-04-22T10:34:00.002+07:002023-04-22T10:34:29.934+07:007 กลวิธี การฟอกเขียวจากการเติบโตของธุรกิจสีเขียว ทั้งทางด้านพลังงานทางเลือก ผลิตภัณฑ์และบริการเชิงสุขภาพ สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ได้กลายเป็นตัวแปรที่ธุรกิจต้องคำนึงถึงในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาด ที่ต้องมีส่วนประสมของการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการลดภาวะโลกร้อน ซึ่งถือเป็นประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ที่ได้กลายเป็นกระแสหลักของการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s2000/pipat-sustainpreneur-25sep21.png" style="display: block; padding: 1em 0; text-align: center; "><img alt="" border="0" width="600" data-original-height="1125" data-original-width="2000" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2nPNYPlXbG2i0xsQIM2EM5lQnF3ZZPhklkfydo_CCvrDONRYZkPEaS7pE-sniaPIZ8OQKd0vROAWUUYUgogDsBa10eE8brv-65-ZzPqRGKMMaN0o8E8wtD0Ori_DXb2cO_ynzWw6eS46U/s600/pipat-sustainpreneur-25sep21.png"/></a></div><br />
สำหรับธุรกิจที่ต้องการเกาะกระแสสีเขียวหรือไม่อยากตกเทรนด์ แต่มิได้ทำจริงหรือมีกระบวนการธุรกิจที่ไม่เขียวจริง จะใช้วิธี<b>การฟอกเขียว (Green Washing)</b> เพื่อทำให้ผู้บริโภคหรือสังคมเข้าใจไปว่าผลิตภัณฑ์ของตนหรือกระบวนการธุรกิจของตน มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพียงเพื่อวัตถุประสงค์ในการตลาดหรือการขาย<br /><br />
ผมได้เคยนำเสนอวิธีการฟอกเขียวของธุรกิจไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว โดยไม่ได้แปลจากต้นฉบับเมืองนอก แต่เป็นฉบับตะวันออกหรือเวอร์ชันไทย ที่ก็มีการฟอกเขียวตามกระแสโลก และเห็นว่าเนื้อหายังไม่ล้าสมัยแม้เวลาจะผ่านมาร่วมกว่าทศวรรษ จึงได้นำมาเรียบเรียงให้เป็นปัจจุบัน จำแนกออกเป็น 7 กลวิธีการฟอกเขียว ดังนี้<br /><br />
<b>1. แบบโป้ปดมดเท็จ</b> เป็นการปฏิเสธความจริงที่ปรากฏ หรือสื่อสารไม่ตรงตามข้อเท็จจริง เช่น การติดฉลากรับรองคุณภาพทั้งที่มิได้มีคุณภาพตามสมอ้างหรือโดยปราศจากการตรวจสอบรับรองใดๆ การอ้างกฎหมายเพื่อปฏิเสธความรับผิดเนื่องจากขาดหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ ทั้งที่มีมูลเหตุมาจากองค์กร หรือการยกเมฆตัวเลขการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก<br /><br />
<b>2. แบบพูดอย่างทำอย่าง</b> เป็นการให้คำมั่นสัญญาที่มิได้มีเจตนาจะดำเนินการจริง เช่น การลงนามในบันทึกข้อตกลง หรือให้สัตยาบัน หรือร่วมประกาศปฏิญญา แต่ไม่มีการดำเนินงานตามที่กล่าวไว้ เข้าในลักษณะดีแต่พูด หรือ วจีบรม (Lip Service)<br /><br />
<b>3. แบบเจ้าเล่ห์เพทุบาย</b> เป็นการอวดอ้างประสิทธิภาพหรือประสิทธิผลการดำเนินงานด้าน ESG ทั้งที่มิได้มีคุณสมบัติตามที่กล่าวอ้างจริง เช่น การเลือกตัวชี้วัดที่อ่อนกว่าเกณฑ์ การใช้วิธีกำหนดเป้าหมายที่จะบรรลุต่ำเกินจริง การเลือกบันทึกข้อมูลเฉพาะครั้งที่ได้ค่าตามต้องการ<br /><br />
<b>4. แบบมารยาสาไถย</b> เป็นการเจตนาลวงให้เข้าใจผิดไปจากความเป็นจริง เพื่อแสดงให้เห็นว่าสินค้าและบริการของตน ได้ตามมาตรฐานหรือดีกว่าองค์กรอื่นๆ เช่น ประกาศว่าได้รับการรับรองตามมาตรฐานโลก ทั้งที่มาตรฐานดังกล่าว มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เคลม หรือการอ้างถึงรางวัลที่ได้รับ จากเวทีหรือหน่วยงานที่ตนเองเป็นสปอนเซอร์ให้การสนับสนุนหรือชี้นำ<br /><br />
<b>5. แบบเล่นสำนวนโวหาร</b> เป็นความตั้งใจที่จะสื่อสารอย่างคลุมเครือ เพื่อให้เข้าใจไขว้เขวไปตามจุดมุ่งหมาย หรือทำให้หลงประเด็น เช่น ผลิตภัณฑ์นี้ประกอบด้วยสารจากธรรมชาติล้วนๆ ซึ่งในความเป็นจริง สารมีพิษ อาทิ สารหนู สารปรอท สารกันเสียฟอร์มาลดีไฮด์ (ที่มักใช้ผสมในเครื่องสำอาง แชมพู น้ำยาเคลือบเล็บ น้ำยาบ้วนปาก ยาระงับกลิ่นผ้า) ก็เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติทั้งสิ้น<br /><br />
<b>6. แบบต่อเติมเสริมแต่ง</b> เป็นการขยายความหรืออวดอ้างสรรพคุณเกินจากข้อเท็จจริงที่มีอยู่เพียงบางส่วน เพื่อให้เข้าใจว่ากระบวนการผลิตในธุรกิจหรือตัวผลิตภัณฑ์มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูง หรือมีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง เช่น ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มบำรุงสมอง เครื่องดื่มลดความอ้วน ที่อ้างส่วนประกอบของสารอาหารซึ่งสามารถได้รับจากการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มทั่วไปในปริมาณที่ไม่แตกต่างกัน<br /><br />
<b>7. แบบปิดบังอำพราง</b> เป็นการปกปิดข้อมูลหรือข้อเท็จจริงซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสีย หรือแสดงความจริงเพียงส่วนเดียว เพื่อจุดมุ่งหมายในการปกป้องผลประโยชน์หรือเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายขององค์กร เช่น องค์กรแสดงให้เห็นถึงการลงทุนในเทคโนโลยีระบบบำบัดของเสียที่เหนือกว่ามาตรฐาน แต่กลับมิได้บำบัดให้ได้ดีกว่าดังที่ประกาศ หรือการบิดเบือนข้อมูลในรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตลอดจนรายงานแห่งความยั่งยืนให้ปรากฏเฉพาะส่วนที่ส่งผลบวกต่อองค์กร<br /><br />
เราในฐานะผู้บริโภคจึงควรตรวจสอบและศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์และข้อมูลองค์กรอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจซื้อ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอาจมีราคาที่ไม่ได้ถูกกว่าผลิตภัณฑ์แบบปกติทั่วไป การยอมจ่ายเงินสูงขึ้น แต่กลับได้ผลิตภัณฑ์ย้อม (แมว) สีเขียว จึงเป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะการบริโภคข่าวสารอย่างระมัดระวังกับธุรกิจฟอกเขียว ที่ใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่ออย่างแยบยล
<br /><br /><br /><font color="#BFB186">จากบทความ '<a href="https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/biz-bizweek/1064336" target="_blank">Sustainpreneur</a>' ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <img src="https://photos1.blogger.com/blogger2/3100/451090002991372/200/external-link.jpg" border="0" alt="External Link"> [<a href="http://thaicsr.blogspot.com/2023/04/7.html" target="_blank"><font color="#BFB186">Archived</font></a>]</font>นายพิพัฒน์ ยอดพฤติการhttp://www.blogger.com/profile/15497229705586837367noreply@blogger.com0